ดร.ฟาริช เอ. นูร์ นักวิชาการและนักวิจัยชาวมาเลเซีย ซึ่งทำงานในฐานะนักวิจัยอยู่ที่สถาบันเซนทรุม โมเดิร์นเนอร์ โอเรียนต์ ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ได้สัมภาษณ์ ดร.
ต่อมา มีการนำมาแปล และตีพิมพ์เผยแพร่ 2 วันติดต่อกัน ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน หน้า 28 ปีที่ 28 ฉบับที่ 9964 - 9965 ประจำวันที่ 21 - 22 มิถุนายน 2548 หน้า 28
"ประชาไทออนไลน์" เห็นว่า บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ สอดรับกับการสนทนาในหัวข้อ "การสร้างสันติสุขใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้" ของ "พ.ต.ท.
ปัตตานีในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเงียบสงบ แต่ตอนนี้เราได้เห็นเหตุการณ์รุนแรงกลับมาอีกครั้ง มันเกิดขึ้นได้อย่างไร
ผมไม่เคยเชื่อว่า เรามี "สันติ" ที่แท้จริงในพื้นที่นั้น และในห้วงเวลาเดียวกันทั้งนโยบายและวิธี การของรัฐบาลไทยในกรุงเทพฯ ก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงด้วยเช่นกัน 10 ปีที่เงียบไปนั้นจริงๆ แล้วเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนต่างๆ ซึ่งนิยมแนวทางรุนแรงใช้เป็นเวลาสำหรับการฝึก
เมื่อ 10 ปีก่อน ตอนที่มีการเผาโรงเรียนกว่า 30 โรง โดยฝีมือของกลุ่มติดอาวุธ บรรดาผู้นำของกลุ่มเหล่านี้อ้างกับผมเป็นการส่วนตัวว่า ในช่วงเวลา 10 ปี พวกเขาจะยกระดับความรุนแรงให้สูงขึ้นไปสู่ระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ตอนนี้ 10 ปีให้หลัง เราได้เห็นความรุนแรงกลับมาในพื้นที่ ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราเห็นอยู่นี้ เป็นผลจากการฝึกและการเตรียมการระยะยาวที่ว่านั้น กลุ่มเหล่านี้ คือ กลุ่มที่ไม่เคยเห็นพ้องกับข้อเสนอที่ว่า เราสามารถเปิดการเจรจาอย่างเปิดเผยกับรัฐบาลไทยได้ และไม่เคยเลิกจับอาวุธขึ้นสู้อย่างแท้จริง
ถ้าหากความรุนแรงเลวร้ายลง และกำลังจะขยายตัวลุกลามออกไป อะไรคือความผิดพลาดของรัฐบาล
อย่างที่พูดไปแล้ว วิธีการและยุทธศาสตร์ของชนชั้นนำทางการเมือง และการทหารของไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลงจริงๆ เอาแค่มองกรณีตากใบที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ที่มีคน 86 คน เสียชีวิต เพราะถูกยัดทะนานอยู่ในรถบรรทุกโดยเจ้าหน้าที่ทหาร กรณีนั้นเป็นเพียงแค่การชุมนุมประท้วงที่เลยเถิดควบคุมไม่ได้แค่นั้นเอง ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องใช้วิธีการกดขี่ข่มเหงกันถึงขนาดนั้น ผลของมัน ก็คือ ยิ่งก่อให้เกิดความเกลียดชัง และความโกรธในหมู่ประชาชนมากขึ้นไปอีก
