Skip to main content
sharethis

ขณะที่ประเทศไทยกำลังไล่ตามโอกาส ในการเป็นมหาอำนาจทางเกษตรกรรมตามวิถีการผลิตแบบทุนนิยม สวนทางกับแนวคิดที่จะพยายามไม่ไปแตะต้องธรรมชาติให้มากมาย ทะนุถนอมสิ่งที่เหลืออยู่ให้ยั่งยืนและเป็นไปตามธรรมชาติที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันบ้าง วิทยากร บุญเรือง จะขอนำเสนอกิจกรรมของมนุษย์กลุ่มเหล่านั้นในงาน ecotopia 2006 ณ ประเทศ Slovakia

โดย  วิทยากร บุญเรือง

 

 

1. เกษตรบนทุนนิยม ...

ขณะที่ประเทศไทยกำลังไล่ตามโอกาส ในการเป็นมหาอำนาจทางเกษตรกรรมตามวิถีการผลิตแบบทุนนิยม เนื่องด้วยความพร้อมทางด้านภูมิศาสตร์ ทรัพยากร กอปรกับในอดีต ความทรงจำของโลกภายนอกเกี่ยวกับประเทศไทย ล้วนแล้วแต่มีเรื่องของ "วิถีการเกษตร" เป็นเครื่องหมายการค้าดินแดนแห่งรอยยิ้มนี้เสมอ  --- การจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกครั้งที่จะถึงนี้ จึงถือว่าเป็นการป่าวประกาศความอหังการ์ในการเป็นมหาอำนาจแห่งการเกษตร ดังที่ได้กล่าวไป (และใช้งบในการป่าวประกาศครั้งนี้เกิน 3000 ล้านนะ ขอบอก! ;-)

 

หลังจากการปฏิวัติการเกษตรราวหมื่นกว่าปีก่อน (มนุษย์หันมาทำเกษตรกรรมเป็นหลักเป็นแหล่ง) โลกของเราพึ่งเริ่มมาผุพังจากปัญหาการทำการเกษตรบนระบบทุนนิยม มาเพียงแค่ร้อย สองร้อยปีที่ผ่านมา หลังจากการนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการเกษตรในแบบ "ปลูกให้ได้มากที่สุด" แล้วก็ "ขายให้ได้มากที่สุด"

 

สารเคมีปนเปื้อนในน้ำในอากาศ --- ใครจะไปสน , ดินเสื่อมสภาพ --- ใครจะไปสน , พันธุ์พืชที่หลากหลายเริ่มลดน้อยลง --- ใครจะไปสน , มนุษย์เหินห่างจากวิถีธรรมชาติ --- ใครจะไปสน ฯลฯ พวกเขาสนแต่ การเกษตรจะต้องเป็นอุตสาหกรรม และจะต้องนำเข้าสู่วิถีแห่งการตลาด พัฒนาระบบการเกษตรให้เข้ากับการพัฒนาโลกตามระบบเศรษฐกิจทุนนิยม … เอาข้าว เอาไม้สัก เอายางพาราไปแลก กล้องดิจิตอล กับ รถถัง และภาพยนตร์สงครามจากฮอลลีวู้ด ;-)

 

การไม่ไปแตะต้องธรรมชาติให้มากมาย และการพัฒนาเทคโนโลยีให้สะอาดทันสมัย รับใช้ประชาชนจริงๆควบคู่กับการเกษตรที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต ทะนุถนอมสิ่งที่เหลืออยู่ให้ยั่งยืนและเป็นไปตามธรรมชาติ ถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันบ้าง เกินงบประมาณบ้าง อีกทั้งถูกป้ายสีว่าเป็นเรื่องของมนุษย์ที่อ่านนวนิยายแนววิทยาศาสตร์สายสิ่งแวดล้อมมากเกินไป !

 

วันนี้จะขอนำเสนอกิจกรรมของมนุษย์กลุ่มที่ถูกประณามเหล่านั้น ... ที่งาน ecotopia 2006 ณ ประเทศ

Slovakia

 

000

 

2. Ecotopia 2006 …

 

 

วันที่ 6 -20 กันยายน ค.ศ. 2006 ที่ผ่านมา กลุ่มนักเคลื่อนไหวแนวอนาธิปไตยและกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม,ศิลปะ และกลุ่มอื่นๆ ในฝั่งยุโรปได้รวมตัวกันที่แถบเทือกเขาแถบชุมชน Zajezova ในประเทศ Slovakia

 

มหกรรม ecotopia เป็นงานที่จัดขึ้นทุกๆ ปี โดยสองสัปดาห์สำหรับการทำกิจกรรมในงาน จะเกี่ยวข้องกับเรื่องของ การตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวเนื่องควบคู่กับการสร้างสังคมที่เป็นธรรม (social justice) --- โดยกิจกรรมทั้งหมดจะมีรูปแบบของกิจกรรมแนวราบ (horizontally organized camp ) ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างเต็มที่ ไม่มีใครออกคำสั่งแบบโครงสร้างแนวตั้งได้ !

 

 

 

สถานที่จัดงาน ecotopia 2006 ทุ่งหญ้ากลางเทือกเขาในเขต Zajezova ในประเทศ Slovakia

 

 

งาน ecotopia ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 18 โดยต้นกำเนิดของงานเกิดจากที่นักเคลื่อนไหวแนวอนาธิปไตยและกลุ่มนักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อม,ศิลปะและกลุ่มอื่นๆ ต้องการเห็นการรณรงค์เรื่องธรรมชาติสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับปัญหาความเท่าเทียมกันในสังคม มีองค์กรที่สำคัญในการร่วมสร้างงานนี้ให้เป็นรูปธรรมก็คือ EYFA (European Youth For Action) และองค์กรภาคประชาชนท้องถิ่นที่ให้ความสนใจและความร่วมมือ เป็นแม่งาน

 

Ecotopia เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อปี 1989 ที่ประเทศเยอรมัน และต่อเนื่องมาทุกปี จนถึงปัจจุบัน

 

ปีและประเทศเจ้าภาพ ...

