การแถลงข่าวเรื่อง
การออกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
โดย
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
คุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
ณ ศูนย์แถลงข่าวทำเนียบรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล
วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 เวลา 11.30 น.
รองนายกรัฐมนตรี
ครับ คือที่จริงเรื่องการเตรียมที่จะออกกฎหมาย เพื่อใช้ในสถานการณ์ที่มีความจำเป็นหรือฉุกเฉินนั้นเป็นข่าวมาเป็นระยะ ๆ ถ้าท่านจำได้เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ก็มีข่าวครั้งหนึ่ง เรื่องที่ทางฝ่ายความมั่นคงเขาเสนอว่า ถ้าหากจะมีการยกเลิกการใช้กฎอัยการศึกใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เขาขอกฎหมายใหม่ออกมาเพื่อเป็นเครื่องมือทดแทนกัน มิฉะนั้นจะเกิดช่องว่างขึ้น เราก็หารือหลายฝ่าย สุดท้ายก็มีการเตรียมทำกฎหมายไว้ แต่ยังไม่คิดถึงว่าจะมีความจำเป็นต้องรีบออก และตอนนั้นก็คิดว่าอาจจะต้องเสนอเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติตามปกติ พอดีตอนนั้นเตรียมจะเลือกตั้งหมดสมัยประชุม หมดอายุสภาฯ ครั้นพอเริ่มการเลือกตั้งมาใหม่ กฎหมายที่ได้ทำเตรียมไว้ก็มีอยู่ในมือ แต่ว่ายังไม่แน่ใจว่ามีความจำเป็นมากมายขนาดไหน แต่อย่างไรก็ตามในระยะ 3 เดือนหลังที่ผ่านมานี้ เราพบว่าสถานการณ์นั้นอยู่ในขั้นที่เชื่อว่าวันหนึ่งจะต้องมีการใช้กฎหมายแน่ เพียงแต่ว่าจะออกเป็นพระราชบัญญัติคือเสนอเข้าสู่สภาตามปกติ หรือจะสมควรออกเป็นพระราชกำหนด เพราะว่ามีความจำเป็นฉุกเฉินเร่งด่วนตามรัฐธรรมนูญมาตรา 218 เรายังไม่แน่ใจ จนกระทั่งในระยะประมาณ 7 วันที่ผ่านมา มีสัญญาณส่อไปในทางว่าสถานการณ์อาจจะรุนแรงขึ้น ฟางเส้นสุดท้ายที่นับว่าสำคัญก็คือเหตุการณ์เมื่อประมาณ 1 ทุ่มเมื่อคืนนี้ กรณีที่ได้มีการก่อความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในจังหวัดยะลา และได้ทราบว่าตั้งแต่เมื่อคืนจนกระทั่งถึงเช้านี้ ได้จับตัวควบคุมตัวผู้เกี่ยวข้องไว้ได้จำนวนหนึ่ง จากการสอบปากคำพบว่ามีแนวโน้มที่จะพาดพิงไปถึงเรื่องอื่น ๆ ได้อีกหลายเรื่อง ขณะนี้ท่านรองนายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์ ลงไปในพื้นที่ และเตรียมที่จะทำสิ่งที่เขาเรียกว่าขยายผลเพื่อหาข้อเท็จจริงให้ชัดเจนขึ้น อันนี้จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้รัฐบาลต้องพิจารณาเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นการด่วนเมื่อเช้าวันนี้เวลา 10.00 น.เพื่อประมวลสถานการณ์ทั้งหมด และตัดสินใจว่ากฎหมายที่เราเตรียมไว้นั้นจะสมควรนำออกมาใช้อย่างฉุกเฉินเร่งด่วนหรือไม่ประการใด
ผมต้องเล่าตรงนี้นิดหนึ่งครับว่า การแก้ปัญหาสถานการณ์ภาคใต้โดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น รัฐบาลได้ใช้มาตรการต่าง ๆ หลายมาตรการตลอดเวลาที่ผ่านมา มาตรการทางการเมือง มาตรการทางการปกครอง มาตรการทางสงครามจิตวิทยาและมวลชน และมาตรการทางกฎหมาย ในส่วนของมาตรการทางกฎหมายนั้นต้องเข้าใจว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐมีกฎหมายอยู่ในมือประมาณ 7 ฉบับที่ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการ และนี่คือสิ่งที่เราได้พยายามพูดมาตลอดว่าน่าจะเพียงพอ กฎหมายฉบับที่ 1. คือรัฐธรรมนูญ กฎหมายฉบับที่ 2. คือกฎอัยการศึก กฎหมายฉบับที่ 3. คือประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 4. คือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ฉบับที่ 5. คือพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ ฉบับที่ 6. คือพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และฉบับที่ 7. ซึ่งนับว่าสำคัญมากเหมือนกันคือ พระราชบัญญัติว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2495 ช่วยจำชื่อนี้ไว้ให้ดีครับ พระราชบัญญัติว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2495 ออกเมื่อปี 2495 ยังมีชีวิตอยู่จนถึงนาทีนี้ และก็เป็นกฎหมายที่รัฐบาลหลายรัฐบาลได้เคยเอามาใช้เมื่อเกิดความไม่สงบขึ้น เช่น อาจารย์สัญญาฯ (อดีตนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์ สัญญา ธรรมศักดิ์) ท่านเคยเอามาใช้เมื่อเกิดกรณีโรงพักพลับพลาไชย ในปี 2517 เคยนำมาใช้กรณีท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ใช้เมื่อคราวเผาโรงงานแทนทาลั่มที่จังหวัดภูเก็ต และเคยใช้ในกรณีเกิดพฤษภาทมิฬ
เราก็พยายามติดตามดูตลอดเวลาที่ผ่านมาว่า เมื่อมีกฎหมายอยู่ในมืออย่างน้อยถึง 7 ฉบับนี้ น่าจะเพียงพอ แล้วเกิดปัญหาอะไรขึ้น พบว่ามีปัญหาเกิดขึ้นอยู่หลายข้อด้วยกัน คือ 1. การที่เราใช้กฎอัยการศึกเป็นตัวนำในวันนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดี เพราะว่าเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารเหนือฝ่ายพลเรือน พอมีกำลังทหารเข้าไป มีคนแต่งกายแต่งเครื่องแบบสีเขียวเดินทั่วไป พกพาอาวุธกันอยู่ทั่วไป ฝ่ายหนึ่งก็เกิดความสะดุ้งสะเทือนไม่สู้จะสบายใจ จนกระทั่งข่าวคราวออกไปถึงในต่างประเทศว่าประเทศไทยโดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ประกาศใช้กฎอัยการศึก ซึ่งคำว่ากฎอัยการศึกที่ฝรั่งเรียกว่า Martial Law นี้เขาจะใช้เฉพาะในสถานการณ์ที่รุนแรงใกล้ ๆ สงคราม พอมีว่า 3 จังหวัดภาคใต้ใช้กฎอัยการศึก เขาก็รู้สึกว่ามันมีสถานการณ์ใกล้เคียงกับสงครามหรืออย่างไร ทำให้ไม่เป็นไปตาม ไม่เอื้อต่อบรรยากาศในสังคมประชาธิปไตยและสังคมที่ต้องการสมานฉันท์ นั่นข้อที่ 1.