สฤษดิ์ มีตาลิป
สำนักข่าวประชาธรรม
ระหว่างที่สังคมไทยกำลังเปลี่ยนผ่าน ต่างพุ่งความสนใจไปที่รัฐธรรมนูญ การลงประชามติ และถูกโน้มนำไปสู่การเร่งวันคืนให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว การเปลี่ยนผ่านทางการเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเคลื่อนไหวผลักดันของชนชั้นนำ อันประกอบด้วยภาครัฐ ราชการ กลุ่มพรรคการเมือง รวมไปถึงปัญญาชน และนักวิชาการทั้งหลาย ปัญหาของคนชายขอบ คนเล็กๆ จึงกลายเป็นปัญหาที่ถูกลืมทิ้งไว้ ปัญหาคนไร้สัญชาติเป็นหนึ่งในปัญหาดังกล่าว
นโยบายย่ำเท้าอยู่กับที่ ไม่มีความชัดเจน
สืบเนื่องมาจากมติ ครม.วันที่ 18 ม.ค. 2548 เรื่องการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล มาถึงวันนี้ก็กินเวลาเข้าไป 2 ปีกว่า กับนโยบายการแก้ปัญหาของกลุ่มคนที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน (สำรวจแบบ 89) ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่เห็นรูปร่างแนวทางออกอย่างชัดเจน หรือจะเป็นแค่เพียงนโยบายแบบให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับชาวบ้านเช่นเคย
เพราะสภาพในปัจจุบันการสำรวจดังกล่าวคงมิใช่แนวทางการแก้ปัญหาให้เห็นถึงสภาพของตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกันก็เกิดปัญหาทางด้านการควบคุมไปด้วย เพราะในหลายพื้นที่ เริ่มมีการเอาคนนอกหรือแรงงานที่อพยพเข้ามาในภายหลังเข้าร่วมการสำรวจ มีการเก็บเงิน (บนโต๊ะและใต้โต๊ะ) และการสร้างกลไกเครื่องมือในการเลือกปฏิบัติสำหรับการสำรวจ อีกทั้งในเรื่องของขบวนการการออกบัตรที่ยังล่าช้าอยู่อันเป็นผลมาจากขาดงบประมาณในการสนับสนุน ส่งผลทำให้ผู้ที่เข้าข่ายการได้รับการสำรวจต้องตกหล่นไปอีกครั้งหนึ่ง เชื่อมโยงมาจากขบวนการการจัดการที่ยังไม่ดีพอนั่นเอง
หากมองเข้าไปในประเด็นดังกล่าว เงื่อนไขหลักหรือตัวแปรที่จะผลักดันให้กลไกขับเคลื่อนก็คงจะไม่พ้นเรื่องของงบประมาณ ถ้าหากจับตาดูกระแสอย่างใกล้ชิด ในช่วงของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เราจะเห็นได้ว่ามีจำนวนเม็ดเงินเป็นพันล้านที่มีการโอนถ่ายเพื่อการพัฒนาไปตามเจ้ากระทรวงต่างๆ อย่างคึกคัก แต่แล้วทำไมกระทรวงมหาดไทยซึ่งถือว่าเป็นกระทรวงในระดับต้นๆ จึงสะดุดกับปัญหาเรื่องนี้ หรืออาจจะเป็นเรื่องของการให้น้ำหนักความสำคัญในปัญหาที่ต่างกัน จนทำให้เกิดปัญหาของการถ่ายโอนงบประมาณเพื่อการแก้ปัญหาให้บุคคลที่ไม่มีสถานะดังกล่าว
นัยยะหนึ่งของเนื้อหาดังกล่าว มีการกล่าวถึงการแบ่งเบาภาระงบประมาณของรัฐ คือ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามโครงการฯ เห็นควรปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ที่ได้รับหรือพิจารณาใช้จากเงินเหลือจ่ายไปดำเนินการในโอกาสแรกก่อน หากยังไม่เพียงพอให้กระทรวงมหาดไทยเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ตามความเห็นของสำนักงานงบประมาณ ซึ่งหากเกิดการขาดงบประมาณมาสนับสนุนในการแก้ปัญหา ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าหนักใจเป็นอย่างยิ่ง ทำให้เห็นภาพปัญหารางๆ ที่กำลังตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และปฏิเสธไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มคนดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการถูกละเมิดสิทธิ ในหลายๆ ประเด็นและปัญหาทางสังคมที่นับวันจะทวีความรุนแรง หากผู้ที่ดูแลยังไม่ให้น้ำหนักกับการแก้ไขสภาพปัญหาเท่าที่ควร