รัฐบาลไทยเชื่อและยังคงเชื่อว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนสร่างซาลง และหายสาบสูญไปแล้ว และยังมีความเชื่อผิดๆ ที่ว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนไม่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน และคิดว่าการมีส่วนร่วมทางการเมืองในส่วนของชาวมุสลิมปัตตานีนั้น หมายถึงการสิ้นสุดของยุคแห่งการจับอาวุธขึ้นสู้
นอกจากนั้น ยังมีความเชื่อด้วยว่า ขบวนการแบ่งแยกดินแดนสามารถ "ซื้อ" ได้ ผ่านโครงการพัฒนาต่างๆ ซึ่งไม่เคยเป็นความจริง
ขบวนการแบ่งแยกดินแดนนั้น ไม่อาจกำจัดได้ เพราะนี่เป็นประเด็นทางการเมืองเชิงวัฒนธรรม องค์ประกอบในทางประวัติศาสตร์ ชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และศาสนา เป็นเรื่องสำคัญ
รัฐบาลไทยคิดเสมอว่า นี่เป็นปัญหาของการผสมผสานทางเชื้อชาติ และคนมาเลย์จะต้องถูกกลืนเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันในระบบ และ "ทำให้เป็นคนไทย" อย่างที่พูดกัน แต่คนมาเลย์ในปัตตานีตระหนักว่า พวกเขาไม่ใช่คนต่างถิ่น และตระหนักว่า ดินแดนนี้ถูกครอบงำเป็นอาณานิคมโดยคนไทย ซึ่งเนื้อแท้แล้ว ก็คือ อำนาจต่างชาติ
สำคัญยิ่งกว่า ก็คือ หนุ่มสาวปัตตานีในทุกวันนี้ ดูเหมือนจะผูกพันเข้ากับการเมืองเชิงวัฒนธรรม ที่มีพื้นฐานทางศาสนามากยิ่งขึ้นทุกที ระหว่างที่ผมเป็นหนุ่ม ผู้คนในยุคของผมเป็นพวกชาตินิยม นี่คือ แก่นสำคัญของขบวนการเมื่อทศวรรษ 1970
ทุกวันนี้ การลุกฮือขึ้นต่อต้านจากบรรดามุสลิมทั่วโลก ทำให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้รับแนวความคิดเชิงศาสนาเพิ่มมากขึ้น และเราก็เห็นพวกอิสลามิสต์ ทำงานกับพวกเนชั่นแนลลิสต์ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกว่าเดิม พูดอีกอย่าง ก็คือ ลัทธิแบ่งแยกดินแดนในปัตตานีที่แข็งแกร่งมากขึ้นในทุกวันนี้ เป็นเพราะการผสมผสานกันระหว่างแนวคิดเรื่องศาสนากับการเมืองเข้าด้วยกัน
แนวนโยบายของรัฐบาลทักษิณในปัจจุบัน มีผลกระทบอย่างไร
ความผิดพลาดของ พ.ต.ท.
แล้วอะไร คือ สิ่งที่ พ.ต.ท.
ไม่ ไม่เคย เขากลับไปเยี่ยมเยียนวัดพุทธที่นั่น และกระทั่งยังนอนค้างที่วัดพุทธที่นั่นอีกต่างหาก เขาพูดเกี่ยวกับลัทธิชาตินิยมของไทย - พุทธ และพูดถึงว่าเอกลักษณ์แห่งวัฒนธรรมไทย คือ อย่างไร และอะไรควรจะเป็นรากฐานของการเมืองของชาติไทย แต่ไม่เคยทำอย่างเดียวกันนี้ในพื้นที่มุสลิม - มาเลย์ และไม่เคยใส่ใจกับความอ่อนไหวของพวกเราเลยแม้แต่น้อย
