เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้มีการจัดเสวนาทางวิชาการ ภาควิชาประวัติศาสตร์ โดย รศ.
"ประชาไท" เห็นว่าเป็นประเด็นเรื่องการเมืองวัฒนธรรมที่น่าสนใจ จึงขอเรียบเรียงมานำเสนอโดยละเอียดดังนี้
"ตัวอย่างคำบางคำที่ทำให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของการบัญญัติศัพท์ คือคำว่า "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ซึ่งอาจารย์ "การใช้ภาษาไทยยังเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมกำหนดความรู้สึกนึกคิดกำหนด เพราะการทำให้คนชาติพันธ์ต่างๆ ในประเทศใช้ภาษาไทย หมายถึงการทำให้คนเหล่านั้นตกอยู่ภายใต้โลกทัศน์ อุดมการณ์ ค่านิยม ภายใต้ความหมายที่ "ภาษาไทยมาตรฐาน" กำหนดเอาไว้นั่นเอง" "รัฐไทยในฐานะรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพิ่งรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางอย่างแท้จริง เมื่อสมัยรัชกาลที่5 ในสมัยนั้น จึงเน้นภาษาไทยเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางความคิด ทางค่านิยม ของคนในรัฐไทยอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ รัชกาลที่ 6 ได้ตรัสเอาไว้ว่า การแปลงสัญชาติเป็นไทยไม่ได้ทำให้เป็นไทย แต่จะเป็นไทยได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวันร่วมกับความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ภาษาไทยจึงเป็นตัวบอกว่า คุณเป็นสมาชิกที่ดีของชาติไทยหรือไม่ การใช้ภาษาไทยจึงเป็นการจรรโลงรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้มั่นคงและยั่งยืน" "ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีการบัญญัติศัพท์มากมายเช่น "เสรีภาพ" "สหกรณ์" เป็นต้น ในช่วงหลัง 2475 ยกตัวอย่าง เช่น ส. เสถบุตร ซึ่งเป็นนักโทษการเมืองในคดี "กบฏบวรเดช" ได้จัดทำ The New Model English-Siamese Dictionary 4 vol. (A-Z) (2480-2483) แม้ว่าไม่ใช่การบัญญัติศัพท์โดยตรง แต่ทำให้ศัพท์บัญญัติบางคำเป็นที่แพร่หลายขึ้น เป็นตัวอย่างที่ดีที่ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง" "อย่างไรก็ตาม ศัพท์บางคำที่กรมพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ทรงบัญญัติขึ้น เพื่อเน้นว่าอำนาจในการปกครองประเทศของประชาชน กลับเป็นศัพท์ที่ไม่ได้รับความนิยมแต่อย่างใด เช่นคำว่า "ประชาชาติ" เป็นต้น ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะศัพท์เหล่านี้ไม่สอดคล้องกับระบอบการปกครองที่อำนาจยังไม่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง และไม่เอื้อต่อการผูกขาดอำนาจรัฐของผู้นำทางทหารและระบบราชการนั่นเอง" |
o o o o
ความหมายของการเมืองวัฒนธรรม
"ความหมายของการเมืองวัฒนธรรม" หมายถึง การต่อสู้เพื่อรักษาหรือปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่เป็นการต่อสู้ในมิติทางวัฒนธรรมการสร้างความรู้ การบัญญัติศัพท์ การสร้างสรรค์ศิลปะแขนงต่างๆ เช่น ทัศนศิลป์ นาฏศิลป์ วรรณศิลป์ ฯลฯ กิจกรรมทางวัฒนธรรมดังกล่าวลึกลงไปเป็นการนิยามความหมาย ว่าอะไรคือ ความจริง ความดี ความงาม ความถูกต้อง อะไรที่มีคุณค่า