หากดูยอดสถิติที่กรมการปกครองได้ทำไว้ มีประเด็นที่น่าสนใจว่าสถิติจำนวนของชนกลุ่มน้อยที่อยู่ในประเทศมีจำนวนที่เป็นสถิติตัวเลขที่สูงมากโดยแบ่ง ออกเป็น 18 กลุ่ม ได้ดังนี้
ลำดับที่ | ชนกลุ่มน้อย | ยอดเดิม | ถือหนังสือสำคัญประจำตัวต่างด้าว | ได้รับสัญชาติไทยตาม ม.7 ทวิ | ลงรายการสัญชาติไทยตามทะเบียนบ้าน | ยอดเพิ่ม/ลด/เกิดตาย/เปลี่ยนกลุ่มออกนอกประเทศ | ยอดปัจจุบัน | หมายเหตุ |
1 | บุคคลบนพื้นที่สูง | 247,775 | - | - | 23,870 | +11,195 | 235,100 | 20 จังหวัด |
2 | อดีตทหารจีนคณะชาติ | 13,143 | 2,789 | 4,922 | - | + 622 | 13,908 | แม่ฮ่องสอน,พะเยา,เชียงใหม่,เชียงราย |
3 | จีนฮ่ออพยพ | 7,814 | ||||||
4 | จีนฮ่ออิสระ | 16,581 | - | - | - | -2965 | 13,616 | แม่อ่องสอน,เชียงใหม่,เชียงราย |
5 | ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า | 13,826 | - | - | - | +2,776 | 13,616 | 9 จังหวัด |
6 | ผู้หลบหนีเข้าจากพม่า(มีถิ่นที่อยู่ถาวร) | 13,000 | - | - | - | +650 | 13,650 | 9 จังหวัด |
7 | ผู้หลบหนีจากพม่า(ผู้มาใช้แรงงาน) | 101,845 | - | - | - | +5,092 | 106,937 | 9 จังหวัด |
8 | ญวนอพยพ | 33,335 | 96 | 20,898 | - | +402 | 12,743 | 13 จังหวัด |
9 | ผู้หลบหนีจากลาว | 15,713 | - | - | - | -7,073 | 8,640 | 9 จังหวัด |
10 | เนปาลอพยพ | 1,500 | - | - | - | -507 | 993 | อ.ทองผาภูมิจังหวัดกาญจนบุรี |
11 | อดีตโจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา | 851 | 560 | 169 | - | - | 122 | ยะลา,สงขลา,นราธิวาส |
12 | ไทยลื้อ | 8,926 | 2,161 | 1,925 | - | +242 | 5,082 | เชียงใหม่,เชียงราย,พะเยา |
13 | บุคคลบนพื้นที่สูง (เผ่าตองเหลือง) | 93 | - | - | - | - | 93 | น่าน,แพร่ |
14 | ผู้อพยพเชื้อสายไทย(เกาะกง กัมพูชา) | 7,715 | 6,441 | - | - | +63 | 1,337 | จ.ตราด |
15 | ผู้หลบหนีเข้าเมืองจากกัมพูชา | 6,265 | - | - | - | +313 | 6,578 | จ.ตราด |
16 | ผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่าเชื้อสายไทย | 7,849 | - | - | - | +392 | 8,241 | จ.ตาก,ประจวบฯ,ระนอง,ชุมพร |
17 | ชุมชนบนพื้นที่สูง | 7,303 | - | - | - | - | 7,303 | ตาก 5 อำเภอ |
18 | แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย | 92,612 | - | - | - | - | 92,612 | 54 จังหวัด |
รวม | 596,146 | 12,047 | 27,914 | 23,870 | +11,242 | 543,557 |
*อ้างอิงข้อมูลจากฝ่ายการทะเบียนชนกลุ่มน้อยส่วนกลางทะเบียนราษฎร์ สำนักบริหารการทะเบียน มกราคม 2542
จากตัวเลขสถิติ สามารถบ่งบอกได้ชัดว่ากลุ่มคนที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนนั้นยังปรากฏอยู่อีกเป็นจำนวนมาก ตัวเลขดังกล่าวยังไม่นับรวมกับสถิติรวมของกลุ่มองค์พัฒนาเอกชนต่างๆที่ได้ร่วมสำรวจและจัดเก็บข้อมูล (เพราะอย่างในบางกรณีของการสำรวจโดยภาครัฐก็ยังมีปัญหาอยู่มากอย่างเช่น โครงการมิยาซาว่า ที่ทำการสำรวจแล้วไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจน)
แต่หากพิจารณามองนอกกรอบการแก้ไขปัญหาในแบบเฉพาะหน้าของมติ ครม.ที่ว่าด้วยการแก้ไขสภาพปัญหาการกำหนดสถานภาพบุคคล ก็ยังมีปัญหาที่ทับซ้อนอยู่อีกคงไม่ใช่เป็นการหาทางออกที่แท้จริง เพราะอย่างกรณีของชาวเขาที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานานซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าจะได้รับซึ่งสัญชาติไทย ก็ยังต้องประสบกับข้อกฎหมายบางข้อที่ทำให้ชนกลุ่มน้อยดังกล่าวต้องตกสภาพเป็นคนไร้สัญชาติ (ม. 7 ทวิ วรรค 3) ไม่ผ่านหลักเกณฑ์ในการพิจารณาทั้งๆ ที่ อาศัยอยู่นาน
หรือกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นเอง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในดินแดนฝั่งไทยทางฝั่งเขตมะริด ทวาย ตะนาวศรี และมาเมื่อครั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ไทยได้เสียดินแดนทางแถบนี้ไปให้กับพม่า ในสัญญาการร่วมรบกับประเทศอังกฤษ คนไทยที่เคยอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้เลยต้องถูกกลืนเข้าไปเป็นของประเทศพม่า ซึ่งทางรัฐพม่าก็มิได้ยอมรับว่ากลุ่มคนไทยดังกล่าวเป็นพลเมืองประเทศพม่า จนมาถึงในสมัยปัจจุบันรัฐไทยเองก็ไม่ได้มองว่ากลุ่มคนดังกล่าวนี้เป็นคนไทย และก็ยังเป็นประเด็นการถกเถียงกันมาจนถึงปัจจุบันเสมือนการโยนกันไปโยนกันมา อันนี้ยังไม่รวมกลุ่มปัญหาอื่นๆ อีกอาทิเช่นกลุ่มลาวอพยพ เป็นต้น
คนชายขอบกับการมีส่วนร่วมแก้ปัญหา
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ถ้าพิจารณาดูแล้วว่าทางออกเพื่อสู่แนวทางการแก้ไขปัญหาน่าจะมีการแก้ปัญหาแบบการมีส่วนร่วม ทางภาครัฐก็น่าจะเปิดโอกาสให้ หลายฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องรวมถึงเจ้าของปัญหาได้สะท้อนปัญหาและหาแนวทางการแก้ไขควบคู่ไปด้วย เพราะในหลายพื้นที่ก็มีองค์กรที่ทำงานและให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับกลุ่มคนดังกล่าวอยู่ ซึ่งข้อมูลและข้อเท็จจริงน่าจะชี้ชัดถึงสภาพปัญหาได้ดีกว่าในระดับหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับการทำงานในส่วนของระบบราชการซึ่งอาจจะมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและค่อนข้างล่าช้า ไม่ทันต่อสถานการณ์ ซึ่งในส่วนของภาครัฐน่าจะเข้าใจตรงนี้ได้ เพราะจริงๆแล้ว ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันเพื่อการแก้ปัญหา ก็น่าที่จะหาเครื่องมือรวมไปถึงวิธีการที่จะนำพาสู่ทางออกของปัญหามาปรับใช้ หรืออย่างเช่นการทำงานเชื่อมโยงระหว่างกระทรวงเอง
ทั้งนี้ เพราะอย่างกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพกระทรวงยุติธรรม ก็ยังมีงานที่ได้รับมอบหมายงานอย่าง เช่น เรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อดูแลงานผ่านต่อมาจากกระทรวงการต่างประเทศเรื่อง "อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วย การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบ" เพื่อนำเสนอต่อองค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ประเทศไทยเข้าร่วมด้วย ซึ่งในประเด็นก็มีการพูดถึงเรื่องของสิทธิต่างๆรวมถึงในเรื่องการสิทธิในการครองสัญชาติ ก็นับว่าเป็นปัจจัยที่หนุนเสริมได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในตัวอนุสัญญาฉบับนี้ ได้เปิดโอกาสให้กลุ่มองค์กรต่างๆ รวมถึงเจ้าของปัญหาสามารถจัดทำรายงานควบคู่ไปด้วยได้ ถ้าพิจารณากันไปแล้วก็สามารถทำงานเชื่อมโยงบนเส้นทางปัญหาเดียวกันได้ ไม่ใช่จะเป็นแต่ในเรื่องของการอ้างอิงข้อมูลเพื่อยกมาประชันกันในเรื่องของความถูกต้องทางด้านตัวเลขเพียงอย่างเดียว
เพราะถ้าหากรัฐยังเลือกปฏิบัติอยู่ในแนวสายทางการแก้ปัญหาเดิมแล้วเหมือนการโยนหินถามทางอยู่อย่างนี้ ก็คงจะเป็นไปได้ยาก การเดินทางของกลุ่มคนดังกล่าวก็จะไม่ถึงฝั่งฝัน.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)