ทำไม พวกเราชาวมาเลย์ถึงควรจะกลมกลืนเข้ากับวัฒนธรรมไทย เรียนรู้ภาษไทย กินและแต่งกายเหมือนคนไทย เมื่อจริงๆ แล้วเราอยู่อาศัยในดินแดนของเราเอง และในดินแดนที่เป็นของพ่อของปู่ของเรา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส เป็นดินแดนของมาเลย์มายาวนาน ตราบเท่าที่สามารถสืบสาวประวัติศาสตร์ไปถึงและเป็นมากระทั่งก่อนที่จะมีการก่อร่างสร้างกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำไป กระนั้นประวัติศาสตร์ของเรา ก็ถูกละเลยและลบทิ้งไป
ในขณะที่ทักษิณกลับมาเน้นย้ำความจำเป็นที่เราจะต้องกลมกลืนเข้ากับกระแสหลัก - กระแสหลักของสังคมไทย ที่ไม่เคยรับเอาเราเข้าไปใคร่ครวญพิจารณาเลยแม้แต่น้อย
การดูดกลืนที่ว่า มีขอบเขตแค่ไหนอย่างไร
นโยบายที่เรียกว่า "ทำให้เป็นไทย" นี้ ย้อนหลังกลับไปได้หลายศตวรรษ และเราถูกกำชับเป็นมาเวลายาวนานว่า เราไม่สามารถแม้แต่จะพูดภาษามาเลย์ของพวกเราเองได้ หรือแม้แต่จะใช้คัมภีร์คำสอนของมาเลย์เอง
ขณะที่ปัตตานีกลับมีโรงเรียนจีน ที่มีการสอนภาษาจีน และใช้ตำรับตำราภาษาจีนในการสอน ในแต่ละเมืองหลวงของมณฑลปัตตานี ยะลา นราธิวาส อย่างน้อยต้องมีโรงเรียนจีนอยู่หนึ่งโรง ที่ใช้ภาษาจีนสอน ถ้าหากคนจีนได้รับอนุญาตให้มีสำนึกเชิงเอกลักษณ์แห่งวัฒนธรรมของตัวเองได้ ทำไมเราถึงทำไม่ได้?
คุณจะเห็นว่าเราไม่ได้เรียกร้องสิทธิพิเศษอะไรเลย แล้วเราก็ไม่ได้พูดด้วยว่า มีความวิเศษวิโสเหนือกว่าคนไทย เราเพียงแต่ต้องการการยอมรับคนของเราอย่างที่พวกเขาควรจะเป็น ยอมรับประวัติ ศาสตร์และวัฒนธรรมของเราด้วย
นี่หรือ คือ ภัยคุกคามต่อรัฐไทย หรือความเป็นชาติไทย ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ
เราเพียงแค่เรียกร้องขอการยอมรับและความนับถือ ซึ่งเป็นพื้นฐานของสังคมที่มีความหลาก หลายทางเชื้อชาติทั่วๆ ไป และเป็นไปได้ในสังคมประชาธิปไตย
หลังเกิดเหตุ 11 กันยายน กลุ่มแบ่งแยกดินแดนหลายกลุ่มทั่วโลก ถูกตีตราว่าเป็นกลุ่ม "ก่อการร้าย" จากรัฐบาลประเทศนั้นๆ บางครั้งเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากตะวันตก บางครั้งเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการดำเนินคดีกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เหตุการณ์นี้ ส่งผลต่อกิจกรรมของพวกคุณอย่างไรบ้าง
จริงๆ โดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่คิดว่ารัฐบาลทักษิณใช้การตีตรา "ผู้ก่อการร้าย" ต่อพวกเรามากมายนักจนถึงตอนนี้ แต่นี่อาจเปลี่ยนไปก็ได้ในภายหลัง แต่ตอนนี้พวกเขาดูเหมือนมีเจตนาจะประณามเราเป็นแค่ภัยคุกคามในท้องถิ่น และเป็นปัญหาภายใน การต่อสู้ในสายตาของเขาอย่างน้อยที่สุดเป็นการก่อกบฏเท่านั้นเอง
พวกนี้ กล่าวหาเราบ่อยครั้งมากว่าเป็นพวก "ไม่รักชาติ" และไม่มีความเป็นชาตินิยมในทัศนะของพวกเขา แต่น้อยครั้งที่เราจะถูกตราหน้าว่า เป็น "ผู้ก่อการร้าย"
เหตุผลที่ว่าทำไม พ.ต.ท.