ประวัติศาสตร์ก็เป็นเรื่องของการนิยามความหมายว่า อะไรเป็นความจริงเกี่ยวกับอดีต ความจริงเกี่ยวกับอดีตที่เรามีจิตนาการถึงมัน จะมีผลให้เรามองปัจจุบันแล้วก็มองอนาคตของเราแตกต่างกันไป ซึ่งมีผลกับพฤติกรรมทางสังคมของเรา
ข้อสังเกตคือ การให้ความหมายในสมัยก่อน ประชาชนมีบทบาทน้อยในการสร้างความหมายที่จะสามารถครอบงำคนในวงกว้าง ส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างความหมายสำหรับความสัมพันธ์ในท้องถิ่นของตนเอง แต่ในระดับชาติแล้วชนชั้นนำจะมีอำนาจสูงในการผูกขาการนิยามความหมาย เพราะฉะนั้นจึงทำให้คนในประเทศทั้งหลายมีความคิดและความรู้สึกที่อยู่ในกรอบที่ถูกกำหนดโดยชนชั้นนำ ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจให้ดีเพื่อที่เราจะไม่ตกอยู่ในการครอบงำทางวัฒนธรรม ทางความคิดและความรู้สึก เพื่อที่จะมีเสรีภาพอย่างแท้จริง
การบัญญัติศัพท์พวกเรามักจะนึกถึงว่าเป็นเรื่องของภาษา ที่ไม่มีเรื่องของอำนาจหรือเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่
การบัญญัติศัพท์ยังมีมิติของอำนาจเข้ามาควบคุมความรู้สึกนึกคิดและโลกทัศน์ของคน การศึกษาการบัญญัติศัพท์ในการเมืองวัฒนธรรมจะทำให้เข้าใจถึงอำนาจของภาษา ทำให้เราตระหนักว่าภาษาถูกกำหนดโดยบริบททางการเมืองค่อนข้างสูงในอดีตที่ผ่านมา ตัวอย่างคำบางคำที่ทำให้เราเข้าใจถึงความสำคัญของการบัญญัติศัพท์ คือคำว่า "ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" ซึ่งอาจารย์
ความสำคัญทางการเมืองของภาษาไทย
ภาษาไทยมีความสำคัญทางการเมืองอย่างน้อยตั้งแต่ปลายพุทธศตวรรษที่ 19 จนถึงสมัยที่เกิดรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีการปลูกฝังให้คนทั่วประเทศใช้ภาษาไทยไม่เพียงแต่เพื่อประโยชน์ในการสื่อสารเท่านั้น การใช้ภาษาไทยยังเป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมกำหนดความรู้สึกนึกคิดกำหนด เพราะการทำให้คนชาติพันธ์ต่างๆ ในประเทศใช้ภาษาไทย หมายถึงการทำให้คนเหล่านั้นตกอยู่ภายใต้โลกทัศน์ อุดมการณ์ ค่านิยม ภายใต้ความหมายที่ "ภาษาไทยมาตรฐาน" กำหนดเอาไว้นั่นเอง เพราะฉะนั้นในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงมีการสร้างภาษาไทยมาตรฐานอย่างมาก
การใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องจะทำได้ก็ต่อเมื่อเราเข้าใจวัฒนธรรมที่แบ่งคนออกเป็นลำดับชั้น เราจะต้องรู้ว่าใครอยู่ในที่สูงกว่าเรา ใครเป็นผู้ใหญ่ ใครเป็นผู้น้อย ความหมายของคำว่า "กตัญญูกตเวที" ความหมายของคำว่า "จงรักภักดี" เราจะเข้าใจความหมายของคำเหล่านี้ เมื่อเราเข้าใจการจัดลำดับชั้นทางสังคม ซึ่งก็คือการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจในรัฐไทย การใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องจึงผูกพันอย่างแนบแน่นกับโลกทัศน์อุดมการณ์ชาตินิยมที่มีรากฐานของการแบ่งชั้นอย่างซับซ้อนของสังคมไทย