เป็นอุปสรรค เท็จจริงผมไม่พูดนะ แต่ว่าเขาประมวลมาว่ามีอย่างนี้ 2. การที่เรามีกฎหมายอย่างน้อย 7 ฉบับนั้น ถ้าพูดถึงพอ ก็พอ แต่ถ้าพูดถึงกระจัดกระจายมันก็กระจายกันจริง ๆ เพราะกฎหมายบางฉบับเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจทหาร บางฉบับให้ตำรวจ บางฉบับให้พลเรือน บางฉบับให้ฝ่ายปกครอง และพลเรือนเองก็มีพลเรือนกระทรวงหนึ่งกับพลเรือนอีกกระทรวงหนึ่ง เช่น กฎหมายสอบสวนคดีพิเศษให้อำนาจพลเรือนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม บัดนี้เราพบว่าปัญหาภาคใต้นั้นมีความไม่เข้าใจส่วนหนึ่งจากการที่เจ้าหน้าที่ที่ลงไปปฏิบัตินั้นไม่สามารถที่จะบูรณาการการใช้อำนาจ โดยเฉพาะบูรณาการกฎหมายที่กระจายกันอยู่ให้เขามาอยู่ในมือ และใช้ร่วมกันอย่างเป็นปึกแผ่นได้ ซึ่งแน่นอนครับเป็นปัญหาในเชิงบริหาร ต้องแก้กันไปในเชิงบริหาร อีกส่วนหนึ่งคือเราอย่าพูดถึงว่าปัญหาบ้านเมืองเรานี้มีเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กรณีสึนามิที่เกิดนั้นเป็นบทเรียนหนึ่งว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น ซึ่งประเทศไทยนาน ๆ เกิดที แต่พอเกิดแล้วนั้น ขนาดท่านนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีที่ลงไปแก้ปัญหาสึนามิ ก็ไม่สามารถจะบูรณาการการใช้อำนาจที่กระจายกันอยู่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าหน้าที่ขัดขืน แต่เขาไม่สามารถจะทำอะไรบางอย่างให้ได้ เช่น อำนาจบางอย่างเป็นอำนาจของกระทรวงมหาดไทย บางอย่างเป็นอำนาจกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บางอย่างเป็นอำนาจกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แม้ว่ารองนายกรัฐมนตรีที่ลงไปซึ่งจำเป็นต้องสั่งให้สำเร็จเด็ดขาดนั้น ท่านได้รับความร่วมมือจากระดับเจ้าหน้าที่ แต่ท่านจะไปใช้อำนาจทางกฎหมายซึ่งเป็นของหน่วยงานอื่นไม่ได้ ยินดีมอบให้ทำก็ทำไม่ได้ มอบไม่ได้ เป็นอุปสรรค แล้วเราก็นึกว่าถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุอย่างนี้ขึ้นอีก เราพยายามจะนึกถึงสิ่งที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Scenario ภาษาไทยเรียกว่าฉากสมมติเหตุการณ์ แล้วถ้าเกิดกรณีอย่างถล่มตึก World Trade Center กรณีอย่างกรุงลอนดอน กรณีอย่างสึนามิอีกสักรอบหนึ่ง หรือแม้แต่กรณีพายุไต้ฝุ่นเข้า Florida อย่างเช่นเมื่อไม่กี่วันมานี้ หรือกรณีเกิดไฟไหม้สำคัญที่เกิดขึ้นที่ชานเมืองลอสแอนเจลิสเมื่อไม่กี่วันมานี้ ซึ่งในกรณีอย่างนั้นนานาประเทศเขาใช้กฎหมายหนึ่งเข้าไปจัดการทั้งสิ้น ที่เรียกกันว่ากฎหมายว่าด้วยสถานการณ์ฉุกเฉิน ภาษาอังกฤษเรียกว่า State of Emergency เราก็คิดว่าเมืองไทยคงจะจำเป็นต้องมีกฎหมายแบบนี้เกิดขึ้น จะบอกว่ามีอยู่แล้วแต่มันกระจายและไม่สามารถบูรณาการ แล้วถึงเวลาก็แก้ปัญหาไม่ได้ ไม่ทันท่วงที ทั้งหมดนำมาสู่การเตรียมทำกฎหมายเพื่อบูรณาการ แปลว่าดึงเอากฎหมายที่กระจัดกระจายกันอยู่มาใส่ไว้ในที่เดียวกัน และมีพนักงาน มีเจ้าหน้าที่ มีผู้บังคับบัญชา มีหัวหน้าในการดูแลและสั่งการ โดยรับรองว่าไม่ได้สร้างมาตรการใดให้หนักข้อหรือรุนแรงไปกว่าที่มีอยู่แล้วในกฎหมายปัจจุบันเลย และที่สำคัญคือต้องไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญต้องไม่ให้ขัดความเข้าใจของสังคมประชาธิปไตยหรือหลักสิทธิมนุษยชนที่ยอมรับกันในนานาประเทศ
วันนี้ได้มีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีว่ากฎหมายมีอยู่ในมือ และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้มีการแก้ไขภายใน 24 ชั่วโมงที่เพิ่งผ่านมานี้ เพื่อให้ทันกับเหตุการณ์และพร้อมที่จะดำเนินการต่อ จะสมควรมีกฎหมายนี้หรือไม่ ข้อที่ 1. ถ้าสมควรจะออกเป็นพระราชบัญญัติ คือเสนอสภาฯ ตามปกติ หรือเสนอออกเป็นพระราชกำหนดเพราะว่ามีความจำเป็นฉุกเฉินเร่งด่วน คณะรัฐมนตรีได้รับฟังสถานการณ์ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดยะลาเมื่อคืนนี้ และเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มีสัญญาณมาเป็นลำดับ และแนวโน้มที่อาจจะเกิดต่อไปแล้ว คณะรัฐมนตรีได้มีมติเป็นเอกฉันท์ในวันนี้ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญมาตรา 218 ว่า ให้ออกพระราชกำหนด ซึ่งเป็นพระราชกำหนดว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน คราวนี้ก็มาถึงกฎหมาย กฎหมายนี้มีชื่อว่าพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 คำว่าสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นหมายถึงสถานการณ์ทุกชนิดที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ กระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ชีวิตความเป็นอยู่ ความปลอดภัย และรวมไปถึงแม้กระทั่งภัยธรรมชาติที่กระทบต่อสาธารณชนด้วย และภัยทุกชนิดด้วย
เพราะฉะนั้นจะครอบคลุมตั้งแต่เกิดการขบถ เกิดจลาจล เกิดภัยธรรมชาติ เกิดสึนามิ เกิดเหตุความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนกระทั่งเกิดสถานการณ์สงคราม ก็มีปัญหาว่าทำไมต้องใช้คำว่าสถานการณ์ฉุกเฉิน คำตอบคือในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันนี้ ยอมให้มีการล่วงล้ำกล้ำเกินสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้อยู่ใน 3 กรณีใหญ่ ๆ เท่านั้น เช่น ถ้าใครดูมาตรา 51 จะเห็นความข้อนี้ คือ 1. จะต้องเป็นสถานการณ์แห่งการลดหรือการสงคราม ซึ่งวันนี้เราก็ไม่คิดว่ามีสถานการณ์นั้นอยู่ 2. เมื่อมีการประกาศใช้กฎอัยการศึก แสดงว่ากฎอัยการศึกนั้นไปล่วงล้ำกล้ำเกินสิทธิเสรีภาพคนได้ แต่วันนี้เราก็ไม่ชอบใจกฎอัยการศึกเสียแล้ว และข้อ 3. เมื่อมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน คำนี้เป็นคำสุดท้าย เป็นทางเลือกเหลือทางเดียวที่เหลืออยู่ ที่ต้องเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นกฎหมายจึงต้องเป็นกฎหมายที่ชื่อว่าการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Emergency สถานการณ์ฉุกเฉินคืออะไร ผมได้เรียนให้ทราบแล้ว ถามว่าในกฎหมายนี้กำหนดหลักเกณฑ์อย่างไร ฟังให้ดีครับ หลักเกณฑ์จะมีดังต่อไปนี้
