Skip to main content
sharethis

26 ก.ค. 2549 เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์รายงานว่า นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 1 ใน 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่ศาลอาญามีคำพิพากษาลงโทษกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 3 คน ว่า นับเป็นความโชคดียิ่งของสังคมไทยที่สถาบันหลักของชาติ และสถาบันตุลาการพลังอำนาจที่ 3 ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คอยเหนี่ยวรั้งมิให้กลุ่มนายทุนนักธุรกิจการเมืองเข้าทำการครอบครองประเทศแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อสถาปนาลัทธิครองความเป็นเจ้าได้โดยง่ายๆ เพียงเพราะมีเงินมหาศาลและสามารถยึดครองสื่อมวลชนได้


         


คำพิพากษาครั้งนี้ ถือเป็นประวัติศาสตร์โฉมหน้าใหม่ของการเมืองไทย ที่พลังอำนาจที่ 3 คือ สถาบันตุลาการ มีคำพิพากษาลงโทษกรรมการองค์กรอิสระกลางตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งทุจริตประพฤติมิชอบ ละเว้น หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดย กกต.ถือเป็นกองหน้าตะแลงแกงตัวอย่างแรก ก่อนที่จะถึงคดีประวัติศาสตร์แห่งการบิดเบือนทางอำนาจของระบอบทักษิณ อีกราว 7-8 คดี ที่ยังอยู่ในชั้นศาลและชั้นพนักงานสอบสวน


         


นายสมเกียรติ กล่าวต่อว่า คำพิพากษาในปรากฏการณ์ตุลาการภิวัตน์ครั้งนี้ ทำให้ระบบการเมืองประเภทรวบหางยึดหัว ทั้งการเลือกตั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่นของระบอบทักษิณ และระบอบเผด็จการอื่น ที่จะมีในอนาคตต้องหันมาทบทวนและปรับตัวมากขึ้น เพราะระบบเบ็ดเสร็จรวบทั้ง 2 อำนาจ คือ อำนาจบริหาร ทั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ซึ่งแต่เดิมได้รับการค้ำจุนจากอำนาจนิติบัญญัติ ทั้ง 2 สภา คือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา แต่ต่อจากนี้ไปก็จะไม่มั่นคงและอยู่รอดได้หากบริหารราชการแผ่นดินแล้วเกิดบกพร่องเสียหายขึ้น


         


นี่คือ การเหนี่ยวรั้ง ถ่วงดุล ตรวจสอบ และชี้ขาด มิให้สังคมเอียงกระเท่เร่ของพลังอำนาจที่ 3 ที่นักวิชาการเรียกว่า "ตุลาการภิวัตน์"


         


ผลของคำพิพากษาจำคุกโดยไม่รอลงอาญา และตัดสิทธิการเมือง 10 ปี ย่อมสะท้อนให้เห็น 2 ด้าน คือ การกระทำการบางเรื่องที่ผ่านมาของ กกต.นั้น เข้าข่ายลุแก่อำนาจ ทุจริตต่อหน้าที่ ปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความอาญาต้องโทษจำคุก และการตัดสิทธิทางการเมืองนั้น ก็ตกอยู่ในสภาพไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้ และก็ไม่สามารถออกเสียงลงคะแนนได้ กลายเป็นคนใบ้ หรือถูกตอนทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากที่บุคคล ซึ่งทำหน้าที่จัดการรับสมัคร-รณรงค์ให้ประชาชนไปเลือกตั้ง และจัดการให้มีการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง กลับมาถูกตัดสิทธิทางการเมืองเสียเอง แล้วอย่างนี้ยังจะมีหน้าขอทำหน้าที่ต่อไปอีกหรือ


         


"หากพวกเขาจะใช้ความอย่างหนาและดื้อด้านต่อไป ก็มีคำถามว่า เขาจะตะแบงอ้างกฎหมายอะไรอีก ภายใต้ศรัทธาอะไร จะทำงานกับใครแล้วยังมีประชาชนคนใดจะยอมรับเชื่อถือผลการเลือกตั้งได้ เพราะขนาดศาลยังต้องสั่งจำคุกและเพิกถอนสิทธิทางการเมือง"


         


ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ กกต.จังหวัด และ กกต.เขตการเลือกตั้งทั่วประเทศ ประกาศความรับผิดชอบและลาออกเสีย เพราะพวกท่านเป็นผลผลิตของ กกต.กลุ่มอื้อฉาว และไม่พึงปรารถนาชุดนี้ เพื่อเป็นการล้างบางและเปิดโอกาสให้บ้านเมืองสรรหาบุคคลใหม่ เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้น และความเสียหายที่รัฐและประชาชนต้องสูญเสียไปหลายพันล้านบาทในการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป เมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา เป็นตราบาปของพวกท่านโทษฐานไม่เป็นกลาง ไม่ทุจริตและเที่ยงธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ


        


"พี่น้องประชาชนที่ติดตามข่าวศาลอาญาพิพากษาจำคุก กกต.ทั้ง 3 คน ได้พากันระเบิดเสียงร้องแสดงความดีใจสุดๆ ออกมายิ่งกว่าชมรายการแข่งขันฟุตบอลโลกเสียอีก เพราะสังคมได้พ้นจากสภาพอึดอัดไปได้เปลาะหนึ่ง ความริบหรี่เริ่มมีแสงสว่างขึ้นมาบ้าง และความคับอกคับใจ การก่นด่าสาปแช่งของผู้คน นับจากนี้ไปจะย้ายฐานไปรวมที่ระบอบทักษิณเพียงแห่งเดียว" นายสมเกียรติ กล่าว


 


"สุริยะใส" ชมศาลช่วยคลายวิกฤต      


ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า แม้ว่า กกต.และพรรคไทยรักไทยจะใช้วิธีศรีธนญชัย อ้างรัฐธรรมนูญ มาตราเดียวคือ มาตรา 141 (4) ที่ระบุว่าต้องได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาเท่านั้น กกต.จึงจะพ้นสภาพ แต่อย่าลืมว่าคำพิพากษาของศาลอาญาครั้งนี้ได้ตัดสิทธิเลือกตั้งของ กกต.เป็นเวลา 10 ปีด้วย ซึ่งหากดูรัฐธรรมนูญ มาตรา 137 (4) ว่าด้วยคุณสมบัติต้องห้ามของ กกต.ที่ระบุว่าต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 106 ก็จะพบทันทีว่ามาตรา 106 (4) กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของ กกต.ชัดเจนว่าต้องไม่อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งลักษณะต้องห้ามนี้เป็นคนละประเด็นกับว่าต้องพิพากษาจำคุกถึงที่สุดหรือไม่


         


"ฉะนั้นวันนี้ถือว่า กกต. พ้นสถานภาพทางกฎหมายโดยเด็ดขาดไปแล้ว ถ้าดื้อดึงอยู่ในตำแหน่งต่อ ก็คงไม่มีใครสังฆกรรมด้วยเพราะเป็นองค์กรเถื่อนและพันธกรณีใดๆ ก็จะกลายเป็นโมฆะทันทีผมคิดว่าคำพิพากษาครั้งนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงอันตรายจากระบอบทักษิณที่ใช้ กกต.เป็นเครื่องมือเอื้อประโยชน์ต่อพรรค ทรท. โดยเฉพาะการเวียนเทียนผู้สมัครเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน จริงๆ แล้วก็น่าเห็นใจ กกต.ที่ต้องมาเป็นเหยื่อของระบอบทักษิณ"


         


นายสุริยะใส กล่าวว่า ในนามพันธมิตรฯ ต้องขอชื่นชมคำพิพากษาของศาลครั้งนี้ที่พยายามคลี่คลายวิกฤตการณ์ของบ้านเมืองและทำให้ระบบการเมืองเข้าที่เข้าทาง โดยเฉพาะการฟื้นฟูระบบตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งองค์กรอิสระเกือบทั้ง 8 องค์กรถูกแทรกแซงจากฝ่ายบริหารจนทำงานไม่ได้ แม้ที่ผ่านมาจะมีขบวนการต้านอำนาจศาลทั้งใต้ดินและบนดินก็ตามแต่ศาลก็พิสูจน์แล้วว่ามีความเป็นอิสระและยึดมั่นแนวทางการสนองพระราชดำรัส 25 เมษายนที่ผ่านมา


         


"วิกฤติของประเทศยังไม่จบเพราะระบอบทักษิณยังดำรงอยู่และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังไม่ลาออกหรือไม่ยุติบทบาททางการเมือง ซึ่งเป็นประเด็นที่พันธมิตรฯ ยังต้องเคลื่อนไหวต่อและการต่อต้านระบอบทักษิณนั้นจะไปคอยพึ่งพิงศาลอย่างเดียวคงไม่ได้ สังคมต้องออกแรงช่วยกันเพื่อให้บ้านเมืองเข้าสู่ความสงบโดยเร็ว"


 


เรียบเรียงจาก: ผู้จัดการออนไลน์

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net