Skip to main content
sharethis

กรุงเทพฯ-13 ต.ค.47 ผู้พิพากษาศาลอาญาออกนั่งบัลลังก์สืบพยานจำเลยในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญาเป็นโจทก์ฟ้อง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ และหนังสือพิมพ์แนวหน้า เมื่อวันที่ 16 ส.ค.45 ในคดีหมิ่นประมาทตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมากว่า เขียนคำวินิจฉัยคดีซุกหุ้นเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้พ้นผิดถือเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ

ตุลาการศาลรั-ฐธรรมนูญเสียงข้างมากทั้ง 8 คนที่ถูกระบุ ได้แก่ นายกระมล ทองธรรมชาติ, นายจุมพล ณ สงขลา, นายผัน จันทรปาน, นายศักดิ์ เตชาชาญ, นายปรีชา เฉลิมวณิชย์, พล.ท.จุล อติเรก, นายอนันต์ เกตุวงศ์ และนายสุจินดา ยงสุนทร

ทั้งนี้ในการสืบพยาน นายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายจำเลยขอเบิกตัวนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลอุทธรณ์-ภาค 7 มาเป็นพยานฝ่ายจำเลย โดยเหตุที่จำเป็นต้องมาเป็นพยานให้ฝ่ายจำเลย เพราะศาลอาญาได้ออกหมายเรียกส่วนตัวรู้จักกับนายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายจำเลย(น.ต.ประสงค์) เนื่องจากเคยเป็นทนายความอยู่สำนักงานเดียวกันมาก่อน และรู้จักกับนายจุมพล ณ สงขลา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเคยเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกามาก่อน

นายวสันต์เบิกความว่า ก่อนการลงมติในคดีซุกหุ้นของนายกรัฐมนตรี นายจุมพล ณ สงขลา ได้เดินทางมาพบที่ห้องทำงานชั้น 4 ของศาลฎีกา เพื่อมาขอคำปรึกษาว่าหากจะเขียนคำวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีความผิดในคดีซุกหุ้น เพราะไม่เข้าข่ายมาตรา 295 ของรัฐธรรมนูญ จะเหมาะสมหรือไม่

ซึ่งนายวสันต์ได้สอบถามนายจุมพลว่า ตกลง "จะอุ้มนายกฯ ทักษิณ" ใช่หรือไม่ นายจุมพลตอบว่าประชาชนกว่า 11 ล้านคนเลือก พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นนายกฯ จะให้เสียงของคนไม่กี่คนมาทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นตำแหน่งได้อย่างไร

ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยังเบิกความด้วยว่า เขาได้ทักท้วงนายจุมพลว่า เมื่อเป็นผู้พิพากษาถ้าหากใครทำผิดกฎหมายก็ต้องลงโทษไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่ก็แนะนำไปว่าถ้าจะ "อุ้ม" ควรจะวินิจฉัยในเรื่องของข้อเท็จจริงของคดี มากกว่าใช้การตีความตามข้อกฎหมาย ซึ่งภายหลังจากที่ได้มีการลงมติในคดีซุกหุ้นไปแล้ว ก็ได้พบกับนายจุมพลอีกครั้งหนึ่ง และได้ซักถามว่าเหตุใดนายจุมพลจึงวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ผิด เพราะไม่เข้าข่ายตามมาตรา 295 ของรัฐธรรมนูญ ที่ในขณะนั้นตุลาการที่วินิจฉัยในข้อกฎหมายว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ผิด เพราะไม่เข้าข่ายมาตรา 295 ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง กว่าตุลาการที่วินิจฉัยในข้อเท็จจริง

นายวสันต์เบิกความต่อไปว่า นายจุมพลได้ให้เหตุผลกับเขาว่า ที่ไม่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงก็เพราะเกรงว่าจะฝืนกับข้อเท็จจริงที่มีอยู่ ทั้งระหว่างพิจารณาคดีซุกหุ้นนายกล้านรงค์ จันทิก อดีตเลขาธิการ ป.ป.ช. ได้อ้างวารสาร Who is Who ที่ระบุอย่างชัดเจนว่า มีคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณถือหุ้นเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศจึงจำเป็นต้องวินิจฉัยโดยอาศัยข้อกฎหมายว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 295

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 295 ระบุว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือจงใจยื่นบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่ครบกำหนดต้องยื่นตามมาตรา 292 หรือนับแต่วันที่ตรวจพบว่ามีการกระทำดังกล่าว แล้วแต่กรณี และผู้นั้นต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ เป็นเวลาห้าปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง

นายวสันต์ยังเบิกความว่า ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายบัณฑิต ทนายจำเลย ฟังในการพบกันครั้งหนึ่ง ซึ่งเขาและนายบัณฑิตมักจะนัดพบกันเสมอ เพื่อพูดคุยเรื่องต่างๆ เพราะเคยทำงานในสำนักงานทนายความเดียวกันมาก่อน และได้เล่าให้นายกำพล ภู่สุขแสวง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกาฟัง เนื่องจากนายกำพลเห็นนายจุมพลเข้าพบตนที่ห้องทำงาน

"ผมคิดไม่ถึงว่าจะมีคดีนี้ (คดีหมิ่นประมาท) ผมจึงพูดให้คุณบัณฑิตฟัง ถ้าผมรู้ ก็คงไม่คุยให้ใครฟังเลย แต่เมื่อทราบจากทนายจำเลยว่า ในสำเนาคำฟ้องหมิ่นประมาทมีการปฏิเสธว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ไม่เคยไปพบกับผู้พิพากษาศาลฎีกาก่อนจะลงมติ จึงต้องมาเป็นพยาน" นายวสันต์กล่าว

ก่อนหน้านี้ในการสืบพยานในวันที่ 10, 11 และ 13 สิงหาคม นายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายจำเลย ยังได้ขึ้นเบิกความเป็นพยานด้วยตนเองว่า เขาได้พบกับนายอุระ หวังอ้อมกลาง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และนายอุระเล่าให้ฟังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ได้มาพบกับนายอุระ เพื่อขอให้ช่วยเหลือ โดย พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวกับนายอุระว่า ขอคะแนน 1 เสียง แล้วลูกชายของนายอุระที่ทำงานอยู่กระทรวงการต่างประเทศจะย้ายไปเป็นเลขาทูตที่ประเทศไหนก็ได้ หรือจะลาออกจากราชการมาเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคไทยรักไทยก็ได้ ในขณะที่นางเยาวภาก็ไปพบนายอุระที่บ้านถึง 3 ครั้ง แต่นายอุระก็ไม่ได้ลงมติตามที่ถูกร้องขอ

นายบัณฑิตเบิกความว่า นายอุระได้เล่าให้เขาฟังว่าครั้งสุดท้ายที่นางเยาวภาไปพบที่บ้าน ได้ระบุว่า ขณะนี้มีตุลาการ 4 คนที่รับปากจะช่วย พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว คือ นายกระมล ทองธรรมชาติ, นายจุมพล ณ สงขลา, นายผัน จันทรปาน และนายศักดิ์ เตชาชาญ

อย่างไรก็ดี ในคดีดังกล่าวศาลนัดสืบพยานจำเลยนัดสุดท้าย ในวันนี้ และจะแถลงผลปิดคดีในสัปดาห์หน้า

ประชาไทรายงาน

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net