แม้ที่ผ่านมาคนทั่วไปมักจะมองว่าปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามบางแห่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบ ในขณะที่ยังมีคนบางส่วนตั้งข้อสังเกตว่า ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบ ทำไมโต๊ะครูจึงไม่ออกมาเคลื่อนไหวหรือทำอะไรสักอย่างเพื่อยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้น
แต่สำหรับประชาชนมุสลิมในพื้นที่แล้ว ปอเนาะเป็นที่พึ่งสำคัญทางศาสนาของชุมชม ในการประสิทธิ์ประสาทความรู้ทางศาสนาให้กับลูกหลานได้ปฏิบัติศาสนกิจได้ถูกต้อง หากสถาบันนี้ต้องมัวหมองไปย่อมสร้างความไม่สบายใจให้กับชาวบ้านด้วย
ด้วยเหตุนี้มีคนกลุ่มหนึ่งเห็นความสำคัญตรงนี้ จึงเลือกปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามเป็นศูนย์กลางในการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง ด้วยเหตุสำคัญคือเป็นที่เคารพนับถือของคนในชุมชน โดยเฉพาะท่ามกลางความไม่ไว้วางใจที่แผ่ปกคลุมไปทั่วขณะนี้
อันเป็นกิจกรรมหลักของโครงการส่งสริมบทบาทปอเนาะและอาสาสมัครเพื่อการฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ "คณะทำงานประสานงานชุมชนเพื่อสนับสนุนภารกิจประธาน (นาย
โดยมีอีก 3 องค์กรหลักที่ร่วมกันสนับสนุนได้แก่ กองทุนสมานฉันท์แห่งชาติ ของคณะกรรมอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ (กอส.), สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (LDI) และเครือข่ายองค์กรสันติภาพเพื่อชายแดนใต้ (OPNEP)
การขับเคลื่อนที่สำคัญเกิดขึ้น เมื่อโต๊ะครูเจ้าของสถาบันปอเนาะและผู้บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม 80 คน จากจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เข้าร่วมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง บทบาทผู้บริหารและสถาบันปอเนาะกับการบริการชุมชน เมื่อวันที่ 3 -4 ธันวาคม 2548 ที่โรงแรมอิมพีเรียลนราธิวาส อำเภอเมืองนราธิวาส
แม้เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากปอเนาะ 310 แห่ง และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามอีก 206 แห่ง ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ได้เน้นความสมัครใจของโต๊ะครูและผู้บริหารโรงเรียนในการเข้าร่วมโครงการ
การสัมมนาในวันแรกมีนายแพทย์
"ในการเยียวยาจะเป็นแบบชาวบ้านต่อชาวบ้าน อาจให้เงินช่วยเหลือไม่มากนัก แต่เป็นการช่วยเหลือที่มากด้วยน้ำใจที่ผ่านมาการเยียวยาของภาครัฐ เป็นไปในลักษณะจากข้างบนลงสู่ล่าง แต่โครงการนี้ได้ให้ประชาชนดำเนินการเอง เป็นการคิดและทำโดยประชาชนเอง ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีศักดิ์ศรีมากกว่า คณะทำงานฯทำหน้าที่สนับสนุนเท่านั้น"
สำหรับอาสมัครในโครงการนี้จะเข้าพบปะเยี่ยมเยือนผู้ที่ได้รับผลกระทบ และจัดเวทีให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วยกันได้พบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเยียวยาด้วยตัวเอง ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบรายใหม่ จะเข้าไปช่วยเหลือในเบื้องต้นทันที ทั้งฝ่ายชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รัฐ
จากนั้นบาบอแม กูวา โต๊ะครูจากอำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี ได้บรรยายหัวข้อบทบาทนักการศาสนากับการสร้างจิตสำนึกสาธารณะให้ชุมชน โดยได้เน้นว่า โครงการนี้นอกจากเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ ผู้เข้าร่วมควรมีส่วนสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ขึ้นในชุมชนด้วย โดยเฉพาะต่อเยาวชน เพราะยังมีเยาวชนอีกมากที่ไม่มีความรู้ทางศาสนาที่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่เน้นทางด้านวัตถุ เพราะแม้แต่ศาสดามูฮำหมัดเองที่พระเจ้าจะเสกภูเขาทั้งลูกให้เป็นทอง ท่านก็ไม่ต้องการ แต่ต้องการธำรงศาสนาที่พระเจ้าประทานลงมาให้ เพราะฉะนั้นหากยาวชนได้เรียนรู้ศาสนาอย่างเต็มที่ ย่อมไม่ถูกชักชวนไปทางที่ผิดได้
