หมายเหตุ: บทความแปลชุด "สื่อในเอเซีย" แปลและเรียบเรียงโดย สุภัตรา ภูมิประภาส นี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการสื่อเพื่อบริบทสิทธิมนุษยชน ของเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน www.midnightuniv.org ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่หวังผลกำไร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาตัวอย่างและกรณีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชนจากประเทศชายขอบทั่วโลก มาเป็นตัวแบบในการวิเคราะห์และสังเคราะห์ เพื่อเผชิญกับปัญหาสิทธิมนุษยชน (สิทธิชุมชน) ในประเทศไทย
เสรีภาพสื่อกัมพูชา : เสรีภาพฉาบฉวย 1>
โดย อุม สาริน 2>
ประเทศกัมพูชามีกฎหมายที่ประกันเสรีภาพสื่อ แต่ความเป็นจริงนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อเสรีภาพสื่อมักถูกอ้างอย่างย้อนแย้งในการจำกัดเสรีภาพนี้ว่า การใช้เสรีภาพนี้ต้องไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ต้องไม่กระทบต่อจารีตอันดีงามของสังคม และต้องไม่ละเมิดกฎหมายมหาชน กฎระเบียบ และความมั่นคงแห่งรัฐ
ในประเทศกัมพูชา การหมิ่นประมาทถือเป็นประเด็นอ่อนไหว และบรรดาผู้มีอิทธิพลทั้งหลายใช้คำนี้มาจัดการกับนักข่าวและฟ้องร้องดำเนินคดีในศาล ตามประมวลกฎหมายอาญาของกัมพูชา บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการหมิ่นประมาทมีโทษจำคุกสูงสุดหนึ่งปี และโทษปรับ 10 ล้านเรียล (ประมาณ 2,600 เหรียญสหรัฐ)
ปี พ.ศ. 2549 นักข่าว 3 คนต้องโทษจำคุกระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2548 ถึงมกราคม พ.ศ. 2549 เพราะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกรณีเกี่ยวกับการทำข้อตกลงชายแดนกับประเทศเวียดนาม ภายหลังที่ได้รับการประกันตัวเมื่อวันที่ 18 มกราคม นายกรัฐมนตรีฮุนเซ็นกล่าวว่านักข่าวทั้งสามคนยังคงต้องต่อสู้คดี อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีได้ถอนฟ้องนักข่าวทั้งสามในเวลาต่อมาภายหลังที่พวกเขาขอโทษ
ความเคลื่อนไหวที่น่าประหลาดใจเกิดขึ้นเมื่อนายกรัฐมนตรีฮุนเซ็นประกาศต่อสาธารณชนในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ว่าจะสนับสนุนกิจกรรมใดๆที่เป็นเสรีภาพในการแสดงออกในกัมพูชา รวมถึงการยกเลิกโทษทางอาญาในคดีหมิ่นประมาท นายกรัฐมนตรีฮุนเซ็นมีคำสั่งให้คณะนักกฎหมายเตรียมการร่างประมวลกฎหมายอาญาใหม่และเปลี่ยนโทษสำหรับคดีหมิ่นประมาทจากโทษอาญาเป็นโทษทางแพ่งซึ่งมีโทษปรับเท่านั้น ท้ายสุด เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 สมาชิกรัฐสภากัมพูชาลงคะแนนเสียงให้ยกเลิกโทษจำคุกในคดีหมิ่นประมาท อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตการณ์นานาชาติตั้งข้อสังเกตว่าการแก้ไขโทษหมิ่นประมาทดังกล่าวนี้ยังไม่เพียงพอ และยังมีช่องทางอีกมากมายที่จะมีการใช้วิธีสั่งให้มีการจ่ายค่าปรับจำนวนสูงเพื่อที่จะปิดปากสื่อ
ทั้งๆที่มีการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนว่าเป็นเชิงบวกที่ยกเลิกโทษอาญาในคดีหมิ่นประมาท รัฐบาลกัมพูชายังคงใช้อาวุธชนิดอื่นๆเพื่อคุกคามสื่อ คือกฎหมาย "ข้อมูลเท็จ" ที่สามารถลงโทษผู้เผยแพร่ข้อมูลด้วยโทษจำคุกระหว่าง 6 เดือน ถึง 3 ปี หรือมีโทษปรับเป็นเงินหนึ่งล้านเรียล ถึง 10 ล้านเรียล (ประมาณ 250 - 2,500 เหรียญสหรัฐ) หรือลงโทษทั้งจำและปรับ นักข่าวที่ถูกฟ้องหมิ่นประมาทในคดีแพ่งยังคงต้องเผชิญกับการคุกคามนี้ถ้าพวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าปรับจำนวนสูงนี้ได้