ยกตัวอย่างงานของ จิตร ภูมิศักดิ์ ในหนังสือ "โองการแช่งน้ำและข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา" ในงานชี้ให้เห็นว่ามีการใช้ภาษาไทยในกรณีที่ต้องการให้คนในวงกว้างได้เข้าใจ ถ้าไม่ต้องการให้คนในวงกว้างเข้าใจจะไม่ใช้ภาษาไทย อาจใช้ภาษาเขมร สันสกฤต ทำไมจึงมีการใช้ภาษาไทยในบางกรณีเท่านั้น เช่นใน โองการแช่งน้ำพระพัทธ์ โองการดำน้ำ กฎหมายกลับใช้ภาษาไทยมาก เพราะภาษาไทยเป็นภาษาที่คนหลายชาติพันธ์ในสมัยนั้นเข้าใจร่วมกันของคนหลายชาติ
อาจารย์
รัฐไทยในฐานะรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เพิ่งรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางอย่างแท้จริง เมื่อสมัยรัชกาลที่5 ในสมัยนั้น จึงเน้นภาษาไทยเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางความคิด ทางค่านิยม ของคนในรัฐไทยอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ รัชกาลที่ 6 ได้ตรัสเอาไว้ว่า การแปลงสัญชาติเป็นไทยไม่ได้ทำให้เป็นไทย แต่จะเป็นไทยได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวันร่วมกับความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์
ภาษาไทยจึงเป็นตัวบอกว่า คุณเป็นสมาชิกที่ดีของชาติไทยหรือไม่ การใช้ภาษาไทยจึงเป็นการจรรโลงรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้มั่นคงและยั่งยืน ทำให้คนทั้งประเทศเข้ามาสู่ภาษาเดียวกัน ภาษาที่จรรโลงสังคมที่แบ่งคนเป็นลำดับชั้นเช่นเวลาจะใช้สรรพนาม "คุณ" กับผู้ที่เป็นหม่อมราชวงศ์ แต่ประชาชนธรรมดากลับเรียกคุณไม่ได้ มีสรรพนามเช่น "มึง" "ฝ่าพระบาท" "ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท" จะเห็นว่ามีชั้นของสรรพนามอยู่ และยังมีชั้นของลีลาที่จะใช้พูดกำหนดไว้ จึงเป็นเครื่องมือในการสืบผ่านอำนาจของชนชั้นสูงได้
แต่เดิมพุทธศาสนาใช่อักษรขอม ใช้ภาษาบาลี ในรัชกาลที่ 5 มีการดำเนินนโยบายอย่างจริงจังมากที่จะทำให้คำสอนของศาสนาพุทธอยู่ในรูปของภาษาไทย ผู้ที่ได้รับหมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้อย่างจริงจังคือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้แต่งตำราธรรมเป็นภาษาไทย โดยตำราเหล่านี้เป็นตำราที่ใช่ศึกษาของคณะสงฆ์ ศาสนาพุทธจึงกลายเป็นไทย กลายเป็นความคิดที่อยู่ในภาษาไทย เมื่อนำเอาศาสนาพุทธแบบนี้ไปเผยแพร่ให้คนในประเทศรับรู้
มีพระในสายธรรมยุตออกไปสอนศาสนาให้ชาวบ้าน บอกชาวบ้านว่าการนับถือผีไม่ถูกต้องทำให้คนเข้าหาศาสนาที่มีกรุงเทพเป็นศูนย์กลาง กรุงเทพฯจึงเป็นผู้กำหนดมาตรฐานว่าอะไรคือความคิดของศาสนาที่ถูกต้อง
