Skip to main content
sharethis

ประชาไท - 7 ก.ค.2549    เว็บไซต์สำนักข่าวเนชั่นรายงานว่า พระกิตติศักดิ์ กิตติโสภโณ ประธานกลุ่มเสขิยธรรม และประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ได้ร้องเรียนต่อนายวสันต์ พานิช ประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยระบุว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ขมขู่พยานโจทก์ ได้แก่ เจ้าหน้าที่มูลนิธิเมตตาธรรม ซึ่งถูกเรียกไปให้ข้อมูลในคดีที่พระสุพจน์ สุวโจ (ด้วงประเสริฐ) พระร่วมสำนักถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยของมีคม เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.48    


 


ทั้งนี้ เหตุการณ์สะเทือนขวัญดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สันนิษฐานในเบื้องต้นว่า น่าจะเกิดจากการที่พระสุพจน์เข้าไปห้ามปรามหรือต่อว่าชาวบ้านที่เข้ามาตัดไม้ หรืออาจเกิดจากการไปจ้างคนงานตัดไม้แล้วมีปัญหาเรื่องค่าจ้างจนขัดแย้งรุนแรง ขณะที่พระกิตติศักดิ์ ยืนยันว่า สาเหตุการสังหารพระสุพจน์ เกิดจากผู้มีอิทธิพลในท้องที่ และเกี่ยวพันกับนักการเมืองระดับชาติ ซึ่งเป็นน้อง ส.ส.พรรคไทยรักไทยที่เคยโดนพระกิตติศักดิ์แจ้งความในข้อหาข่มขู่เพื่อหวังจะฮุบที่ดินบริเวณสถานปฏิธรรมจำนวนกว่า 700 ไร่ ท้ายที่สุดคดีนี้ได้ถูกโอนให้ดีเอสไอรับผิดชอบ แต่ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ


 


พระกิตติศักดิ์ ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมการสิทธิฯ ถึงมูลเหตุการข่มขู่พยานโจกท์ของดีเอสไอ ว่า สืบเนื่องจากวันที่ 27มิ.ย.2549 ตัวแทนของดีเอสไอได้เข้าชี้แจงต่อนางสุนีย์ ไชยรส ประธานอนุกรรมการสิทธิในการจัดการที่ดินและน้ำ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน โดยมีครอบครัวพระสุพจน์ และพระกิตติศักดิ์เข้ารับฟังการชี้แจงของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอในครั้งนี้ด้วย พระกิตติศักดิ์ได้ตัดพ้อถึงการสอบสวนคดีของดีเอสไอว่าเป็นไปด้วยความล่าช้า ไม่ว่าจะเป็นคดีของนายสมชาย นีละไพจิตร นายเจริญ วัดอักษร หรือคดีของพระสุพจน์ทั้ง ๆ ที่คดีเกิดมาร่วมปีแล้ว แต่ยังไม่สามารถออกหมายจับผู้กระทำผิดได้ แบบนี้ดีเอสไอควรพิจารณาตัวเองและควรปรับเปลี่ยนผู้บริหารได้แล้ว


         


ประธานกลุ่มเสขิยธรรมกล่าวต่อว่า ภายหลังจากที่พูดออกไปเช่นนั้นได้สร้างความไม่พอใจกับเจ้าหน้าที่อย่างรุนแรงถึงกับลุกออกจากห้องชี้แจงโดยไม่ได้สนใจการชี้แจงใดในวันนั้นอีกเลย ต่อมาเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ทำหนังสือถึงเจ้าหน้าที่มูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ ซึ่งเป็นพยานในคดีพระสุพจน์ โดยหนังสือระบุว่า ขอเชิญให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคดี แต่ทันที่ที่เจ้าหน้าที่มูลนิธิเข้าไปให้ข้อมูล การซักถามของเจ้าหน้าที่ดีเอสไอกลับมีเรื่องที่เกี่ยวกับพระสุพจน์เพียงนิดเดียว ส่วนใหญ่กลายเป็นการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับมูลนิธิ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับพระกิตติศักดิ์ว่ากำลังทำอะไรและเคลื่อนไหวอะไรอยู่ พร้อมทั้งพยายามข่มขู่ตลอดเวลาว่าได้ตรวจสอบข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของพระสุพจน์แล้วทราบว่ามูลนิธิได้เงินสนับสนุนจากไหน รู้ว่าความเคลื่อนไหวของมูลนิธิเป็นอย่างไร


 


ด้านนายวสันต์ กล่าวว่า หลังจากรับฟังข้อร้องเรียนจากพระกิตติศักดิ์แล้วทางคณะอนุกรรมการฯได้มีข้อสรุปเพื่อแก้ปัญหาล่วงหน้าคือ จะจัดทำหนังสือถึงกระทรวงยุติธรรมให้เปลี่ยนชุดสอบสวนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และหากกระทรวงยุติธรรมทำการเปลี่ยนชุดสืบสวนให้จะทำให้การคุ้มครองพยานเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่กรรมการสิทธิฯสามารถทำได้ในตอนนี้ เพราะหากฟังจากการให้ข้อมูลของพระกิตติศักดิ์ มันเป็นการไม่สมควรที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะปฏิบัติต่อพยานเสมือนหนึ่งผู้ต้องสงสัยเช่นนี้


 


อย่างไรก็ตาม ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้กรรมการสิทธิฯเองก็จะต้องรับฟังจากทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ ทางกรรมาการสิทธิฯได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คดีใดก็ตามที่เกี่ยวข้องหรือเกิดขึ้นแล้วมีเจ้าหน้าที่มีสีเข้ามีเอี่ยวการสืบสวนสอบสวนก็จะล่าช้า ดังนั้นหากโอนคดีไปให้หน่วยงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนอาจจะได้รับความรวดเร็วขึ้นก็เป็นได้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net