ส่วนบาบอแอ ปาแน โต๊ะครูจากอำเภอมายอเช่นกัน บรรยายหัวข้อบทบาทสถาบันปอเนาะกับการบริหารชุมชนว่า ศาสนาอิสลามสอนให้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หากยังมีความแตกแยกกันย่อมสร้างความแตกแยกเกิดขึ้นในชุมชนได้ง่าย ซึ่งหากมัสยิดต่างๆ ในชุมชนมีความเข้มแข็ง สถาบันก็ไม่จำเป็นต้องมี
ในเอกสารประกอบการสัมมนาระบุวัตถุประสงค์ของโครงการนี้ เพื่อพัฒนาบทบาทและศักยภาพของปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามให้เป็นศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบในชุมชน โดยจะทำงานร่วมกับเครือข่ายอาสาสมัครในการใช้กระบวนการกลุ่มให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบสามารถช่วยเหลือและพึ่งตนเองได้
สำหรับวิธีการดำเนินการโดยให้ปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามรวม 70 แห่งใน 3 จังหวัดเป็นศูนย์กลางการเยียวยาในชุมชน แบ่งออกเป็น 10 เครือข่าย ซึ่งจะมีศูนย์ประสานงานเครือข่ายระดับพื้นที่ด้วย และมีอาสาสมัครกระจายอยู่ตามชุมชนต่างๆ รวม 140 คน จะทำหน้าที่เข้าไปพบกับผู้ที่ได้รับผลกระทบ เรียกว่า อาสาสมัครฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงด้วยกระบวนการชุมชุน
นอกจากนี้จะมีศูนย์ประสานงานประจำจังหวัด 3 แห่ง และศูนย์ประสานงานส่วนกลางที่กรุงเทพมหานคร โดยมีโครงสร้างดังนี้
หัวหน้าโครงการได้แก่ นาย
ศูนย์ประสานงานจังหวัดยะลา มีนายอาหามะรูยานี ยูนุ โต๊ะครูโรงเรียนมะอะฮัดอิสลามี ตำบลบาลอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลาเป็นหัวหน้าศูนย์ และศูนย์ประสานงานประจำจังหวัดนราธิวาสมีนาย
สำหรับงบประมาณโครงการมีจำนวน 8,260,000 บาท โดยจะนำไปตั้งไว้ตามปอเนาะต่างๆ ที่เป็นศูนย์กลางการเยียวยาในชุมชน
ส่วนอาสาสมัครฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงด้วยกระบวนการชุมชุนทั้ง 140 คนนั้นได้ดำเนินการจัดอบรมไปแล้วเมื่อวันที่ 4 - 5 ธันวาคม 2548 ที่โรงแรมอิมพีเรียลนราธิวาส อำเภอเมืองนราธิวาส
ในการดำเนินงานขั้นต่อไปนั้น นายมุคตาร์ กีละ คณะทำงานฯ บอกว่า ภายในเดือนธันวาคม 2548 จะจัดสัมมานาเชิงปฏิบัติการระหว่างโต๊ะครูกับอาสาสมัครอีกครั้งเพื่อกำหนดรูปแบบการทำงาน และจะจัดเวทีทำความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการนี้กับโต๊ะอิหม่ามและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ในจังหวัดปัตตานีและยะลาด้วย ส่วนจังหวัดนราธิวาสนั้นได้ดำเนินการไปแล้ว
"นอกจากเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบแล้ว ยังจะดูแลเด็กกำพร้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้และจังหวัดสงขลาด้วย ซึ่งจากข้อมูลของส่วนสนับสนุนและประสานงานราชการภูมิภาค กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2548 เราพบว่า มีเด็กกำพร้าทั้ง 4 จังหวัดถึง 12,330 คน โดยเป็นเด็กกำพร้าที่เกิดจากความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถึง 574 คน"
มุคตาร์ บอกอีกว่า ตอนนี้มีภาคเอกชนมอบเงินช่วยเหลือเด็กกำพร้า 1,000 คน และทางบริษัทในเครือปูนซิเมนต์ไทยได้สนับสนุนงบประมาณจำนวนหนึ่งเพื่อสร้างอาคารเรียนในปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามผ่านทางโครงการฯ ด้วย
"ยากมากที่จะรวมกลุ่มของโต๊ะครูหรือผู้บริหารโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามได้ขนาดนี้ จากจุดนี้เอง เราคิดว่าจะนำไปสู่การสร้างความสงบสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ เพราะโต๊ะครูมีความเป็นเอกภาพมากขึ้นโดยเริ่มจากชุมชนรอบๆ ปอเนาะ และที่เราได้ทำไปแล้วคือกรณีชาวบ้านกะทองถูกยิงตาย 9 ศพ เมื่อไม่นานมานี้" นั่นคือคำทิ้งท้ายของบาบอเฮง หรือ นายบรอเฮง ปายอดือราแม เจ้าของโรงเรียนนะห์ฎอตุลสูบาน
การขับเคลื่อนของโต๊ะครูทั้ง 70 คน นับเป็นปรากฏการณ์สำคัญในการรวมกลุ่มกันสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการขับเคลื่อนด้วยคำสอนทางศาสนาที่ให้ช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือนร้อน มิฉะนั้นคงปล่อยให้ถูกตั้งคำถามต่อไปเริ่อยๆ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)