เมื่อมีความเข้าใจว่าเกิดสถานการณ์ที่น่าจะฉุกเฉินขึ้น ไม่ว่าฉุกเฉินธรรมดา ฉุกเฉินมากอะไรก็ตามที มีกรรมการชุดหนึ่ง ย้ำอีกครั้งหนึ่งครับ มีกรรมการชุดหนึ่ง กรรมการนี้เกิดขึ้นพร้อมกับพระราชกำหนดนี้เลย ชื่อว่ากรรมการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีรองนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นประธาน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม 3 คนนี้เป็นรองประธาน มีปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อัยการสูงสุด ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นกรรมการ และมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ กรรมการนี้เป็นกรรมการถาวร เกิดขึ้นทันทีเลยครับ
เพราะฉะนั้นกรรมการนี้จะเป็นคนคอยดูเหตุการณ์ ถ้ารู้สึกว่ามีเหตุการณ์ที่ถึงขั้นเกิดความไม่สงบ หรือเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน กรรมการนี้จะแนะนำนายกรัฐมนตรีว่าสมควรประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉินในพื้นที่ใด นายกรัฐมนตรีจะนำเข้าหารือคณะรัฐมนตรี แสดงว่าเป็นด่านล็อก ๆ กันอยู่นะครับ ด่านตัวที่ 1. กรรมการนี้เสนอ ด่านที่ 2. นายกรัฐมนตรีเห็นชอบ ด่านที่ 3. คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ นายกรัฐมนตรีก็จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทันที โดยระบุพื้นที่ เป็นตำบล เป็นอำเภอ เป็นจังหวัด ถ้าเป็นสถานการณ์รุนแรง เช่น สงคราม อาจจะประกาศทั้งประเทศก็ได้ เมื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ใดแล้ว ให้มีผลไป 3 เดือน แล้วหมดอายุ แต่ถ้าคณะรัฐมนตรีเห็นว่าสถานการณ์ยังรุนแรงต่อ ก็ต่ออายุได้อีกภายใน 3 เดือน ๆ ไปเรื่อย ๆ ทั้งหมดนี้ยกเว้นว่าถ้าจำเป็นฉุกเฉินเร่งด่วนจนกระทั่งถึงขนาดเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีไม่ทันท่วงที และคณะกรรมการฉุกเฉินที่ว่านี้แนะนำมาแล้ว นายกรัฐมนตรีก็อาจจะประกาศสถานการณ์สถานการณ์ฉุกเฉินไปก่อนได้ และให้เรียกประชุมคณะรัฐมนตรีภายใน 3 วัน เดี๋ยวนี้ก็ได้ คืนนี้ก็ได้ และคณะรัฐมนตรีไม่เห็นชอบกับการประกาศนั้น ก็ให้การที่ประกาศไปแล้วสิ้นสุดลง ถ้าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ ก็ให้มีอายุไป 3 เดือนอย่างที่ว่า หมดอายุก็ต่อได้อีกคราวละ 3 เดือน เมื่อมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วเกิดอะไรขึ้น ผลที่ตามมา ผลก็คือ
ข้อที่ 1. คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อสักครู่นี้ เขาจะทำหน้าที่คอยติดตามดูเหตุการณ์ ประเมินเหตุการณ์ ซึ่งก็ดูรอบคอบรัดกุมกว่ากรณีที่ทหารใช้กฎอัยการศึก ผลที่ตามมาคือ นายกรัฐมนตรีสามารถที่จะออกคำสั่งหลายคำสั่งได้ เช่น ห้ามออกนอกบ้าน ห้ามเข้าเขต ห้ามออกนอกเขต ควบคุมกิจกรรมต่าง ๆ ได้ คล้าย ๆ กับที่เขาเขียนไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2495 ซึ่งกฎหมายนั้นจะต้องถูกยกเลิกไป เมื่อมีการใช้พระราชกำหนดนี้ ก็แปลว่าเราเอาเนื้อความในพระราชบัญญัติฉบับนั้นมาใช้ในพระราชกำหนดนี้นั่นเอง ถ้าหากว่าสถานการณ์นั้นเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นถึงขั้นมีการก่อการร้าย นายกรัฐมนตรีก็อาจจะ ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีเช่นเดิมอีก ประกาศให้เป็นสถานการณ์ที่มีความร้ายแรง คือแรงขึ้นกว่าเดิม เมื่อประกาศให้เป็นสถานการณ์ที่มีความร้ายแรง นายกรัฐมนตรีก็จะสั่งให้ทำสิ่งต่าง ๆ ได้อีกหลายอย่าง เช่น ควบคุมตัวคนไว้ได้ มีกำหนดระยะเวลาไม่เกิน 7 วันโดยขออนุญาตจากศาล ถ้าครบ 7 วันยังต้องควบคุมต่อ ก็ขออนุญาตศาลต่อได้ทีละ 7 วัน ๆ เบ็ดเสร็จรวมไม่เกิน 30 วัน ซึ่งก็เป็นขั้นตอนธรรมดาที่มีหลักประกันคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน รวมทั้งอำนาจในการที่จะติดตามดักฟังทางโทรศัพท์ก็ได้ แต่ต้องดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ แปลว่าต้องร้องขออธิบดีศาลอาญาให้เป็นผู้อนุญาต ซึ่งในกฎหมายสอบสวนคดีพิเศษ ถ้าใครคุ้นกับกฎหมายฉบับนั้นจะทราบว่าเขาให้อำนาจในการดักฟังโทรศัพท์ได้ แต่จะต้องขอต่ออธิบดีศาลอาญา ถ้าอธิบดีศาลอาญาไม่อนุญาตก็ไม่ได้ เราก็เอาหลักเดียวกัน ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบในกฎหมายนั้นแล้ว มาใช้แล้ว มาใช้กับกฎหมายนี้โดยอนุโลม นอกนั้นจะมีอำนาจอย่างอื่นอีกที่สำคัญคือ บรรดาอำนาจทั้งหลายในระหว่างที่มีการประกาศอย่างที่ว่านี้ ซึ่งเป็นของรัฐมนตรีใด ๆ ก็ตามที ถ้าหากเป็นเรื่องของการฟื้นฟู ช่วยเหลือ อนุญาต อนุมัติ ระงับ ยับยั้ง สั่งการ ซึ่งความจริงเป็นอำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมื่อประกาศสถานการณ์ที่ว่าแล้ว อำนาจนี้ให้โอนมาเป็นของนายกรัฐมนตรีตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด เขาจะบอกว่าให้อำนาจอะไรโอนมา แล้วพอโอนมานายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจนั้นเอง หรือมอบให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดลงไปใช้อำนาจต่อก็ได้ เพราะบทเรียนเกิดคราวสึนามินั้นเองว่าเป็นอำนาจของกระทรวง เราต้องการให้ Transfer คือโอนมาเป็นของนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีก็จะมอบต่อให้รองนายกรัฐมนตรีคนใดลงไปสั่งการแก้ปัญหาได้ ทั้งหมดมีเงื่อนไข มีเงื่อนเวลา มีพื้นที่ มีอายุ สิ้นสุดก็เลิก ก็จบ ใหญ่ ๆ ก็จะมีเพียงแค่นี้ เดี๋ยวรายละเอียดท่านเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ท่านเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะได้ชี้แจงเพิ่มเติม แต่ผมย้ำเป็นเรื่องสุดท้ายว่า เมื่อมีการประกาศพระราชกำหนดนี้ไปแล้ว ถ้าได้มีการประกาศแล้ว ก็จะนำไปสู่การยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และรัฐบาลจะมาพิจารณาก่อน มาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และผลต่าง ๆ จะเริ่มตามมาตามลำดับมาเอง ซึ่งขณะนี้ฝ่ายทหาร ฝ่ายความมั่นคง กำลังเตรียมอยู่ว่าจะรับสถานการณ์ทดแทนช่องว่างเพื่อยกเลิกกฎอัยการศึกอย่างไร
