Skip to main content
sharethis

สมบูรณ์ คำแหง หรือบังแกน ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนระดับชาติ (กป.อพช.) สถานการณ์ทางการเมือง ห่วงรัฐบาลใหม่ไม่แก้รัฐธรรมนูญ  แถมอาจจะต่ออายุ ส.ว. ชวนจับตาเพื่อไทย จะข้ามพ้นวาระส่วนตัวได้หรือไม่ ส่วนก้าวไกล อีก 4 ปีก็ไม่สาย ใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาส เปิดมุมมองต่อ ม.112 กับกลุ่มอำนาจอิงแอบ เตือนอย่าสบประมาทพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ เขากล้านำปัญหาชาวบ้านในมิติการถูกข่มเหงเข้าสภา นี่คือบรรยากาศการเมืองที่ผมอยากเห็น NGO ต้องส่งเสริมให้เกิดการเมืองแบบก้าวไกล

สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนระดับชาติ (กป.อพช.)

สมบูรณ์ คำแหง ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนระดับชาติ (กป.อพช.) กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ว่า จำเป็นต้องรอความชัดเจนของการเลือกนายกรัฐมนตรี ก็คือในวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 นี้ซึ่งโอกาสก็น่าจะเป็นของพรรคเพื่อไทย และพรรคเพื่อไทยจะเอาอย่างไรกับพรรคก้าวไกลต่อไป ซึ่งเกมการเมืองมาออกมาอย่างไรก็จะเป็นตัวกำหนดรูปแบบการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน

ห่วงรัฐบาลใหม่ไม่แก้รัฐธรรมนูญ  แถมจะต่ออายุ ส.ว.

ในส่วนของ กป.อพช.ได้มีการพูดคุยหารือกันแล้วว่าจะมีท่าทีอย่างไร ซึ่ง กป.อพช.ก็ชูธงในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ โดยไม่จำกัดเฉพาะหมวดใดหมวดหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะมีประเด็นที่จะต้องแก้ไขทั้งหมด ไม่ว่าเป็นเรื่องกลไกตามรัฐธรรมนูญ ที่มาขององค์กรอิสระต่างๆ เรื่องความมั่นคง เรื่องการกระจายอำนาจ เพราะถ้าไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญมันก็จะติดกับอย่างที่เป็นอยู่ในช่วงนี้

“เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน ในเรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าพรรคไหนจะเป็นรัฐบาล”

หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทยก็ยังมีวาระของการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ แต่ถ้าเกมพลิกไปเป็นพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณได้เป็นนายกรัฐมนตรี สถานการณ์ก็อาจจะหนักยิ่งกว่าเดิม เช่น อาจจะมีการต่ออายุของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)ชุดปัจจุบันก็เป็นไปได้ และเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญก็อาจจะยากขึ้นไปอีก

ต้องลุ้นว่าพรรคเพื่อไทยจะเอาอย่างไรกับประเด็นกับเรื่องนี้ ที่สำคัญต้องดูว่าพรรคเพื่อไทยจะสามารถข้ามพ้นวาระของตัวเองได้หรือไม่ คือวาระของครอบครัวชินวัตร ถ้าสามารถข้ามพ้นได้ก็อาจจะทำให้มีความหวังมากขึ้น แต่ถ้าไม่สามารถข้ามพ้นไปได้ ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง

ชวนจับตาเพื่อไทย จะข้ามพ้นวาระส่วนตัวได้หรือไม่

สมบูรณ์ กล่าวว่า ตอนนี้ต้องชวนกันจับตาพรรคเพื่อไทยว่า จะเอาประโยชน์ส่วนตัวหรือส่วนรวมเป็นที่ตั้ง เพราะผลจากที่ออกมาจะต่างกัน ซึ่งต่างจากท่วงทำนองทางการเมืองของพรรคก้าวไกลที่ต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

“การเมืองยุคนี้คาดเดาได้ยากมาก ซึ่งจะส่งผลไปถึงการแสดงท่าทีของภาคประชาชนด้วย เพราะไม่รู้จะเคลื่อนไหวอย่างไร”

การออกมาเคลื่อนไหวของภาคประชาชนหลังจากนายพิธา ลิ้มเตรญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.นั้นก็เป็นการเคลื่อนไหวแบบชั่วขณะ เนื่องจากความไม่พอใจหรือคับแค้นใจ แต่จะดึงอารมณ์ของคนทั้งหมดให้มามีส่วนร่วมได้น่าจะยังไม่ถึงขนาดนั้น คนส่วนใหญ่ก็รอดูท่าทีอยู่

แฟ้มภาพ

ก้าวไกล อีก 4 ปีก็ไม่สาย ใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาส

สมบูรณ์ กล่าวว่า สำหรับพรรคก้าวไกลคิดว่า ถ้ารออีก 4 ปีก็ไม่น่าจะสาย แต่ก็ต้องเข้าใจท่วงทำนองทางการเมืองแบบใหม่ของพรรคก้าวไกลด้วย เพราะเป็นพรรคที่เล่นการเมืองแบบตรงไปตรงมา และเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง พยายามสร้างพรรคการเมืองที่เป็นของมวลชน จึงทำให้เห็นมิติใหม่ๆ ในทางการเมือง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าได้เป็นรัฐบาลแล้วจะแก้ปัญหาได้ทั้งหมด

“อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นพรรคการเมืองที่เข้าอกเข้าใจและมีพื้นที่สื่อสารกับประชาชนได้ ซึ่งต่างจาก 9 ปีที่ผ่านมาที่คิดว่าไม่มีแบบนี้ เพราะเป็นรัฐบาลที่ไม่ฟังใคร นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจน เพราะฉะนั้นถ้าถามว่า เสียดายหรือไม่ที่พรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นรัฐบาล ก็เสียดาย” สมบูรณ์ กล่าว

สมบูรณ์ กล่าวด้วยว่า แต่ถ้าใช้วิกฤตนี้เป็นโอกาส มันก็จะเป็นการสร้างการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ เพราะสิ่งที่ได้มายากนั้นจะมีคุณค่าอยู่ก็ได้ 

มุมมองต่อ ม.112 กับกลุ่มอำนาจอิงแอบ

“ผมคิดว่าเวลาเราวิเคราะห์โครงสร้างปัญหาสังคมการเมืองไปให้สุด เราก็จะเจอต่อเดียวกัน ก็คืออำนาจเด็ดขาดเบ็ดเสร็จ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทุนสุมหัวกับอำนาจทางการเมือง ระบบราชการ อำนาจรัฐ อำนาจความมั่นคง นี่คือยอดของโครงสร้างอำนาจ ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่อิงแอบสถาบัน”

ยิ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผมคิดว่าภาพค่อนข้างชัดว่า เวลาพรรคการเมืองทั่วไปพูดถึงปัญหามักจะไม่แตะปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะฉะนั้นการที่พรรคก้าวไกลยืนยันถึงการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 คือการต่อสู้ในเชิงสัญลักษณ์ที่ทำให้เห็นว่า พรรคการเมืองต่างๆไม่ควรที่จะอิงแอบ กับสถาบันพระมหากษัตริย์อีกแล้ว

 “ย้อนกลับไปที่อย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยตรัสไว้ว่าอย่าได้นำ มาตรา 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะผลเสียหายก็คือพระองค์ท่านเอง ซึ่งก็ชัดเจน”

“เพราะฉะนั้น ผมคิดว่า พรรคก้าวไกลยืนยันเรื่องนี้ก็เหมือนจะบอกว่า ถ้าจะแก้ปัญหาสังคมไทยให้ได้มันก็ต้องไปจัดการพวกกลุ่มอำนาจต่างๆ เหล่านั้นให้ได้ เพราะเชื่อว่ากลุ่มอำนาจเหล่านี้ไปแอบสถาบันพระมหากษัตริย์ และใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือในการจัดการฝ่ายตรงข้าม ซึ่งชัดมาก ซึ่งสังคมไทยจำเป็นจะต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้” 

แฟ้มภาพ

อย่าสบประมาทพรรคของคนรุ่นใหม่

สมบูรณ์ กล่าวว่า เมื่อถามว่าสถานการณ์เช่นนี้ไปจะไปสิ้นสุดตรงไหน นายสมบูรณ์ กล่าวว่า ตนคิดว่ายังจะไม่สิ้นสุดภายใน 1 -2 ปีนี้ แต่คิดว่าคนจะตื่นรู้เองจากการถูกกระทำต่างๆ ซึ่งนักวิเคราะห์ต่างๆ จะก็คงจะอ่านสถานการณ์ออก

“ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีใครกล้าออกมาด่าขนาดนี้  จากการที่พิธาถูกเล่นงานถึง 2-3 ชั้น คือ ชนะเลือกตั้งแต่นายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้เป็น แถมยังถูกห้ามปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.อีก จะเป็นผู้นำฝ่ายค้านก็ไม่ได้ และยังอาจจะถึงขั้นถูกยุบพรรค ซึ่งมันเกินกว่าเหตุ แต่ผมก็คิดว่าสังคมก็มีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”

การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต้องอาศัยเวลา ซึ่งจากการเคลื่อนไหวเล็กๆ เมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว หลายคนก็ปรามาสว่า คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นซึ่งชัดเจนมากที่สุดก็คือในวันเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่มีผู้เลือกพรรคก้าวไกลมากที่สุดถึง 14 ล้านเสียงซึ่งเป็นเสียงที่ไม่น้อยที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

