21 ธ.ค.51 ที่มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม (มอส.) มีการจัดแถลงข่าว "ข้อเสนอการปฏิรูปกิจการไฟฟ้าต่อรัฐบาลใหม่ ในยุคเศรษฐกิจแย่ สังคมเสื่อม" โดยมีตัวแทนชาวบ้านจากพื้นที่ 4 แห่งที่กำลังจะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้า (รายละเอียดในล้อมกรอบ) และตัวแทนจากสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค (สอบ.) เข้าร่วมแสดงความคิดเห็น หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน และประธานคณะกรรมการพิจารณาปรับปรุงแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (พีดีพี) ได้ออกมายอมรับว่า ปัจจุบัน ประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าที่ไม่ต้องผลิตไฟฟ้า หรือมีกำลังผลิตไฟฟ้าสำรองถึง กว่า 20% และได้สั่งให้มีการเลื่อนการก่อสร้างของโรงไฟฟ้าของ กฟผ.ออกไปแล้ว 1 ปีขึ้นไป รวมทั้งเจรจากับผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี)ที่ชนะการประมูลทั้งหมดให้เลื่อนโครงการออกไป 1 ปีโดยไม่เพิ่มค่าไฟฟ้าให้ แต่ให้เป็นไปตามความสมัครใจของไอพีพี
ทั้งนี้ ข้อเสนอโดยรวมของการแถลงข่าวครั้งนี้คือ 1.ต้องการให้รัฐบาลใหม่ยกเลิกพีดีพี 2007 และให้ทำฉบับใหม่เป็นวาระแห่งชาติ ไม่ใช่พีดีพีของผู้ผลิตไฟฟ้า 2.ยกเลิกโครงการของเอกชนผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ (ไอพีพี) ที่มีโครงการจะสร้างโรงไฟฟ้า 4 แห่ง รวม 4,400 เมกกะวัตต์ 3.ยกเลิกระบบค่าไฟฟ้าจากไฟฟ้าสำรอง over ซึ่งเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค โดยตัวแทนชาวบ้านในหลายพื้นที่จะยื่นหนังสือเรียกร้องดังกล่าวต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่พรรคประชาธิปัตย์ ในวันที่ 25 ธ.ค.นี้
ตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี จากกลุ่มอนุรักษ์วิถีเกษตรกรรม อ.หนองแซง จ.สระบุรี ซึ่งกำลังคัดค้านโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซในพื้นที่ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่นาน กฟผ.ได้มีการเร่งรัดเซ็นสัญญาซื้อไฟกับไอพีพีไปแล้ว และขณะนี้ปลัดกระทรวงพลังงานกลับออกมาขอร้องเอกชนให้เลื่อนออกไป 1 ปี สะท้อนให้เห็นถึงการประมาณการความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศที่ผิดพลาด หากว่าไอพีพียังยืนยันจะก่อสร้างและส่งไฟเข้าระบบตามกำหนดเดิม นั่นเท่ากับคนไทยทั้งหมดต้องยอมรับสภาพการสำรองไฟฟ้าที่ล้นเกิน และภาระค่าไฟที่เพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปีหน้าเศรษฐกิจจะยิ่งย่ำแย่ ปริมาณการใช้ไฟก็จะต้องลดลงไปอีกจากการประมาณการ นอกจากนี้นายตี๋ยังได้แสดงตารางการสำรองไฟที่ล้นเกินของไทยในปีนี้ ซึ่งเฉลี่ยราว 40% ขณะที่มาตรฐานสากลอยู่ที่ 15% ด้วย
ตารางแสดงกำลังไฟฟ้าสำรองของประเทศ ปี 2008
2008 | ||||
MONTH | PEAK (MW) | GENERATION (GWh) | LOAD FACTOR (%) | RESERVE MARGIN ปริมาณไฟฟ้าสำรอง(%) |
JAN FEB MAR APR MAY JUN JUL AUG SEP OCT NOV DEC | 20,733 20,708 22,122 22,568 21,610 21,396 21,489 21,590 21,014 20,711 | 11,881 11,531 13,288 12,592 13,058 12,785 13,071 13,070 12,832 12,718 | 77.2 80.0 80.7 77.5 81.2 83.0 81.7 81.3 82.2 82.5 | 35.5 35.2 33.0 29.8 35.4 39.9 43.0 38.1 41.8 42.1 |
TOTAL | 22,568 | 126,378 | 63.8 | 29.8* |
*Minimum Reserve Margin
ที่มา : สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน www.eppo.go.th/info/stat/T05_02_05.xls