ถามว่ากฎหมายนี้ ซึ่งผมเชื่อว่ามีคำถามว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ต่างอะไรจากกฎอัยการศึกไม่ใช่หรือ ต่างครับ ความต่างที่สำคัญคือกฎหมายนี้เป็นกฎหมายที่จะออกใหม่นี้ ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือนมากกว่าอำนาจฝ่ายทหาร ทหารจะเข้ามาเป็น Staff เป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการ ไม่ใช่ว่าทหารมีอำนาจเหนือพลเรือนโดยอัตโนมัติเหมือนกฎอัยการศึก
ข้อที่ 2. นอกจากจะเป็นการเปลี่ยนอำนาจจากทหารมาสู่มือของพลเรือนแล้ว เดิมทีนั้น กฎอัยการศึกเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจผู้บัญชาการทหารในพื้นที่ เช่น แม่ทัพภาค ประกาศใช้เองได้โดยไม่ต้องปรึกษากับรัฐบาล วันนี้เราต้องการให้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอาจจะไปล่วงล้ำกล้ำเกินสิทธิเสรีภาพประชาชนบ้างนั้น มาเป็นความรับผิดชอบในระดับของคณะรัฐมนตรี ซึ่งต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อสภา ผู้บัญชาการทหาร แม่ทัพ ท่านไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อใคร ท่านประกาศกฎอัยการศึก ในตำบล ในอำเภอ ในจังหวัดใดท่านประกาศเองได้ และท่านก็ประกาศกันไปแล้วทั้งนั้น วันนี้เราให้อำนาจอย่างนี้มาอยู่ที่รัฐบาล คือนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และเมื่อประกาศก็ต้องรับผิดชอบต่อสภาฯ สภาฯ สามารถตรวจสอบควบคุมได้ตามกลไกของรัฐธรรมนูญ
เหตุการณ์ต่อไป สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นคำสากลที่รัฐธรรมนูญยอมให้ทำได้ และก็ไปจำกัดสิทธิ์คนได้ในช่วงนั้น ไม่มีการขัดกับรัฐธรรมนูญ และก็เป็นคำสากลที่ใช้อยู่ ในต่างประเทศเขาก็มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และใช้กำลังต่าง ๆ เข้าไปจัดการได้ ซึ่งเป็นการล่วงล้ำกล้ำเกินสิทธิเสรีภาพประชาชนหลายอย่างทีเดียว อันนี้ก็เป็นหลักใหญ่ เป็นความแตกต่างที่สำคัญ และขณะเดียวกันพอเราทำกฎหมายใหม่ตรงนี้แล้ว ก็ต้องสร้างกลไกควบคุมการใช้อำนาจของรัฐบาล ฉะนั้นหลายเรื่องต้องไปที่ศาล หลายเรื่องจะต้องไปที่คนมากกว่า 1 คน เช่น ไปที่กรรมการ ไปที่คณะรัฐมนตรี และหลายเรื่องไปที่สภาฯ คือสภาฯ เข้ามาตรวจสอบได้ และแน่นอนที่สุดกลไกต่าง ๆ ที่ใช้นี้ต้องกำหนดเวลา กำหนดเงื่อนไข และกำหนดทางเลือกให้ประชาชนที่เกิดความรู้สึกว่าตัวเองถูกเสียสิทธิเสรีภาพไป ก็ต้องมีวิธีที่จะร้องเรียน หรือฟ้องร้อง หรือดำเนินคดี หรือเรียกค่าเสียหายได้ หลักทั้งหมดจะเป็นแค่นี้ รายละเอียดอื่นเดี๋ยวให้ท่านเลขาฯ ทั้งสองช่วยกรุณาชี้แจงก่อนครับ แล้วเดี๋ยวค่อยถาม ท่านเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาจะเพิ่มเติมอะไร เชิญครับ
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
คงเป็นเรื่องที่ต้องการจะปรับปรุงกฎหมายเดิม ที่ใช้มานานแล้วให้ทันสมัยขึ้น และให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน โดยอำนาจหน้าที่อย่างที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีได้กรุณาชี้แจงแล้วว่า ไม่ได้เป็นอำนาจหน้าที่ที่เกินเลยไปกว่าที่เคยมีในปัจจุบัน เพียงแต่ว่าเพื่อให้มีการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างบูรณาการ และสามารถทำได้โดยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเท่านั้นเอง
รองนายกรัฐมนตรี
เชิญท่านเลขาธิการคณะรัฐมนตรีครับ
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ท่านรองนายกรัฐมนตรีชี้แจงไปหมดแล้ว ขอเรียนอย่างนี้ว่า ความจริงเรื่องการใช้กฎอัยการศึกนั้น ถ้าใครเป็นนักกฎหมายก็จะรู้ว่าเวลาพูดว่า Martial Law ออกไปที่ต่างประเทศ เขาไม่ได้นึกอย่างบ้านเราว่ามันยิงกันคนหนึ่งวันนี้ ยิงกันคนหนึ่งพรุ่งนี้ แต่เขานึกว่าเกิดสภาวะสงคราม เพราะฉะนั้นกฎอัยการศึกซึ่งจริง ๆ แล้วอำนาจที่เขียนอยู่ในนี้เป็นอำนาจที่มีอยู่ในกฎอัยการศึกเป็นอันมากนี้ มี แต่ว่าก็ไม่ได้ใช้ เพราะเหตุว่าไม่เกิดการสงครามจริง ๆ ทีนี้เมื่อเกิดสถานการณ์สะสมมาจนกระทั่งถึงเมื่อคืนนี้สถานการณ์ไม่ใช่สถานการณ์ปกติแล้ว เพราะถึงขนาดที่ผู้ก่อการอุกอาจ เข้ามาก่อการในเมือง ในเขตจังหวัด ในเขตเทศบาล และไม่ได้ทำที่เดียวแต่ทำเป็นขบวนการ ระเบิดเสาไฟฟ้าทำให้ไฟฟ้าดับ ไปวางระเบิดอีกหลายสิบจุด ไปวางเรือใบไปจุดไฟเผาทุกที่ แทบจะลุกลามไปใหญ่โต สถานการณ์อย่างนี้จึงมีความจำเป็นอย่างที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีวิษณุฯ พูดว่าจะต้องมาพิจารณารัฐธรรมนูญกันว่าเป็นเหตุฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วนในอันที่จะรักษาความมั่นคงของชาติ รักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพราะฉะนั้นคณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้กราบบังคมทูลพระกรุณาเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกำหนด ซึ่งกำลังจะใช้อยู่นี้
ผมอยากเรียนท่านสื่อมวลชนว่าจริง ๆ แล้วความจำเป็นแห่งสถานการณ์ทำให้ต้องออกพระราชกำหนดนี้ เพื่อที่จะให้เกิดการบูรณาการกันอย่างเป็นเอกภาพ ท่านรองนายกรัฐมนตรีวิษณุฯ พูดแล้วนะครับว่าอำนาจอยู่ในกฎหมาย 7 ฉบับ แต่ว่าท่านทราบหรือไม่ว่าในการบริการกฎหมายเหล่านั้นมีความยุ่งยากอย่างไร มีคนเคยถามว่าทำไมท่านพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายจากท่านนายกรัฐมนตรี ลงไปอยู่ปักษ์ใต้เป็นเดือนแล้วทำไมถึงแก้ไม่ได้ มีคนไปถามรองนายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอก ชิดชัยฯ ว่าทำไมท่านรองนายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอก ชิดชัยฯ ไม่ลงไปอยู่ปักษ์ใต้แก้ปัญหา คำตอบคือว่าเพราะเหตุที่มีอำนาจอยู่ตามที่ต่าง ๆ แล้วไม่มีการบูรณาการ ต่อให้นายกรัฐมนตรีลงไปนั่งอยู่ที่ปักษ์ใต้เองก็แก้ปัญหาไม่ได้ อำนาจในการจัดการศึกษาอยู่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อยู่ที่นี่ ซึ่งไม่ได้ลงไปอยู่ที่ปักษ์ใต้ด้วย อำนาจในการสอบสวนคดีพิเศษ ตำรวจธรรมดา ไม่มีทหาร ไม่มี ต้องมาอาศัยกรมสอบสวนคดีพิเศษ และคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ ก็เป็นอย่างนี้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นการบริหารแก้ปัญหาปักษ์ใต้เวลานี้ของรองนายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอก ชิดชัยฯ ก่อนที่จะมีพระราชกำหนด เลยต้องทำสองที่ วิ่งไปวิ่งมาสองที่ ถ้าจะว่ากันในเชิงนโยบายและเชิงอำนาจก็ต้องมาเชิญประชุมที่กรุงเทพฯ และเป็นมติ เสร็จแล้วเอาเข้าคณะรัฐมนตรี สั่งทีละเรื่อง ๆ ๆ ซึ่งบางครั้งก็ไม่ทันการ พอลงไปพื้นที่ก็ได้แต่ไปรับทราบปัญหา เพราะว่าอำนาจที่จะบูรณาการนั้นอยู่ตรงกลาง แต่เมื่อมีพระราชกำหนดนี้ออกมาแล้ว ในพระราชกำหนดนี้อย่างที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีวิษณุฯ พูดว่า สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นทำให้สามารถทำสิ่งที่กฎหมายปัจจุบันนี้ทำไม่ได้ คือการมอบอำนาจในกฎหมายปัจจุบันนี้ต้องมอบจากผู้ที่สูงกว่าลงไปสู่ผู้ที่ต่ำกว่า เช่น มอบจากนายกรัฐมนตรีไปรองนายกรัฐมนตรี ไปสู่รัฐมนตรี ไปสู่ปลัดกระทรวง ไปสู่อธิบดี ระบบกฎหมายไทยในปัจจุบันนี้ไม่เคยรู้จักการมอบอำนาจขึ้น เช่น ปลัดกระทรวงจะไปมอบอำนาจให้รัฐมนตรีไม่มี รัฐมนตรีจะไปมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ กฎหมายฉบับนี้ก็บอกว่าเพื่อบูรณาการการแก้ปัญหาให้เป็นเอกภาพ เป็นหนึ่งเดียว เป็นศูนย์ Command เดียว เมื่อประกาศสถานการณ์ฉุกแล้ว นายกรัฐมนตรีอาจประกาศให้มีการโอนอำนาจทั้งหลายตามกฎหมายของรัฐมนตรีทั้งปวง มาไว้ที่นายกรัฐมนตรี แล้วท่านนายกรัฐมนตรีก็มอบให้ใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นรองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์นั้น ใช้อำนาจนั้นแทนไปเลย ต่อไปนี้ถ้าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว การจัดการที่เกี่ยวกับการศึกษาทั้งหมด ก็ไม่ต้องไปรอให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้ความเห็นชอบ เพราะอำนาจโอนมาอยู่ที่นี่แล้ว อำนาจในการจัดการเกี่ยวกับคดีพิเศษทั้งหลาย ซึ่งเมื่อก่อนอยู่ที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะกรรมการคดีพิเศษ ก็จะได้มาอยู่ที่หัวหน้าผู้รับผิดชอบที่ว่านี้ ทั้งหมดนี้จริง ๆ แล้วคือเพื่อให้เกิดความมีเอกภาพและความทันต่อสถานการณ์ต้องแก้ปัญหา มิฉะนั้นจะมีปัญหาเรื่องที่ว่าบูรณาการกฎหมายกันไม่ได้อย่างที่เกิดมาในอดีตครับ
รองนายกรัฐมนตรี
คำถามที่ไม่มีใครถาม แต่ผมถามเองตอบเองก่อนมีอยู่ 2 ข้อ ข้อที่ 1. ได้ดูกันมาดีละเอียด รอบคอบ ใครได้ดูกันมาบ้างหรือไม่ ขอตอบว่า เรื่องนี้ความที่ได้เตรียมการทำกันมานาน แล้วปรับปรุงมาเรื่อย บางอย่างก็รื้อเอาออกไป ไม่เอามาใช้ในครั้งนี้ บางอย่างก็เพิ่งเพิ่มกันมาเมื่อคืนนี้เอง ได้ดูกันมากับฝ่ายกฎหมาย อันนี้เป็นของแน่ แม้กระทั่งทางผู้มีหน้าที่ใช้กฎหมาย คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด ก็ได้ร่วมในการหารือ หรือร่างมาโดยตลอด กระทรวงการต่างประเทศได้ดู โดยเฉพาะกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ได้พยายามดูกฎหมายที่ใช้อยู่ในหลายประเทศมาเทียบเคียง ไม่ว่าจะเป็น Internal Security Act ของมาเลเซีย หรือของสิงคโปร์ และล่าสุดคือ Patriot Act ของสหรัฐอเมริกาก็เอามาดูด้วย เขาเพิ่งออกมาหลังเหตุการณ์ 911 นี่เอง แต่ก็ไม่ได้เอามาตามของเขาหมด เพราะภัยของเราไม่ได้มากเหมือนอย่างของเขา แต่ว่าได้เอามาใช้เพื่อที่จะดูมาตรฐานหลายอย่าง นอกจากนั้นฝ่ายความมั่นคงก็ได้เข้ามาร่วมดูโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นกรมพระธรรมนูญ กองทัพภาคที่ 4 กองบัญชาการทหารสูงสุด สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ถ้าเราได้ตั้งหลักว่ากฎหมายว่านี้ไม่ได้เอามาใช้เพื่อเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราเผื่อถึงสึนามิ เผื่อถึงแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด อะไรก็ตามทีที่จะมีได้ต่อไป เพราะฉะนั้นกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมประชาสงเคราะห์ ฯลฯ มาช่วยกันดูจนกระทั่งคิดว่าใช้แก้ปัญหาของตัวที่จะมีได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเหตุการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ มันถึงจุดที่เราอุ่นใจว่าด้วยความเห็นชอบพร้อมกันทั้งหมดแล้ว โดยมีสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นเจ้าภาพใหญ่
คำถามข้อที่ 2. กฎหมายนี้ไปจำกัดสิทธิเสรีภาพอะไรหรือไม่ จำกัดครับ บอกเลยว่าจำกัด เพราะว่าเป็นกฎหมายที่ออกมารับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน คำว่าสถานการณ์ฉุกเฉินคือสถานการณ์ที่เป็นภัยกับความมั่นคงของรัฐ กระทบกระเทือนต่อชีวิตความเป็นอยู่ ความปลอดภัยสาธารณะของประชาชน ไม่ใช่นาย ก. นาย ข . แต่เป็นคนหมู่มาก เพราะฉะนั้นก็ต้องมีวิธีการที่จะเข้าไปจัดการล่วงล้ำกล้ำเกินสิทธิของประชาชนแน่ เราระวังแต่เพียงว่า 1. เข้ากับมาตรฐานสากลของโลก หรือหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่ 2. ขัดรัฐธรรมนูญไหม 3. ขัดต่อบรรยากาศประชาธิปไตยและเอื้อต่อความรู้สึกสมานฉันท์เพียงใด นี่คือสิ่งที่เรากังวล ถามว่าจำกัดสิทธิไหม จำกัดสิทธิแน่ อย่างน้อยการห้ามออกนอกบ้าน ห้ามเข้าเขต กำหนดห้ามทำโน่น ห้ามทำนี่ สั่งไม่ได้ แม้กระทั่งในเรื่องของหนังสือพิมพ์เอง เราไปสั่งในส่วนสื่อมวลชนตรง ๆ ไม่ได้ แต่สมมติว่าเกิดมีการเสนอข่าว เสนอภาพ เสนอข้อเขียน เสนอบทความ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์อะไรก็ตามที ที่ไปล่วงล้ำกล้ำเกิน ทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในพื้นที่ และพอประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้วก็สามารถสั่งได้ เช่น ห้ามจำหน่าย ไม่ใช่เรียกมาตรวจข่าว หรือเซ็นเซ่อร์ อันนั้นเราทำไม่ได้ แต่ในเขตของรัฐธรรมนูญเขาให้อำนาจแค่ไหน เราก็ทำไปตามที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจ คือสั่งได้ภายในกำหนดที่ว่านั้น และภายในเงื่อนไขที่ว่านั้น และถ้าประชาชนหรือสื่อสิ่งพิมพ์รู้สึกว่าตัวเองถูกบั่นทอนสิทธิเสรีภาพ ก็เป็นเรื่องที่ท่านสามารถร้องต่อศาลได้อีก ให้ศาลสั่งอนุญาตหรือศาลสั่งยกเลิกตรงนั้นเสียก็ได้ ก็ไปหาทางออกทางนั้นเอาเอง เพราะว่าเราได้ประมวลในนั้น ข้อที่เขาเสนอมาก็พบว่าหลายเรื่องเข้าไปเกี่ยวพันกับสื่ออยู่เหมือนกัน ล่าสุดมีผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศตั้งข้อสังเกตมา ซึ่งไม่ใช่เป็นผู้ใหญ่ในรัฐบาล ว่าทำไมเกิดเหตุการณ์ถล่มที่ลอนดอน เราดูโทรทัศน์จะเป็น CNN หรือ BBC ยากที่เห็นศพสักหนึ่งศพโผล่ออกมาทางโทรทัศน์ แต่ว่าในสื่อของเรา ผมไม่ได้พูดถึงสื่อหนังสือพิมพ์นะครับ สื่อโทรทัศน์ก็ตัวดี ในกรณีที่ได้มีการนำเอาภาพต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปะติดปะต่อเข้า แล้วก็บางครั้งไปเอาภาพตัดหัวตัดคอตั้งแต่เมื่อปีที่แล้วมารายงานแทรกเข้าไป พร้อมกับการเสนอข่าวยะลาเมื่อคืนนี้ ตรงนี้เป็นเรื่องที่แน่นอนครับ จรรยาบรรณหรือ จริยธรรมก็ว่ากันไปในส่วนนั้น แต่ว่าถ้าเราประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินก็ต้องพูดกันได้ ขอร้องได้ว่าคุณงดเสนออย่างนั้น คุณไปเสนอที่อื่นคุณเสนอก็แล้วกัน คุณเสนอที่นี่ไม่ได้ เพราะจะเกิดปัญหาสะเทือนต่อความรู้สึก ขวัญ กำลังใจ และนำไปสู่ กระทบกับความมั่นคงอะไร เคยมีภาพมีข่าวออกมากรณีที่กระทบต่อการกระทำศาสนกิจ พิธีละหมาดของพี่น้องมุสลิมของเรา ทำให้เกิดปัญหาขึ้น รวมทั้งมีบทความทางวิทยุ จะชุมชนหรือไม่ชุมชน อ่านออกมาในทางที่ทำให้ความสมานฉันท์หายไปหมดเลย ก็ต้องสามารถที่จะขอให้หยุดดำเนินการได้ คุณไปทำที่อื่นไม่เป็นไร แต่ที่นี่คุณอย่ามาทำ เพราะว่า Sensitive มาก อย่างนี้เมื่อประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก็ห้ามกันได้ และถ้าใครรู้สึกว่าการห้ามนั้นปราศจากเหตุอันสมควร ก็ร้องขอต่อศาล ฉะนั้นกระบวนการทั้งหมดจะมีสิ่งที่ประสาน ซึ่งเขาเรียกว่าดำเนินไปสู่กระบวนการยุติธรรม ก็ต้องมีเปิดทางไว้ให้ ฉะนั้นถามว่าจำกัดสิทธิหรือไม่ จำกัดแน่ แต่ไม่ใช่นึกจะจำกัดก็จำกัดกันเล่น ๆ ง่าย ๆ มีกลไกทางศาลในการควบคุม มีกลไกการเมืองคอยดู และที่สำคัญคือกลไกมวลชน ไม่มีรัฐบาลไหนหรอกครับที่จะงัดเอาอำนาจแปลกประหลาดขึ้นมาใช้เล่น ๆ โก้ ๆ เพราะเพียงเมื่อคืนฝันร้าย เมื่อเช้าท้องไม่ดีอะไรอย่างนี้ จะต้องมีความเข้าใจตรงกันแล้วว่าบัดนี้เกิดความจำเป็นขึ้น
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ผมขออนุญาตเสริมนิดหนึ่งครับ เรื่องอำนาจควบคุม คือเวลานี้ตามกฎหมายปัจจุบัน มีอำนาจควบคุมตัวโดยไม่ต้องมีการแจ้งข้อหาตามกฎหมายกฎอัยการศึก มีอยู่ 7 วัน โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารควบคุมได้ แต่ว่าต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่ใช่ผู้ผิด พูดง่าย ๆ คือกฎหมายกฎอัยการศึกปัจจุบัน ทหารทำได้ สงสัยใครว่าเป็นผู้ก่อการหรืออะไร และยังไม่มีหลักฐานจะแจ้งข้อหา ไปเชิญตัวมาไว้ได้ 7 วัน และปล่อยไป 1 วัน ไปเชิญมาอีก 7 วันได้ โดยไม่มีการตรวจสอบ ในกฎหมายฉบับนี้บอกว่าเงื่อนไขครับ ข้อที่ 1. เมื่อมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง เพราะมีการก่อการร้าย เพราะมีการประทุษร้ายต่อชีวิต ต่อร่างกาย ต่อทรัพย์สินของประชาชนเป็นอันมาก จะต้องมีเงื่อนไขนี้เสียก่อน เจ้าพนักงานก็มีสิทธิ มีอำนาจตามกฎหมายที่จะจับหรือควบคุมตัวคนที่สงสัยว่าเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา แล้วนำมาควบคุมได้ ถามว่าเจ้าพนักงานไปจับเองจากกฎอัยการศึกได้หรือไม่ คำตอบคือ "ไม่ได้" เงื่อนไขข้อสองที่กฎหมายฉบับนี้วางไว้ก็คือ ก่อนที่จะไปจับหรือควบคุมตัวคนมาไว้ แล้วปฏิบัติต่อตัวเขาที่ยังไม่ใช่ผู้ต้องหา พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องไปยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจ หรือศาลอาญา เพื่อขออนุญาตในการดำเนินการ
กฎอัยการศึก เวลานี้เจ้าหน้าที่ทหารไปเชิญมาได้เลย เอาไว้ 7 วัน พอครบ 7 วัน ปล่อยไปหนึ่งวันก่อน แล้วไปเชิญมาอีก 7 วัน บัดนี้กฎหมายนี้บอกว่าไม่ได้ จะต้องไปร้องขอต่อศาลใน 3 จังหวัดภาคใต้ หรือร้องต่อศาลใน 3 จังหวัดภาคใต้ไม่ได้ ก็ร้องขอต่อศาลอาญา ไปเชิญตัวคนมา แล้วเงื่อนไขข้อ 3 บอกว่าในการเชิญตัวนั้น กลัวว่าจะอุ้มกันไป กฎหมายฉบับนี้เขียนไว้ว่าเป็นการวางเงื่อนไขในการใช้อำนาจ ซึ่งเวลานี้ตามกฎอัยการศึกไม่มี คือให้พนักงานเจ้าหน้าที่จัดทำรายงานเกี่ยวกับการควบคุมตัวเสนอต่อศาล และจัดสำเนารายงานไว้ ณ ที่ทำการของพนักงานเจ้าหน้าที่ เพื่อให้ญาติของทุกคนนั้นสามารถขอดูรายงานดังกล่าวตลอดเวลาได้ คือให้รู้ว่านำไปคุมที่ไหน ใครคุม ใครทำ เวลานี้กลัวกันว่าจะเกิดปัญหาว่านำไปคุมตัวแล้วหายไป ตอบว่าในกฎหมายฉบับนี้ไม่หายแน่ และมีหลักฐานแน่นอน
แล้วเงื่อนไขข้อ 4 ที่จะต้องพูดให้ชัดตรงนี้ คือกฎหมายกำหนดไว้ว่าต้องคุมไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่ในสถานีตำรวจ ที่คุมขัง ที่ทัณฑสถาน หรือเรือนจำ แล้วจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นในลักษณะที่เป็นผู้กระทำความผิดไม่ได้ พูดง่ายๆ คือว่าจากกฎอัยการศึกเดิมที่สามารถคุมตัวคนไว้ 7 วันโดยไม่ต้องแจ้งข้อหาและคุมโดยทหาร กฎหมายฉบับนี้มาเพิ่มเงื่อนไขใส่เข้าไป 4 เปาะ ล็อกไว้ ทั้งหมดคือเพื่อให้นำศาลเข้ามาคานอำนาจการคุมตัวคน และต้องทำรายงานการคุมตัว ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาเชิญตัวเขาไปคุมแล้วหายไป ต่อไปนี้ รายงานนั้นอยู่ที่ศาล รายงานต้องอยู่ที่เจ้าหน้าที่ที่ทำการ ญาติของเขาไปขอดูเมื่อไรก็ต้องให้ดู ขอให้ทำความเข้าใจด้วย เดี๋ยวจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นมาตรการที่ไม่มีระบบตรวจสอบ