มีศัพท์หลายคำที่ถูกเปลี่ยนจากภาษาอื่นมาเป็นภาษาไทยโดยชนชั้นนำในรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์บัญญัติขึ้น เช่น คำว่า "สถาปนิก" รัชกาลที่ 6 ทรงบัญญัติขึ้นมา ในช่วงหลังสนธิสัญญาเบาริง พ.ศ.2398 เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม รวมทั้งกฎหมายสมัยใหม่ จึงมีการบัญญัติศัพท์อย่ามาก เพราะการเข้ามาของความคิดแบบตะวันตกที่ได้นำเอาโลกทัศน์ อุดมการณ์ใหม่ๆเข้ามามากมาย ชนชั้นนำในสมัยนั้นได้ตระหนักเป็นอย่างดีว่าภาษาเป็นเรื่องของอำนาจ เมื่อมีคำใหม่ๆเข้ามาสื่อสารกันจึงจำเป็นจะต้องควบคุมความหมายของคำเพื่อที่จะควบคุมความรู้สึกนึกคิดของคน ถึงแม้ว่าจะควบคุมไม่ได้อย่างเด็จขาดก็ตาม
ยกตัวอย่างของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ชี้ให้เห็นว่าท่านมีการเลือกใช้คำอย่างมีสำนึกและระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เช่น คำว่า "พงศวดาร" แม้ว่าคนอื่นจะรู้จักคำว่า "ประวัติศาสตร์" แต่ท่านยังยืนยันจะใช้คำนี้อยู่เพราะต้องการยืนยันความสำคัญของพระมหากษัตริย์ มีหนังสือที่น่าสนใจคือ นิทานโบราณคดี ท่านได้เขียนหนังสือเล่มนี้ในปี พ.ศ.2483 ซึ่งเป็นช่วงที่ จอมพล ป. มีอำนาจสูงสุด ท่านใช้คำว่า "นิทาน" ทั้งๆ ที่สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ ได้ทักท้วงว่าไม่ควรจะใช้คำว่า "นิทาน" เพราะว่าเป็นการบอกผู้อ่านว่าไม่ใช่เรื่องจริงให้หาคำอื่นมาใช่แต่ท่านก็ยังยืนยันเช่นเดิม เหตุที่ท่านใช้คำว่า "นิทาน" ก็เพื่อไม่ให้คนที่มีอำนาจสูงสุดในเวลานั้นรู้สึกว่าท่านกำลังประกาศความจริงอะไรผ่านนิทานโบราณคดี
แท้จริงแล้วเป็นการประกาศว่าชนชั้นนำในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ทำการปฏิรูปประเทศจนบังเกิดผลดีอย่างมากในทุกๆด้าน ทรงระบุในคำนำว่า "เรื่องต่างๆจะเล่าต่อไปนี้ ล้วนเป็นเรื่องจริงซึ่งตัวฉันได้รู้เห็นเอง มิได้คิดประดิษฐ์ขึ้นใหม่ แต่เป็นเรื่องเกร็ดนอกพงศวดาร" ถ้าท่านไม่ได้ใช่คำว่า "นิทาน" หนังสือนี้อาจไม่ได้รับการตีพิมพ์ขึ้นในงานพระราชทานเพลิงศพของพระองค์ใน พ.ศ.2487 มีการตีพิมพ์ซ้ำอีกหลายครั้ง จนทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของการรื้อฟื้นอำนาจนำของ "เจ้า" และพวก "นิยมเจ้า" ในปลายทศวรรษ 2480 เป็นต้นมา
ในนิทานโบราณคดีอีกเช่นเดียวกัน ขอยกตัวอย่างคำว่า "โซเซียลลิสต์" แต่เดิมก่อน พ.ศ. 2475 คำว่า "โซเซียลลิสต์" เป็นคำที่ถูกต่อต้านมาก มีความพยายามทำให้ความหมายของศัพท์ดังกล่าวหมดพลัง เช่น ในรัชกาลที่ 6 ทรงแสดงให้เห็นว่า สังคมแบบโซเซียลลิสต์ก็ไม่ต่างไปจากยุคพระศรีอาริย์ ซึ่งทุกอย่างดีมาก แต่ก็เป็นเพียงอุดมคติที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกของความเป็นจริง ในขณะที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในการเล่าเรื่อง "สมาคมไทยอย่างโบราณ" (เป็น "นิทานโบราณคดี" เรื่องหนึ่ง) ว่า ชีวิตชาวบ้านไทยก็เป็นโซเซียลลิสต์อยู่แล้ว "ถ้าจะอวดว่าว่าสมาคมโซเซียลลิสต์มีมาในเมืองไทยหลายร้อยปีแล้วก็ได้กระมัง" เป็นการโต้ตอบอิทธิพลของลัทธิโซเซียลลิสม์รวมทั้งแนวคิดที่ อาจารย์
การเมืองวัฒนธรรมในการบัญญัติศัพท์
ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีการบัญญัติศัพท์มากมายเช่น "เสรีภาพ" "สหกรณ์" เป็นต้น ในช่วงหลัง 2475 ยกตัวอย่าง เช่น ส. เสถบุตร ซึ่งเป็นนักโทษการเมืองในคดี "กบฏบวรเดช" ได้จัดทำ The New Model English-Siamese Dictionary 4 vol. (A-Z) (2480-2483) แม้ว่าไม่ใช่การบัญญัติศัพท์โดยตรง แต่ทำให้ศัพท์บัญญัติบางคำเป็นที่แพร่หลายขึ้น เป็นตัวอย่างที่ดีที่ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการต่อสู้ทางการเมือง
อาจารย์
บุคคลที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุดในการบัญญัติศัพท์ และเป็นบุคคลที่ได้กล่าวอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ว่าการควบคุมความหมายของคำ โดยเฉพาะคำที่เกี่ยวกับความรู้สึกนึกคิด ก็คือ พระองค์วรรณฯ หรือพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
ภูมิหลังของท่านเป็นโอรสของกรมพระนราธิประพันธ์พงศ์ บิดาของท่านเป็นเจ้านายที่มีบทบาทมากในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตัวท่านเองจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอ๊อกฟอดส์ จึงเป็นผู้ที่มีความรู้มากแต่ตัวท่านเองเป็นหม่อมเจ้า ในตอนหลังท่านจึงได้เลื่อนขึ้นมาเป็นพระองค์เจ้า ท้ายที่สุดจึงได้เป็นพระเจ้าวรวงค์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
หม่อมเจ้าในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มีโอกาสน้อยมากที่จะได้ตำแหน่งราชการที่สำคัญ ดังนั้นท่านจึงสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เพราะคิดว่าจะทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองเต็มที่ ภายหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโอกาสที่ท่านจะมีตำแหน่งที่ได้ทำงานตามความรู้ความสามารถมากขึ้น งานส่วนใหญ่ของท่านเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม แต่ท่านไม่ใช่ผู้ที่ตอบสนองต่อนโยบายของ จอมพล ป. อย่างตรงไปตรงมา แต่ส่วนมากจะมีบทบาทเป็นที่ปรึกษา
ในงานเขียนของท่านเช่น "ประวัติการทูตไทย" เป็นงานที่แสดงให้เห็นว่าไทยมีวัฒนธรรมทางการทูตที่เน้นการประสานประโยชน์ ไม่ใช่การทำสงคราม งานชิ้นนี้จึงเป็นผลงานที่แสดงว่า ท่านไม่ได้คล้อยตามนโยบาย จอมพล ป. แต่ จอมพล ป. ก็สนับสนุนให้ท่านทำงานตลอดมา ในสมัยของจอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์ท่านจะมีบทบาทด้านการต่างประเทศเป็นหลัก ถึงแม้ว่าท่านจะทำงานให้หลายรัฐบาลแต่ท่านก็ไม่ได้ทำงานรับใช้อย่างเต็มที่ ถ้าอ่านงานของท่านจะพบว่าท่านมีความเป็นนักมนุษยธรรมค่อนข้างมาก ในสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆท่านได้ทำหนังสือพิมพ์ "ประชาชาติ" ให้ภรรยาของท่านเป็นผู้อำนวยการ ให้ "กุหลาบ สายประดิษฐ์" ซึ่งเป็นนักเขียนหัวก้าวหน้ามากเป็นบรรณาธิการ ท่านจึงเป็นบุคคลที่มีจุดยืนของท่านเองสูง