ถ้าหากทักษิณเล่นไพ่ "ผู้ก่อการร้าย" ผลกระทบทันที ก็คือ การส่งสัญญาณผิดพลาดออกไปว่า ไทยเป็นเครือข่ายหรือเป็นสวรรค์สำหรับกองกำลังติดอาวุธของผู้ก่อการร้าย สิ่งนี้จะสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของไทย และอาจเป็นไปได้ที่จะผลักดันให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่นำเงินเข้ามาใช้จ่าย จนกลายมาเป็นความจำเป็นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในท้องถิ่น ไม่เข้ามาท่องเที่ยวเหมือนเดิม
ดังนั้น ถึงแม้กองกำลังของไทยอยากจะกำจัดพวกเราอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ แต่พวกเขาก็ยังเป็นกังวลอยู่กับผลกระทบในทางลบ และการตกเป็นข่าวคราวในทางลบ ที่จะคงอยู่ยาวนาน ในแง่นี้พูดได้ว่าพวกเขาถูกมัดมืออยู่ก็ได้
ในทรรศนะของคุณ เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของไทย เป็นเรื่องของท้องถิ่นโดยสิ้นเชิงใช่ไหม ผมถามอย่างนี้เพราะเหตุผลง่ายๆ ที่ว่า มีสื่อจำนวนมากนำเสนอข้อกล่าวหาที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่า เหตุยุ่งยากทางภาคใต้ของไทยเกิดจากอิทธิพลต่างชาติ มีบ้างถึงกับเสนอว่ามันมีส่วนเกี่ยวโยงกับกลุ่มติดอาวุธอาหรับอย่างเช่น อัลเคด้า
นั่นเป็นการขยายความจนเกินเลย คุณต้องจดจำปัจจัยสำคัญยิ่งอย่างหนึ่งไว้ให้ดี สำหรับชาวมุสลิม - มาเลย์ในปัตตานีแล้ว สำนึกแห่งภูมิภาคและเอกภาพแห่งดินแดนนั้น ยืนอยู่บนแนวความคิดที่ว่า พวกเขาเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้อิสลามโดยตัวเอง
คนมุสลิมปัตตานีถือว่า ตัวเองเป็นหนึ่งในกลุ่มมุสลิมแรกสุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นกลุ่มที่เคร่งครัดที่สุด มีมรดกทางด้านวัฒนธรรมอิสลามเป็นของตัวเอง มีขนบประเพณีเป็นของตัวเอง พวกเขาไม่ต้องการให้มรดกเชิงอิสลามที่ว่านี้ ถูกบั่นทอน ไม่ว่าจะโดยอิทธิพลของรัฐบาลไทย หรือโดยอิทธิพลของอาหรับต่างแดน
นี่เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมคนมาเลย์ปัตตานี ถึงมีความโน้มเอียงที่จะปฏิเสธกลุ่มผู้เผยแผ่ศาสนาจากอาหรับ หรืออินเดียที่จะเข้ามาสอนอิสลามให้กับเรา และเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมชาวปัตตานี ถึงไม่ใช่ผู้ขานรับอิทธิพลของอาหรับ - วะห์บี หรือแม้กระทั่งสำนักคิดอื่นๆ อย่างเช่น ชีอะห์ เป็นต้น
ชาวมุสลิมปัตตานี มีปฏิกิริยาเชิงวัฒนธรรมที่แรงกล้าต่อบุคคลภายนอก และเราไม่ชอบที่จะถูกปฏิบัติต่อเยี่ยงมุสลิมชั้นสอง โดยมุสลิมต่างชาติอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากกลุ่มอาหรับ จากพื้นฐานที่ว่านี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนภายนอกที่จะเข้ามาและมีอิทธิพลเหนือพวกเรา ในเรื่องของอิสลาม หรือความเชื่อเรื่องการต่อสู้ของเรา
เคยมีความพยายามทำนองดังกล่าวอยู่บ้างในอดีต เช่น พวกวะห์บี พยายามที่จะสร้างสุเหร่าและให้ทุนกลุ่มผู้เผยแผ่ศาสนา แต่ล้มเหลวหมด
ผมขอย้ำว่า สถานการณ์ในปัตตานีถูกชี้ขาดและก่อรูปขึ้น โดยปัจจัยภายในเสมอมา และปัจจัยที่ว่านี้ ก็รวมไปถึงสถานการณ์การเมืองภายในด้วยเช่นกัน
ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1970 และ 1980 เมื่อตอนที่กลุ่มพูโลกำลังต่อสู้เพื่อการปกครองตนเอง หรือเพื่ออิสรภาพ มีการสนับสนุนในทางการเมืองอยู่บ้าง จากประเทศมุสลิมโพ้นทะเลบางประเทศ แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นไปในเชิงสัญลักษณ์ และไม่มีนัยสำคัญเทียบเท่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับปัตตานี
ถ้างั้นข้อกล่าวหาถึงความเชื่อมโยงในระดับภูมิภาค ที่กลุ่ม "ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคง" อ้างว่าสถานการณ์ในปัตตานีเลวร้ายลง เนื่องจากอิทธิพลของรัฐเพื่อนบ้าน พ.ต.ท.