------------------------------------
รองนายกรัฐมนตรีตอบข้อซักถามสื่อมวลชน
สื่อมวลชน : พระราชกำหนดนี้จะมีผลบังคับใช้สมบูรณ์เมื่อไร
รองนายกรัฐมนตรี
อันนี้ผมตอบไม่ได้ เพราะว่าเมื่อในชั้นของรัฐบาลทำส่วนของรัฐบาลเสร็จ ก็นำความกราบบังคมทูลฯ เมื่อทรงพิจารณาลงพระปรมาภิไธยแล้ว ก็จะประกาศใช้โดยเร็ว เพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่มีแนวโน้มจะยืดเยื้ออยู่ทุกวัน เมื่อประกาศใช้โดยเร็ว ทางทหารจะพิจารณาเลิกกฎอัยการศึก รัฐบาลก็จะพิจารณาในการที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินบางพื้นที่เท่าที่มีความจำเป็น และผลก็จะตามมาตามลำดับ กระบวนการจะไปของมันโดยเราไม่สามารถจะคิดไว้ล่วงหน้าได้ อย่างไรก็ตาม กำลังคิดอยู่ว่าบางทีการยกเลิกกฎอัยการศึกอาจจะล่าช้าอยู่เหมือนกัน เช่น คิดเดี๋ยวนี้ จะเลิกชั่วโมงหน้าไม่ได้ เพราะตามกฎหมายแล้ว เรื่องเหลือเชื่อคือว่าการประกาศกฎอัยการศึกในพื้นที่ใด แม่ทัพภาคประกาศเอง แต่พอยกเลิกกฎอัยการศึกที่แม่ทัพภาคประกาศ ให้ทำเป็น พระบรมราชโองการ ใช้เวลาหลายวัน
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
จะส่งสำนักราชเลขาธิการวันนี้ แต่สำนักราชเลขาธิการมีขั้นตอนภายในของท่าน ต้องเสนอคณะองคมนตรีอะไรก็แล้วแต่ จะทูลเกล้าฯ เมื่อไรนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่เป็นหน้าที่ของสำนักราชเลขาธิการ เราส่งสำนักราชเลขาธิการวันนี้
สื่อมวลชน : เมื่อพระราชกำหนดมีผลบังคับใช้แล้ว รัฐบาลจะสั่งให้ยกเลิกการประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ต่าง ๆ หรือไม่
รองนายกรัฐมนตรี
ก็คิดอยู่อย่างนั้น แต่ต้องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง ที่อธิบายกันมากมาย คือนายกรัฐมนตรีจะประกาศเองไม่ได้ ไม่เหมือนกับกฎอัยการศึกที่แม่ทัพภาคประกาศเองได้ อันนี้ต้องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และต้องให้กรรมการต่างๆ เป็นผู้เสนอแนะด้วย
สื่อมวลชน : เหตุการณ์ไหนที่จะให้อำนาจนายกรัฐมนตรีเป็นคนประกาศ หรือว่าเหตุการณ์ไหนจะเป็นอำนาจของกรรมการฯ เป็นผู้พิจารณา
รองนายกรัฐมนตรี
กรรมการประกาศเองไม่ได้ กรรมการต้องเสนอนายกรัฐมนตรีให้ประกาศ แล้วนายกรัฐมนตรีจะประกาศได้ก็ต้องให้กรรมการเสนอก่อน เพราะกรรมการเป็นฝ่ายประจำ ฝ่ายปฏิบัติ แต่ถ้าฉุกเฉิน เร่งด่วน จำเป็น จนกระทั่งคอขาดบาดตายจริงๆ และไม่ทำ กว่าจะให้กรรรมการเสนอ กว่าจะให้คณะรัฐมนตรีประชุมกันครบ 36 คน ถ้าเป็นเช่นนั้น นายกรัฐมนตรีอาจจะสั่งไปก่อน แล้วเรียกประชุมคณะรัฐมนตรีภายใน 3 วัน แต่ครั้งนี้ท่านนายกรัฐมนตรีประกาศเมื่อเช้านี้ว่า ท่านจะขอนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพูดกัน เพราะไม่ได้ฉุกเฉิน เร่งด่วนขนาดนั้น ถ้าเร่งด่วนเท่าที่ผมเห็นจริงๆ เป็นกรณีภัยธรรมชาติกระทันหัน จำเป็นจริงๆ จะให้พายุรอก่อน มีการประชุมคณะรัฐมนตรีก่อน เราก็ห้ามไม่ได้
สื่อมวลชน : คณะรัฐมนตรีเชื่อว่าให้อำนาจแก่พลเรือนแล้วจะแก้ปัญหาได้
รองนายกรัฐมนตรี
ไม่มีที่ไหนให้อำนาจพลเรือน ซึ่งในกองกำลังที่ทำกันอาจจะมีทั้งตำรวจ พลเรือน ทหาร แต่พลเรือนจะเข้ามามีส่วน และไม่ใช่มีใครใหญ่กว่าใคร เพราะเราพบแล้วว่าในกรณีถ้าเราแบ่งหน้าที่ให้ถูกต้อง เรื่องบางเรื่องฝ่ายปกครองทำได้ดีกว่า เช่น มาตรการทางจิตวิทยา มาตรการทางกฎหมาย แต่ถ้าเป็นมาตรการใช้กำลังถืออาวุธ ก็ต้องใช้ทหารอยู่ดี แต่วันนี้ถ้าประกาศกฎอัยการศึก ทหารใช้อำนาจหมดทุกมาตรการเลยครับ และกฎหมายที่ออกมาก็ไม่ใช่ว่าไม่ไว้วางใจทหาร แต่เป็นเพราะว่าเขาก็ลำบาก เขาก็ล้าเต็มทีเหมือนกันในการดำเนินการ
แล้ววันนี้ในตอนเช้าผมได้สรุปให้คณะรัฐมนตรีทราบว่า เหตุการณ์ที่จะนำมาสู่ว่าจะต้องออกกฎหมายนี้เสียแล้ว และเป็นพระราชกำหนดเสียด้วย มีอยู่ 6 - 7 เหตุการณ์ ปะติดปะต่อกัน ซึ่งคณะรัฐมนตรีก็เห็นชอบ แล้วเหตุการณ์ฟางเส้นสุดท้ายก็คือเหตุการณ์เมื่อเวลา 19.00 น. คืนที่ผ่านมา
สื่อมวลชน : จะมีการขอย้ายออกจากพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เพิ่มขึ้นหรือไม่
รองนายกรัฐมนตรี
ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่นำไปสู่สิ่งที่เราคิดว่ามีความจำเป็นต้องกฎหมายนี้ ทั้งหมดผู้สื่อข่าวเป็นคนลงไปเองทั้งนั้น ครูขอย้ายออกจากพื้นที่ พระขอย้ายออกจากวัด ราษฎรขอย้ายออกจากจังหวัด ข้าราชการ คนใหม่ไม่ขอย้ายลงไปอยู่ในเหตุการณ์ ทั้งหมดก็จะมีแนวโน้มเกิดขึ้นอย่างนี้ทุกวัน อันนี้ก็เป็นเหตุอย่างที่เราคิดว่าจะต้องระงับยับยั้งโดยเร็ว สามารถที่จะจัดการอะไรได้โดยเร็ว ให้ความอุ่นใจ ให้ความมั่นใจเขาโดยเร็ว
สื่อมวลชน : เมื่อออกพระราชกำหนดแล้ว กฎอัยการศึกจะยกเลิกโดยปริยายหรือจะยังคงมีอยู่
รองนายกรัฐมนตรี
ไม่ใช่ครับ ตัวกฏอัยการศึกมีมาตั้งแต่สมัยแผ่นดินในรัชกาลที่ 6 และยังอยู่ แต่กฎอัยการศึกมีอยู่อย่างนั้น แต่พอจะไปใช้ในที่ใด เขาก็ใช้วิธีประกาศ การประกาศใน 3 จังหวัดนั้นคงจะต้องถอยออกมา ซึ่งต้องทำเป็นพระบรมราชโองการถอนออกมา คือยกเลิก
เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
ท่านรองนายกรัฐมนตรีครับ ขออนุญาตเสริมตรงนี้ ท่านผู้สื่อข่าว เพราะฉะนั้น ช่วงที่มีการกราบบังคมทูลฯ ขึ้นไป เพื่อขอทรงมีพระมหากรุณาประกาศราชโองการยกเลิกการใช้กฎอัยการศึก อาจจะมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน คาบอยู่บางส่วน บางเวลาได้ ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลต้องการให้ทัน แต่กระบวนการขั้นตอนที่ส่งสำนักราชเลขาธิการในการเลิกการประกาศการใช้กฎอัยการศึกจะใช้เวลานานเท่าใด เราไม่อาจจะรู้ได้ เพราะเป็นพระราชอำนาจ ซึ่งท่านรองนายกรัฐมนตรีพูดแล้ว กฎอัยการศึกนั้น เขาต้องการเผชิญกับการรบ การสงครามเฉพาะหน้า ดังนั้น เกิดเหตุเมื่อไร แม่ทัพภาคประกาศได้เลย แต่พอจะเลิกต้องกราบบังคมทูลฯ เป็นประกาศราชโองการ ต้องให้นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองกราบบังคมทูลฯ ขึ้นไป ซึ่งตรงนั้นใช้เวลา เมื่อใช้เวลา เราอาจจำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินรองรับไว้ก่อน เพราะพอโปรดเกล้าฯ ประกาศราชโองการยกเลิกกฎอัยการศึกจะได้ไม่มีช่องว่าง ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เพราะรัฐบาลมีเจตจำนงจะไปใช้กฎหมาย 2 ฉบับให้พัวพัน เราไม่ต้องการอย่างนั้น แต่มีความจำเป็นโดยเหตุที่ไม่อาจจะคาดหมายได้ว่าเมื่อใดจึงจะมีการโปรดเกล้าฯ ให้เลิกกฎอัยการศึก