ท่านให้ความสำคัญกับการบัญญัติศัพท์อย่างต่อเนื่องจนถึงปีสุดท้ายท่านก็ยังบัญญัติศัพท์คำว่า "มลพิษ" ท่านให้ความสำคัญกับการบัญญัติศัพท์ก็เพราะว่าภาษาเป็นตัวกำหนดวิธีคิดของมนุษย์และกำกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังนั้นท่านจึงมีความพยายามที่จะทำให้คำจากภาษาตะวันตกเป็นจำนวนมากกลายเป็นคำไทย โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้คำเหล่านี้ช่วยควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสังคมวัฒนธรรมไทยในปัจจุบันและอนาคต
ท่านไม่ต้องการให้รักษาของเดิมเอาไว้อย่างตายตัว ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ต้องการให้เปลี่ยนใหม่เร็วเกินไป ท่านต้องการให้เกินการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วงที่ท่านได้บัญญัติศัพท์มากที่สุดคือทศวรรษ 2490 ในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงสงครามเย็นที่มีการต่อสู้กันระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้น ปัญญาชนฝ่ายซ้ายจะทำงานกันอย่างคึกคักในช่วงนี้ จะมีงานแปลหนังสือในกรอบทฤษฏีมาร์กซิสต์ที่มาจากยุโรปและจีน ท่านจึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างความหมายของคำเพื่อที่จะทำให้ความหมายที่สร้างขึ้นเกิดความรู้สึกนึกคิดที่จะเปลี่ยนสังคมไม่ให้เดินเร็วเกินไป เปลี่ยนในขอบเขตและทิศทางที่เหมาะสม
การบัญญัติศัพท์ของพระองค์วรรณฯจะแตกต่างกับปัญญาชนกระแสหลักเพราะว่าพื้นฐานภูมิหลังของท่านทำให้ท่านไม่ต้องการภาษาไทยแบบมาตรฐาน มีแบบแผนในเชิงที่จะทำให้ผู้คนยอมรับชนชั้นของตนเอง แต่ท่านต้องการเน้นความสำคัญของภาษาไทยในฐานของประชาชาติไทย ท่านไม่ได้ใช้คำว่าชาติไทย อย่างที่หลวงวิจิตรวาทการ หรือพระยาอนุมานราชธน ที่ใช้คำว่าชาติไทยเหมือนที่คนอื่นๆนิยมใช้กันในสมัยนั้น เพื่อที่จะเน้นว่าเป็นชาติของประชาชน ในประชาชาติไทยท่านคิดว่าจะต้องมีภาษาไทยที่เจริญขึ้นเนื่องจากโลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช้การเจริญขึ้นอย่างปราศจากการควบคุม จึงต้องบัญญัติศัพท์ที่จะควบคุมความหมายแล้วจะช่วยให้การพัฒนาเดินทางไปสู่ทางสายกลางไม่เดินเร็วเกินไป เหมือนกับตุ้มนาฬิกาถ้าแกว่งซ้ายแรงเกินก็จะตีกลับมาแรง การเปลี่ยนแปลงจะไม่เปลี่ยนอย่างราบรื่นแต่การเปลี่ยนแปลงจะเต็มไปด้วยปัญหา
ท่านเคยกล่าวว่า "ประเทศสยามได้ดำเนินก้าวหน้าไปเป็นอันมาก และปัญหาบ้านเมืองยุ่งยากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า การปกครองก็ดี การทำมาหากินก็ดี ได้เปลี่ยนรูปไปตามทำนองของอารยประเทศ เมื่อความเป็นจริงได้ยุ่งยากขึ้นเช่นนี้ ถ้อยคำสำหรับพรรณนา หรือความบรรยายความเป็นจริงนั้น ก็ต้องยุ่งยากขึ้นเป็นเงาตามตัว ศัพท์แสงและวิธีพูด จึงต้องยุ่งยากขึ้นตามกัน"
"ความรู้สึกนึกคิดที่ง่าย เช่นการแสดงความชื่นชมยินดี หรือแสดงความขอบใจ ก็ย่อมใช้ถ้อยคำที่ง่ายให้เหมาะแก่กาลเทศะ แต่แม้การแสดงความรู้สึกดังกล่าว ก็เปลี่ยนเป็นสภาพเป็นลำดับมาด้วยเหมือนกัน"
คำว่า "ปฏิวัติ" และคำว่า "อภิวัฒน์" เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการต่อสู้ทางความคิดระหว่างพระองค์วรรณฯกับอาจารย์