นำปัญหาชาวบ้านในมิติการถูกข่มเหงเข้าสภา

สมบูรณ์ กล่าวว่า ถ้าเราหลับหูหลับตาว่าใครก็ได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นายกฯ คนนี้ก็คงจะไม่กล้าที่จะไปแตะปัญหาเชิงโครงสร้าง ปัญหาก็ยังอยู่แบบเดิมซึ่งมันไม่ใช่ทางออกของประเทศ แต่เด็กๆมองไปถึงการหาทางออกให้ประเทศจึงมองไปถึงเรื่องโครงสร้างปัญหาทางสังคมการเมือง ซึ่งต่างกับกลุ่มผู้คุมอำนาจที่ผ่านมา

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลได้นำปัญหาของชาวบ้านไปพูดคุยในสภา ซึ่งไม่ใช่การนำปัญหาแบบเดิมๆซ้ำๆที่ถูกนักการเมืองเก่านำไปพูดคุย เช่น ปัญหาไม่มีถนน ต้องการเขื่อน ฯลฯ แต่เอาปัญหาของชาวบ้านจริงๆ ในมิติของการถูกข่มเหง ถูกกระทำ ถูกคุกคาม รวมถึงปัญหาชายแดนใต้ เข้าไปสู่กระบวนการทางรัฐสภา

ห้อง ส.ส.คือที่ทำงานกับชาวบ้าน

สมบูรณ์ กล่าวว่า ยิ่งถ้าดูในรายละเอียดที่มากกว่านั้น ในห้อง ส.ส.ที่รัฐสภาก็จะเห็นข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจน เพราะห้อง ส.ส.พรรคก้าวไกลกลายเป็นที่ที่มีชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา ห้องพัก ส.ส. ก้าวไกลคือห้องทำงานที่มีชาวบ้านมากองอยู่เต็ม เพราะชาวบ้านเข้าไปพูดคุย ปรึกษาหารือ ให้ข้อมูลเพื่อนำเข้าไปผลักดันในสภา แต่ห้อง ส.ส.พรรคอื่นไม่มีที่ให้ชาวบ้าน

“นี่คือบรรยากาศที่ผมอยากเห็น เพราะแสดงถึงมิติทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลง นี่คือรายละเอียดที่ไม่สามารถนำภาพไปอธิบายกับสังคมได้อย่างไรว่า ทิศทางหรือมิติทางการเมืองที่พรรคก้าวไกลได้ออกแบบไว้ มันเปลี่ยนจริงๆ”

การเมืองแบบพรรคก้าวไกลเป็นการเมืองที่เกิดขึ้นมาโดยไม่ได้เกิดขึ้นจากหนี้บุญคุณใคร แต่เป็นหนี้บุญคุณของประชาชนที่เลือกเข้ามา 

“ผมไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล แต่ถ้าเราโหยหาสังคมการเมืองแบบนี้ เราก็ต้องสนับสนุนแนวทางการเมืองแบบนี้ ซึ่งไม่ใช่พรรคก้าวไกลก็ได้ ถ้ามีแนวทางแบบนี้เราก็พร้อมที่จะสนับสนุนพรรคการเมืองแบบนี้ให้มากที่สุด”

NGO ต้องส่งเสริมให้เกิดการเมืองแบบก้าวไกล

สมบูรณ์ กล่าวว่า NGO หรือนักพัฒนาเอกชนอาจจะไม่ได้คิดแบบผมทั้งหมด เพราะบางคนก็ไม่อยากให้ไปยุ่งการเมือง เพราะการเมืองไม่มีความหวัง แต่ผมคิดอีกแบบหนึ่ง คือ ปัญหาของชาวบ้านเป็นภาระหน้าที่ของเราอยู่แล้วที่ต้องขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหา

“ทว่า ปัญหาทั้งหมดที่เราเคลื่อนไหวนั้น ปรากฏว่ามันเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเรื่องการเมืองทั้งหมด แต่ผมก็ไม่ได้ช่วยชาวบ้านโดยการเอาตัวเองเข้าไปแตะกับการเมืองมาก แต่ผมคิดว่าเราควรส่งเสริมและสนับสนุน ให้เกิดการเมืองแบบใหม่แบบนี้ ที่เห็นและเข้าใจปัญหาของชาวบ้านมากขึ้น 

“เพราะฉะนั้น บทบาทหนึ่งขององค์กรพัฒนาเอกชนที่จะต้องทำ คือการส่งเสริมให้เกิดการเมืองแบบนี้ การเคลื่อนไหวทางสังคมขององค์กรพัฒนาเอกชนจึงไม่สามารถละเลยการเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ แต่อยู่ที่เราว่าจะเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากแค่ไหนให้เหมาะสมเท่านั้น”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net