ตี๋กล่าวอีกว่า ในปีหน้า (2552) เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าจะมีการติดตามขุดคุ้ยข้อมูลผลประโยชน์ทับซ้อนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงและนักการเมือง กับบริษัทเอกชน รวมถึง กฟผ.เพื่อยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ตรวจสอบการเซ็นสัญญารับซื้อไฟจากไอพีพี ที่กระทรวงพลังงานและ กฟผ.เอื้อประโยชน์ให้ไอพีพีนำไปกู้เงินลงทุน นอกจากนี้ ทาง กฟผ.ยังไม่มีการเปิดเผยสัญญาแก่ประชาชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ โดยอ้างว่าต้องขออนุญาตเอกชนก่อน ซึ่งเป็นการดำเนินการที่ขาดความโปร่งใสและเอาเปรียบประชาชนในพื้นที่
นันทวัน หาญดี จากเครือข่ายติดตามผลกระทบโรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า สิ่งที่ตัวแทนชาวบ้านจาก 4 พื้นที่ต้องการคือให้ภาครัฐทบทวนแผนพีดีพี2007 ซึ่งมีการใช้ฐานข้อมูลที่คลาดเคลื่อน และยกเลิกโครงการโรงไฟฟ้าของไอพีพี ไม่ใช่แค่ปรับเลื่อนระยะเวลาการก่อสร้าง เพราะการสร้างโรงไฟฟ้าดังกล่าวไม่มีความจำเป็น ทั้งยังทำให้คนในพื้นที่ต้องแบกรับผลกระทบมลพิษในด้านต่างๆ รวมทั้งทำลายวิถีการเกษตร ซึ่งพื้นที่ที่จะมีโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในฉะเชิงเทราและสระบุรี เป็นพื้นที่ไข่แดงที่ทำการเกษตรเป็นหลักและได้ผลดี รัฐบาลจึงควรศึกษาและจัดสมดุลระหว่างวิกฤตอาหารและวิกฤตพลังงาน
ธนิกา บุญธรรมหนัก เครือข่ายรักษ์แปดริ้ว คัดค้านโรงไฟฟ้าเสม็ดเหนือ เสม็ดใต้ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่จะก่อสร้างเป็นไปตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจการค้า แต่กลับมาใช้พื้นที่การเกษต ทรัพยากรน้ำ อากาศ และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของชาวบ้าน ซึ่งก่อให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรระหว่างโรงไฟฟ้ากับชาวบ้าน สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในชุมชน รัฐบาลควรจะลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยี ความรู้และงบประมาณกับการพัฒนาพลังงานสะอด รวมทั้งเพิ่มการผลิตพลังงานสะอาดในแผนพีดีพีด้วย
สายรุ้ง ทองปลอน จากสหพันธ์องค์กรผู้บริโภค กล่าวว่า รัฐมนตรีและส.ส.หลายคนในพรรคประชาธิปัตย์เคยทำงาน ศึกษาเรื่องพลังงาน และสนับสนุนพลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ, อลงกรณ์ พลบุตร หรือแม้แต่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่จะแสดงความจริงใจและทบทวนเรื่องนี้ โดยสายรุ้งได้นำเสนอข้อมูลความผิดพลาดของโครงสร้างไฟฟ้าในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็น ในส่วนของค่าเอฟที ระบบประกันผลกำไรของผู้ลงทุน การสำรองไฟฟ้าที่ล้นเกิน พร้อมทั้งนำเสนอให้ยกเลิกแผนพีดีพี 2007ซึ่งมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนสูง โดยเฉพาะปัญหาการสำรองไฟฟ้าล้นเกิน ยกเลิกโครงการของไอพีพีทั้ง 4 แห่งเนื่องจากเมื่อคำนวณให้ดีจะพบว่าไม่จำเป็น และยังไม่มีเอกชนรายใดที่ลงทุนไปแล้ว ยกเลิกแผนการก่อสร้างไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งไม่จำเป็นและไม่คุ้มค่า แล้วสร้างกลไกการจัดทำแผนพีดีพีใหม่ ให้เป็นระบบ IRP ซึ่งเปิดให้ทุกภาคส่วนได้นำเสนอแผนของตนเอง และเปรียบเทียบข้อมูลกันอย่างบูรณาการทุกมิติ