พระองค์วรรณฯดำริว่าคำที่ใช้เรียกเหตุการณ์วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ควรจะเป็นคำว่า "ปฏิวัติ" เพราะว่า "รัฐประหาร" หรือ "ยึดอำนาจ" หรือ "การเปลี่ยนแปลงการปกครอง" ซึ่งเป็นคำที่คณะราษฎรในสมัยแรกๆนิยมใช้และคำว่า "พลิกแผ่นดิน" ซึ่งหลวงวิจิตรวาทการได้ใช้อยู่ในปี พ.ศ. 2475 นั้น พระองค์ไม่ทรงเห็นด้วยเลย ทรงใช้เห็นผลว่า คำที่ใช้มาเป็นคำเก่า ไม่เหมาะสำหรับการสื่อความหมายของการเปลี่ยนแปลงในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เนื่องด้วยการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญมาก ดังนั้น จึงควรมีคำใหม่ที่ถอดความออกมาจากคำว่า Revolution ทรงอธิบายว่า "...การเปลี่ยนแปลงของเรานั้น ไม่ใช่การพลิกแผ่นดิน แต่เป็น Revolution การเปลี่ยนแปลงจากราชาธิปไตยมาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญนั้น แม้ไทยจะว่ากระไร ฝรั่งก็ว่าเป็น Revolution เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง..."
"อันคำว่า ปฏิวัตินั้น ข้าพเจ้าได้เลือกเฟ้นให้เหมาะกับความหมายในภาษาอังกฤษแล้ว กล่าวคือ แผ่นดินหมุน ไม่ใช่การหมุนแผ่นดิน "ปฏิวัติ"เป็นอกรรมกริยาซึ่งแสดงการหมุนของวัตถุต่างๆ ทั้งนี้เป็นอาการในธรรมชาติ และไม่มีที่เสียหายอย่างใดเลย เพราะฉะนั้น พระยากัลยาไมตรี ซึ่งเป็นผู้หวังดีต่อไทยโดยไม่มีใครโต้เถียงได้ ก็เรียกการเป็นไปในวันที่ 24 มิถุนายน ว่า เรวอลูชั่น หรือปฏิวัติ..."
"แต่ปฏิวัติกรหรือผู้หมุนแผ่นดินนั้น ...เป็นการฝืนธรรมชาติ... คนเราไม่ควรคิดหมุนแผ่นดิน แต่หากควรปล่อยให้แผ่นดินหมุนไป มิใช่ไปขัดไว้ ถ้าหากใครไปขัดไว้ข้าพเจ้าก็ไม่นิยมเหมือนกัน
พวกหมุนแผ่นดินนี้เห็นว่า ร่างแผ่นดิน หรือ รัฐกาย นั้นผิดทั้งเรื่อง ควรจะสร้างขึ้นใหม่ โดยเนรมิตขึ้นให้ถูกหลักแหล่งเหตุผล ซินดิคะลิสต์ในสเปนซึ่งมีความมุ่งหมายให้คนงานเป็นใหญ่ในการค้า และพวกคอมมิวนิสต์ในโซเวียตมีความมุ่งหมายให้คนงานเป็นใหญ่ในการเมือง เป็นต้น ลัทธิหมุนหรือพลิกแผ่นดินเหล่านี้โลกไม่นิยม เพราะเป็นการฝืนธรรมชาติ ข้าพเจ้าเป็นนักแก้รูปหรือปฏิรูปกาลี (reformer) มิใช่นักหมุนแผ่นดินหรือปฏิวัติกร (revolutionary)"
หากเปรียบเทียบพระดำริพระองค์วรรณฯกับความคิดของผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือน จะพบว่าผู้นำคณะราษฎรสายพลเรือนมีความก้าวหน้ากว่า ที่แสดงออกในร่าง "เค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ" แต่ถ้าเปรียบท่านกับปัญญาชนกระแสหลักส่วนใหญ่ก็มีความแตกต่างกันมากเหมือนกัน เพราะปัญญาชนส่วนใหญ่ต้องการให้สังคมหยุดโครงสร้างสังคมแบบชนเป็นลำดับชั้นเอาไว้ หยุดความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่คนหยิบมือเดียวมีอำนาจเอาไว้ แต่พระองค์ไม่ต้องการเช่นนั้น
ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ได้มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าแบบอาจารย์ปรีดี ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบธรรมชาติ แต่ก็ได้รับการคัดค้านในวันที่ 29 กรกฎาคม 2505 ในที่ชุมนุมภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นการอภิปรายหน้าพระที่นั่ง ซึ่งมีพระองค์วรรณฯเป็นผู้ทรงเข้าร่วมอภิปราย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เสนอแนวคิดคัดค้านการบัญญัติศัพท์เอาไว้
"เหตุที่สองในความวิบัติทางภาษาไทยนั้น ก็น่าจะได้แก่ ผู้ที่เป็นผู้ทรงวิทยาความรู้นั้น ชอบคิดเป็นฝรั่งมากกว่าชอบคิดเป็นไทย และเมื่อคิดเป็นฝรั่งแล้ว ในที่สุดเมื่อจะใช้ความคิดออกมาเป็นไทย ก็ย่อมจะหาคำไทยไม่ได้ เพราะถ้าผู้นั้นคิดเป็นฝรั่งเสียแล้ว ก็ย่อมอยากจะแสดงความคิดเห็นให้ตรงกับในใจของตนที่คิด เมื่อหาคำไทยใช้ไม่ได้ ก็ไม่ได้คิดเป็นไทย ก็ย่อมจะต้องบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่ เพื่อให้ตรงกับภาษาฝรั่งที่ตนคิด ด้วยเหตุนี้ก็ได้มีคำไทยมากมายเกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น แค่ว่าความประสงค์นั้นเพื่อจะให้ตรงกับภาษาฝรั่งถ่ายเดียว"
ในที่ประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดำรัสด้วยว่า
"ภาษาไทยนั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ประเทศไทยนั้นมีภาษาของเราเองซึ่งต้องหวงแหน ประเทศใกล้เคียงของเราหลายประเทศมีภาษาเป็นของตนเอง แต่ว่าเขาไม่ค่อยแข็งแรง...เรามีโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้...อย่างหนึ่งต้องรักษาบริสุทธิ์ในทางออกเสียง...อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้...ปัญหาที่สามคือความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้...การบัญญัติศัพท์ใหม่ก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน จำเป็น แต่อันตราย"
เพื่อให้การบัญญัติศัพท์เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม กรมพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ทรงพยายามชี้ให้เห็นความสำคัญของคนในสังคม ดังนี้
"ในเวลานี้ถ้าเราจะถามตนเองว่า ไทยมีอะไรที่เป็นอารยธรรมของตน เราคงตอบว่ามีภาษาไทยนี้เอง ศิลปกรรม โภคกรรม หรือแม้แต่รัฐธรรม ก็เป็นไปตามทำนองของยุโรป เพราะเขาถ่ายแบบอารยธรรมของเขาก็ดี แต่ภาษาที่เราใช้นั้น เราพยายามให้เป็นไทยมากที่สุด ที่เราพึงกระทำได้ ทั้งนี้เป็รอันพึงปรารถนาสองสถาน คือคนไทยจะได้มีโอกาสเข้าใจได้ถนัดสถานหนึ่ง และจะได้เป็นการรักษาอารยธรรม และรักษาความเป็นชาติของเราอีกสถานหนึ่ง"
อย่างไรก็ตาม ศัพท์บางคำที่กรมพระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ทรงบัญญัติขึ้น เพื่อเน้นว่าอำนาจในการปกครองประเทศของประชาชน กลับเป็นศัพท์ที่ไม่ได้รับความนิยมแต่อย่างใด เช่นคำว่า "ประชาชาติ" เป็นต้น ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะศัพท์เหล่านี้ไม่สอดคล้องกับระบอบการปกครองที่อำนาจยังไม่เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง และไม่เอื้อต่อการผูกขาดอำนาจรัฐของผู้นำทางทหารและระบบราชการนั่นเอง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)