การยกเลิกโทษอาญาในคดีหมิ่นประมาทในกัมพูชาเมื่อปี พ.ศ. 2549 นั้นได้รับการแซ่สร้องสรรเสริญจากชุมชนนานาชาติ แต่นั่นคือการฉาบหน้าครั้งใหญ่ของคดีหมื่นประมาทในกัมพูชา
รายงานประจำปีของกระทรวงข้อมูลข่าวสารระบุรายละเอียดว่า ในกัมพูชามีหนังสือพิมพ์จำนวน 341 ฉบับ นิตยสาร 119 ฉบับ วารสาร 30 ฉบับ และสถานีวิทยุ 22 แห่ง สื่อของกัมพูชามักจะถูกอธิบายว่ามีเสรีภาพมากที่สุดในภูมิภาค เพราะการเติบโตเฟื่องฟูของสื่อสิ่งพิมพ์ และไม่มีการเซ็นเซอร์โดยหน่วยงานรัฐ แต่ถ้าเรามองไกลออกไปจากปริมาณของหนังสือพิมพ์และนิตยสาร
เราพบว่าสื่อทั้งหมดถูกควบคุมอย่างใกล้ชิดและมีความโน้มเอียงเข้าข้างพรรคการเมือง สื่อเกือบทั้งหมดในกัมพูชามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง โดยสื่อส่วนใหญ่จะเลือกอยู่ข้างพรรคประชาชนกัมพูชาของรัฐบาล (
นักข่าวกัมพูชาจำนวนมากมีความหวาดกลัวในความปลอดภัยของชีวิต ในปี พ.ศ. 2550 จากการสำรวจโดยองค์กรสิทธิมนุษยชนในประเทศชื่อ LICADHO โดยการสัมภาษณ์นักข่าว 150 คน พบว่านักข่าวจำนวนร้อยละ 65 หวาดกลัวว่าจะถูกทำร้ายร่างกาย นักข่าวจำนวนร้อยละ 62 หวาดกลัวว่าจะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี นักข่าวจำนวนมากกว่าร้อยละ 54 กล่าวว่าพวกเขาเคยถูกข่มขู่ว่าจะถูกทำร้ายร่างกายหรือถูกฟ้องร้องดำเนินคดี
อย่างน้อยที่สุด นักข่าว 9 คน ทั้งหมดเป็นนักข่าวของหนังสือพิมพ์ถูกฆาตกรรม โดยเป็นที่เชื่อกันว่าเป็นผลมาจากการปฏิบัติงานของพวกเขานับตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2536 (1993) ยังไม่มีฆาตกรคนใดในคดีเหล่านี้ถูกนำตัวมาดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรม และนี่คือสาส์นที่มีพลังของการลอยนวลของผู้ที่มุ่งทำร้ายนักข่าวที่เป็นเป้าหมาย
ตามที่สมาคมเพื่อการคุ้มครองนักข่าวกัมพูชา (Cambodian Association for the Protection of Journalist) บันทึกไว้ในปี พ.ศ. 2550 การประทุษร้ายต่อนักข่าวนั้นมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงเมื่อเทียบกับกรณีที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2549 มี 15 เหตุการณ์ที่นักข่าวถูกข่มขู่ มีคดีฟ้องร้องดำเนินคดีนักข่าวจำนวน 9 คดี มีการออกคำเตือนนักข่าว 3 กรณี และมีนักข่าว 8 คนถูกจับกุม
หลังการยกเลิกโทษอาญาในคดีหมิ่นประมาทเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2549 ข้อกล่าวหาที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดในการจัดการกับผู้ประกอบวิชาชีพสื่อในกัมพูชา (ซึ่งโทษจำขังยังคงมีอยู่) คือ เรื่องการเผยแพร่ ข้อมูลเท็จ ภายใต้มาตรา 62 ของกฎหมาย UNTAC (United Nation Transitional Authority in
.......................................
งานที่เกี่ยวข้อง
มองสื่อนอก: บทนำ ว่าด้วย "การหมิ่นประมาท: การสร้างเวทีระดับภูมิภาคเพื่อสนับสนุนเสรีภาพสื่อ"
มองสื่อนอก #1: บทเรียนการต่อสู้ของสภาการ นสพ.แห่งอินโดนีเซีย ว่าด้วยโทษหมิ่นประมาททางอาญากับสื่อ
มองสื่อนอก #2: สถานการณ์สื่อในอินโดนีเซีย: "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ยาว?"
มองสื่อนอก #3: สื่อฟิลิปปินส์ กับ ความรุนแรงหลากชนิด
มองสื่อนอก #4: สื่อ กับกฎหมายหมิ่นประมาทในติมอร์ตะวันออก
มองสื่อนอก #5: เสรีภาพสื่อกัมพูชา : เสรีภาพฉาบฉวย
เชิงอรรถ
1> บทความนำเสนอที่การสัมมนานานาชาติ International Seminar on Defamation: Building a Regional Advocacy Platform ระหว่างวันที่ 9-10 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ที่เมืองจ็อกจาการ์ต้า (
2> Um Sarin เป็นประธานสมาคมเพื่อปกป้องนักข่าวกัมพูชา
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)