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ตรรกะมีอยู่ง่ายๆ ว่าเราอุตส่าห์ออกเป็นพระราชกำหนดแสดงว่า ต้องมีอะไรที่เร่งด่วนฉุกเฉินใช่ไหม ฉะนั้น เมื่อเร่งด่วนฉุกเฉิน พอประกาศพระราชกำหนดใช้ไปแล้ว ยังคาอยู่ ไม่เห็นประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉินให้เห็นเป็นตัวอย่างสัก 1 - 2 ที่ ก็จะย้อนกลับมาถามว่า แล้ว ณ วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 คุณออกพระราชกำหนดไปทำไม ต้องสอดคล้องกันทั้งหมด เพียงแต่ผมบอกไม่ได้ว่าวันไหนทำอะไรเท่านั้น
สื่อมวลชน : กลัวไหมว่าจะไปจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากเกินไป เช่น การดักฟังโทรศัพท์
รองนายกรัฐมนตรี
เราไม่กลัว เพราะทุกวันนี้ก็ดักฟังได้อยู่แล้ว ตามกฎหมายสอบสวนคดีพิเศษ มีเงื่อนไขว่าคุณจะต้องร้องอธิบดีศาลอาญา ถ้าอธิบดีศาลอาญาไม่ให้ดักฟัง คุณก็ทำไม่ได้ แล้วในกฎหมายที่เราจะออกกันใน 1 - 2 วันนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าไปดักฟังเลย ไม่ใช่นะครับ ให้นำกฎหมายสอบสวนคดีพิเศษมาใช้โดยอนุโลม ก็คือไปร้องอธิบดีศาลอาญา ดังนั้น การันตีจึงอยู่ที่อธิบดีศาลอาญา และอธิบดีศาลอาญาเท่านั้น ไม่ใช่ศาลจังหวัดยะลา ถ้าท่านบอกไม่ให้ฟัง ก็ฟังไม่ได้ เราคิดว่าการจำกัดเสรีภาพต้องมีเป็นธรรมดา แต่ทำอย่างไรจึงจะให้มีมาตรฐาน และมีหลักประกันที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งเราก็วางไว้ให้ ถ้าท่านเคยไปต่างประเทศเมื่อวันสองมานี้ ท่านจะรู้ว่าวันนี้ในหลายประเทศ ผมไปนิวยอร์กมาเมื่อเดือนที่แล้ว ตัวอย่างชัดที่สุดเลยว่า พออีก 1 ชั่วโมงจะถึงสนามบินจอห์น เอฟ เคนเนดี้ นิวยอร์ก ห้ามผู้โดยสารลุกออกจากที่นั่งบนเครื่องบินเป็นอันขาด ห้องน้ำก็ไปไม่ได้ เพราะเขากลัวว่า การจี้เครื่องบินจะจี้ตอนที่เครื่องบินจะลง ให้นั่งอยู่กับที่ และเขาจะเตือนตลอดว่า อีก 1 ชั่วโมงจะถึงนิวยอร์ก ใครจะเข้าห้องน้ำกรุณาเข้าเสีย อะไรอย่างนี้ ถามว่าจำกัดเสรีภาพหรือไม่ก็จำกัดก็จำเป็น
เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
เขาใช้คำอย่างนี้ว่า เพื่อที่จะรักษาสิทธิและเสรีภาพของคนส่วนใหญ่ จำเป็นเหมือนกันที่จะต้องจำกัดเสรีภาพของคนบางคน แต่เป็นการจำกัดภายใต้การตรวจสอบ อย่างกรณีที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีพูดเรื่องการดักฟัง ต้องไปร้องขอต่ออธิบดีศาลาอาญา หรือจะควบคุมตัวคนเอาไว้โดยไม่มีข้อหา ต้องไปขอความเห็นชอบจากศาลที่มีเขตอำนาจและต้องทำรายงานการเชิญตัวเขาไว้ให้ญาติพี่น้องเขารู้ด้วย
รองนายกรัฐมนตรี
คือต้องโปร่งใส ระหว่างนั้นไม่ให้เป็นผู้ต้องหา ใส่โซ่ใส่ตรวนไม่ได้ ห้ามขังในคุกในเรือนจำ อาจจะต้องอยู่ในบ้านในโรงพยาบาล
รองนายกรัฐมนตรี
ถ้าไม่มีกรรมการนี้ ทีแรกผมไม่นึกว่าจะมี บังเอิญพอปล่อยข่าวออกไปโยนหินถามทางว่านายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี เป็นคนสั่งประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน และตอนประกาศเสร็จจะใช้มาตรการ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า ก็มีเสียงกลับมาว่า ติดหนวด ติดคิ้ว ที่สื่อไปลงกัน เราจึงสร้างกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ซึ่งมีผู้บัญชาการทหารเหล่าทัพ อัยการสูงสุด ฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ อยู่ในนั้นหมด และเป็นคนเสนอแนะ เราคิดว่าเป็นหลักประกันพอสมควรแล้ว
รองนายกรัฐมนตรี
วันนี้คงจะประมวลทุกอย่างมาพูดไม่ได้ และคนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์คงจะเป็น ผู้ประมวลมาและเราหวังว่ากรรมการที่ตั้งขึ้นจะเป็นตัวประมวลดีที่สุด ซึ่งกฎหมายอัยการศึกเป็นกฎหมายที่รุนแรงที่สุด ถ้าผมพูดอย่างอุปมาคือปืนใหญ่ถล่ม บางเหตุการณ์ไม่จำเป็นต้องเอาปืนใหญ่ไปถล่ม ปืนเล็กยาวก็พอ แต่ถ้าเหตุการณ์ถึงขั้นต้องเอาปืนใหญ่ถล่ม ก็ต้องถล่มด้วยปืนใหญ่จะทำอย่างไร และกฎอัยการศึกก็มีทั่วโลก ผมยังไม่เห็นประเทศไหนไม่มีกฎอัยการศึก เพียงแต่เขาไม่ประกาศใช้ ของเราไปประกาศคนจึงข้องใจ
สื่อมวลชน : ฝ่ายค้านต้องการมีส่วนในการพิจารณากฎหมาย เพราะเป็นกฎหมายสำคัญของชาติ
รองนายกรัฐมนตรี
เห็นใจครับ คุณจำได้ไหมว่า ตอนเปิดสภาฯ ใหม่ๆ หลังเลือกตั้ง รัฐบาลได้ขอเปิดอภิปราย ทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ เพื่อฟังการแก้ปัญหาภาคใต้ เราอย่าแยกว่าฝ่ายค้านหรือฝ่ายไม่ค้าน ที่พูดขึ้นในสภาฯ ว่าประเทศไทยควรยกเลิกกฎอัยการศึกใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และมีกฎหมายพิเศษออกมาอย่างนี้ เราก็รับฟังในวันนั้นและนำมาใช้ด้วย และในที่สุดพระราชกำหนดนี้ ต่อไปต้องเข้าสภาฯ ถ้าสภาฯ ไม่เห็นชอบก็คว่ำเสีย ส่วนที่บอกว่าแล้วทำไมไม่เข้าสภาฯ เสียเลย ก็คิดถึงความยาวนานของเหตุการณ์ และเมื่อประกอบเข้ากับสัญญาณบางอย่างที่เรารู้สึกว่าเรารอไม่ได้ คุณรอมาตั้ง 6 เดือนแล้ว ไม่อย่างนั้นออกมาตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว ผมยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า เมื่อคืนถ้าไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจะออกพระราชกำหนดหรือไม่
----------------------------------------
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)