สำหรับในประเด็นรายละเอียดเรื่องค่าเอฟทีนั้น สายรุ้งระบุว่า 1.เร็วๆ นี้จะมีการขึ้นค่าเอฟทีครั้งใหญ่ซึ่งควรได้รับการทบทวนอย่างเร่งด่วน เนื่องจากยังคงอิงตัวเลขราคาน้ำมันในช่วง 6 เดือนก่อนที่ราคาพุ่งสูงสุดในประวัติการ แต่ควรคำนวณตามต้นทุนที่แท้จริง 2.ทบทวนโครงสร้างค่าไฟฟ้าแบบ ROIC ซึ่งเป็นการประกันกำไรที่แน่นอนให้กับผู้ลงทุน ระบบนี้เป็นระบบที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2548 เพื่อสร้างผลประกอบการที่ดีของ กฟผ.ก่อนที่จะแปรรูป แต่ปัจจุบันเมื่อไม่มีการแปรรูปแล้วก็ควรจะเลิกระบบดังกล่าว เนื่องจากเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าอย่างไม่ต้องแบกรับภาระการลงทุนล้นเกิน ไม่ต้องสนใจประสิทธิภาพในการดำเนินงานเพราะสามารถผลักภาระทั้งหมดไปไว้ในค่าไฟของประชาชนได้ ส่วนเรื่องการสำรองไฟฟ้าล้นเกินนั้น จากตัวเลขที่ได้แสดงไปแล้ว เมื่อคำนวณออกมาจะเป็นการสร้างภาระค่าใช้จ่ายในระบบไฟฟ้ามากเกินไปเกือบ 200,000 ล้านบาท ที่กลายเป็นภาระของผู้บริโภคในรูปค่าไฟ
ส่วนเหตุผลที่ต้องมีการจัดทำพีดีพีใหม่นั้น สายรุ้งได้หยิบยกข้อมูลเมื่อวันที่ 1-17 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า กฟผ.มีความต้องการไฟฟ้าลดลงถึง -11.86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งลดลงยิ่งกว่าช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 ดังนั้นการพยากรณ์ในระยะยาวจะยิ่งต้องลดลง หากไม่ปรับลดลง หรือไม่มีการจัดทำแผนพีดีพีใหม่ จะทำให้ตัวเลขสูงเกินจริงไปมาก แผนการสร้างโรงไฟฟ้าดำเนินต่อไปโดยไม่มีความจำเป็น ขณะที่ตัวเลขของคณะทำงานจัดทำค่าพยากรณ์ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมาก็ระบุชัดเจนว่าค่าพยากรณ์ไฟฟ้ากรณีฐาน ปี 2564 อยู่ที่ 38,444 เมกกะวัตต์ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขในแผนพีดีพีซึ่งระบุไว้เกือบ 50,000 เมกกะวัตต์ ทำให้เห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ในกาประชุมครั้งต่อๆ มาได้มีการพยายามปรับตัวเลขให้ใกล้เคียงจากที่ระบุในแผนพีดีพีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน่าสงสัยและควรต้องได้รับคำตอบ เพราะความต้องการใช้ไฟลดลง เศรษฐกิจก็ย่ำแย่ลง
ล้อมกรอบ: ผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่ (ไอพีพี) ที่กำลังดำเนินการใน 4 พื้นที่ ไอพีพีที่เซ็นสัญญาซื้อขายไฟกับ กฟผ.ไปแล้วมี 3 โครงการคือ 1.โรงไฟฟ้าถ่านหินเก็คโค่วัน ขนาด 660 เมกกะวัตต์ ของบริษัทโกลว์เหมราชฯ ในพื้นที่มาบตาพุด จ.ระยอง อีไอเอผ่านแล้ว 2.โรงไฟฟ้าก๊าซหนองแซง ในพื้นที่เชื่อมต่อ อ.หนองแซง จ.สระบุรี กับ จ.อยุธยา ขนาด 1,600 เมกกะวัตต์ ของบริษัทเพาเวอร์เจอเนอเรชั่นซัพพลายฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำอีไอเอ 3. โรงไฟฟ้าก๊าซเสม็ดเหนือ-เสม็ดใต้ อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ขนาด 1,600 เมกกะวัตต์ ของบริษัทสยามเอนเนอร์ยี่ฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างทำอีไอเอ โรงไฟฟ้าในข้อ 2 และ 3 เป็นบริษัทในเครือ กัลฟ์เจพีฯ ซึ่งมีบริษัทญี่ปุ่นถือหุ้นครึ่งหนึ่ง แม้อยู่ระหว่างทำอีไอเอ แต่ กฟผ.ได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟกับทั้ง 2 บริษัทไปแล้วเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2551 4.โครงการนี้ยังไมได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟกับ กฟผ.คือ โรงไฟฟ้าถ่านหินเขาหินซ้อน ขนาด 600 เมกกะวัตต์ ของบริษัทเนชั่นแนลพาวเวอร์ซัพพลายฯ ในเครือของเกษตรรุ่งเรืองพืชผล ขณะนี้อยู่ระหว่างทำอีไอเอ ที่มา : เอกสารประกอบการแถลงข่าวข้อเสนอการปฏิรูปกิจการไฟฟ้าต่อรัฐบาลใหม่ฯ 21 ธ.ค.51 |
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)