ตราบเท่าที่ผมเป็นผู้นำของเบอร์ซาตู เราไม่เคยได้รับการสนับสนุนจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง เช่น มาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย ผมขอย้ำอย่างหมดจดไว้ในตอนนี้ว่า เราไม่เคยได้รับการสนับสนุนไม่ว่าจะในรูปแบบใดๆ ทั้งอาวุธ เสบียง การวางแผน การฝึก หรือการเงินจากประเทศหนึ่งประเทศใดในภูมิภาคนี้
ข้ออ้างที่ว่า มีประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศให้ความช่วยเหลือกลุ่มต่างๆ ในทางภาคใต้ของไทยเป็นข้ออ้างที่ผิดโดยสิ้นเชิง ผมรู้ว่าในความเป็นจริงแล้วไม่มีใครช่วยเหลือเรา
ถ้าหากมีใครช่วยหรือให้การสนับสนุน ผมจะเป็นคนแรกที่รู้ ในฐานะที่ผมเป็นผู้นำของเบอร์ซาตู แต่ผมบอกคุณได้ชัดเจนและหนักแน่นว่า ไม่มีการสนับสนุนใดๆ มาให้พวกเรา การต่อสู้ของพวกเรา เป็นเรื่องภายในของเราเสมอมา และไม่ได้เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับการเมืองระหว่างประเทศใดๆ ทั้งสิ้น
แล้วกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่า กลุ่มปัตตานีไปฝึกอาวุธในประเทศเพื่อนบ้าน
นี่ก็ผิดอีกนั่นแหละ ผิดด้วย น่าขันด้วยอีกต่างหาก แรกสุด ก็คือ เป็นเรื่องยากมากที่จะขนอาวุธข้ามไปฝึกกันในประเทศมาเลเซีย เพราะมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะลักลอบขนอาวุธข้ามแดนเข้าไปได้
กรณีของอินโดนีเซียก็เหมือนกัน เหตุผลง่ายๆ ก็เพียงแค่ว่า เราไม่มีความจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะเรามีที่ว่างและพื้นที่ลับมากเกินพอในหลายจังหวัดทางภาคใต้ ซึ่งกองกำลังติดอาวุธสามารถเข้าไปฝึกฝนการต่อสู้ได้
การฝึกในปัตตานีนั้น โดยตัวของมันเองแล้วง่ายกว่ามาก พื้นที่ที่มีเพียงมุสลิมรายล้อมอยู่โดยรอบ มีอยู่มากมายทั้งในปัตตานี นราธิวาส และยะลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับการฝึก
พวกวัยรุ่นติดอาวุธที่คุณเห็นอยู่ทุกวันนี้ ทั้งหมดได้รับการฝึกฝนในประเทศไทย อยู่ภายใต้ระบบโรงเรียนปอเนาะ ส่วนใหญ่ของพวกนี้ได้รับการฝึกในท้องที่ของตัวเองนั่นแหละ หลายคนไม่เคยแม้แต่จะเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านมาก่อนในชีวิต อย่างเช่น มะสะแอ นูเซ็ง ที่ถูกทางการไทยประกาศจับ ก็บอกอย่างเปิดเผยว่า ไม่เคยไปมาเลเซียมาก่อนเลยในชีวิต
ถ้าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องภายในที่จำกัดอยู่เฉพาะภาคใต้ของไทย คุณมีความคาดหวังอะไรสำหรับอนาคต และคุณจะเลือกหนทางแบบไหนในการดำเนินการ
ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าความรุนแรงไม่เคยได้ผล และจะไม่ได้ผลอีกต่อไป ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมผมถึงเรียกร้องต่อกลุ่มทั้งหลาย ให้เข้ามาร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ร่วม และหาหนทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อดำเนินการต่อสู้ของเราต่อไป
พื้นฐานของการต่อสู้ที่ว่านี้ ก็คือ ความต้องการให้ได้รับการยอมรับและนับถือต่อประวัติศาสตร์ในอดีตของเรา อัตลักษณ์แห่งเรา และความต้องการทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่จำเพาะของเรา สถานการณ์รุนแรงอย่างที่เราเห็นอยู่ในทุกวันนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่ารัฐบาลไทยยังไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ หรือทำให้ประชาชนในปัตตานีสงบราบคาบได้
ที่เป็นอย่างนี้ เพราะยุทธวิธีแบบสายตาสั้น และวิธีการโหดร้ายที่นำมาใช้ของพวกเขาเอง รวมไปถึงอาการลังเลที่จะยอมรับว่า ประชาชนในภาคใต้ใช้ชีวิตของเขามาอย่างนั้นยาวนานนับศตวรรษ เราไม่ใช่ผู้ต่ำต้อย หรือชนชั้นสองที่ไม่มีสิทธิมีเสียงแต่อย่างใด
ผมกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์รุนแรงที่เราเห็นอยู่ในทุกวันนี้ เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นในขอบเขต และในระดับที่ดุดันร้ายกาจเท่านี้มาก่อน ที่แย่ที่สุด เหยื่อ คือ พลเรือนสามัญธรรมดา ทั้งชาย หญิง เด็ก ครู อิหม่าม และพระสงฆ์ สิ่งนี้ไม่ก่อประโยชน์ใดๆ และในที่สุดก็จะเป็นอันตรายต่อทั้งเราและชาติไทยพร้อมกันไปด้วย
ดังนั้น สิ่งที่ผมต้องการ ก็คือ เราขอเรียกร้องต่อรัฐบาลให้นำเอามาตรา 282 จนถึง 290 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาบังคับใช้อย่างแท้จริง และอย่างมีประสิทธิภาพ มาตราดังกล่าวเปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งฝ่ายบริหารในท้องถิ่นได้ และให้มีอำนาจในการควบคุมตัวเองโดยจำกัด นี่เป็นรัฐธรรมนูญที่มีผลบังคับใช้ในยุคของอดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.
มาตรา 282 - 290 เป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับรัฐบาลท้องถิ่น การจัดสรรอำนาจและอำนาจบังคับบัญชาให้กับเขตปกครองท้องถิ่น, การจัดการเลือกตั้งในท้องถิ่น ฯลฯ วัตถุประสงค์ของมาตราเหล่านี้ ก็เพื่อให้เกิดความมั่นคงในรูปแบบบางอย่างของการเมืองท้องถิ่นในระดับภูมิภาค, ระดับจังหวัด และระดับอำเภอ และเป็นส่วนเสริมให้เกิดการกระจายอำนาจจากศูนย์กลาง
นี่เป็นสิ่งจำเป็นถ้าหากจะให้ประชาชนในระดับจังหวัดอย่างเช่น ปัตตานี ได้มีโอกาสรื้อฟื้นความเคารพนับถือในตัวเอง และเกียรติศักดิ์แห่งตัวเองกลับคืนมาอีกครั้ง
นี่เป็นหนทางเดียวที่จะเปิดโอกาสให้บรรดาผู้นำอย่างผม สามารถโน้มน้าวให้กลุ่มติดอาวุธต่างๆ ยกเลิกการต่อสู้ด้วยอาวุธ และหันมาดำเนินการผ่านกระบวนการทางการเมืองภายใน
ที่สำคัญที่สุด นี่เป็นวิธีการที่จะทำให้การต่อสู้ของเราถูกต้องตามกฎหมาย และสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญอีกด้วย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)