 

2006 Slovakia

2005 Moldova

2004 Netherlands

2003 Ukraine

2002 Ireland

2001 Bulgaria

2000 Finland

1999 Romania

1998 Germany

1997 Scotland

1996 Czech Republic

1995 Poland

1994 Romania

1993 France

1992 Bulgaria

1991 Estonia

1990 Hungary

1989 Germany

 

ความแตกต่างและความโดดเด่นของมหกรรม ecotopia นอกจากที่จะเป็นงานของภาคประชาชนที่เน้นและคำนึงถึงภยันตรายจากความเสียหายอันเกิดจากการเข้าไป "ทำลายสภาพแวดล้อม" เพื่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจ เช่น  สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง, การขนส่งการคมนาคม, GMOs, อาหารที่ปนเปื้อน, เป็นต้น  สิ่งพิเศษในงานนี้อีกอย่าง คือพวกเขาขับเคลื่อนประเด็นทางสังคม ที่จะทำให้เกิดสังคมใหม่ที่เป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นปัญหา การเมืองโลก, โลกาภิวัฒน์ที่ไม่เป็นธรรม, เศรษฐกิจที่ไม่เป็นธรรม, แรงงานข้ามชาติ, การเหยียดชนชาติ เป็นต้น และกิจกรรมในงานยังมี workshop ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการสร้าง สื่อ-ศิลปะอิสระและการหารือร่วมกันในการสร้างยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนของภาคประชาชนควบคู่กันไปด้วย

 

ในมหกรรม ecotopia มีการสร้างชุมชนพึ่งตนเอง (self-sustainable community) ที่อาศัยหลักการ มนุษย์อยู่กับธรรมชาติโดยเบียดเบียนมันให้น้อยที่สุด อาทิเช่น การนำมาใช้ใหม่ (recycle) ,พลังงานทางเลือก (alternative energy) เทคโนโลยีสีเขียว (green technology) ... หรือแม้แต่อาหารจานผัก (vegetarian/vegan kitchen) ที่เรียบง่ายแต่ต้องใช้ศิลปะในการปรุง

 

และดังที่กล่าวไปตั้งแต่ต้น ภายในงานจะเน้นถึงเรื่องการไม่ทำลายสภาพแวดล้อมปกติของที่จัดงาน (ไม่เหมือนบางที่ ที่เปลี่ยนสภาพพื้นที่จากหน้ามือเป็นหลังมือโรยหน้าด้วยผักชีขนาดเป็นตันๆ ในมหกรรมใหญ่ๆ ;-) และเน้นถึงเรื่องการรักษาความสะอาดที่ถูกหลักด้วย

 

 

ไม่ต้องเหมาโรงแรมหรู ... ขอแค่ที่ซุกหัวนอนง่ายๆ

 

คนกับแพะอยู่กันฉันท์พี่น้อง

 

 

เมื่อเหน็บหนาวก็เติมความอบอุ่นด้วยไฟแห่งรัก

 

 

เอ้า! ช่วยกันปั่นไฟไว้ใช้ในงาน

 

 

 

หิวก็ช่วยกันทำครัว ตามประสา "คนเดินดินกินผักไม้"

 

 

รถบัสทันสมัยหรือ "ลีมูซีนง ไม่มีใช้ในงาน มีแต่ "พลังตีน!"  ปั่นกันให้ขี้ราดน่อง! ครับพี่น้อง

 

ซุ้มหรูๆ ของธุรกิจเกษตรข้ามชาติก็ไม่มีในงานนี้ออกเดินสำรวจต้นไม้ใบหญ้า (ที่ไม่ได้ย้ายมาจากที่ไหน ;-)

 

 

และก็มีกฎเกณฑ์บางประการที่หน้าสนใจที่ผู้เรียบเรียงอยากนำเสนอ นั่นก็คืออะไรบ้างที่ผู้จัดอนุญาติให้พกติดตัวเข้าไปในงาน และอะไรบ้างที่ผู้จัดไม่อนุญาตให้พกติดตัวไปในงาน ดังนี้ …

 

สิ่งที่อนุญาตให้เอาเข้ามาในงานได้ ...

 

  • เต้นท์
  • ถุงนอน
  • อุปกรณ์ตั้งแคมป์
  • เครื่องใช้ส่วนตัว ถ้วย,ช้อน,จานอาหาร ฯลฯ
  • ไฟนำทาง
  • ชุดสวมใส่ต่างๆ
  • เครื่องใช้อื่นๆ ที่จำเป็นและไม่เป็นมลพิษหรือดัดแปลงจากสารอันตรายที่ทำลายสิ่งแวดล้อม
  • เครื่องดนตรี
  • อุปกรณ์ต่างๆ ที่นำมาใช้ใน workshop และการแสดง
  • ค่าใช้จ่ายที่เพียงพอ
  • ที่สำคัญอย่าลืมนำ "ความคิดสร้างสรรค์" ที่เกี่ยวกับมหกรรมครั้งนี้มาด้วย!

 

 

สิ่งที่ขอความร่วมมือไม่ให้นำติดตัวมาในงาน …

 

  • รถยนต์ มอเตอร์ไซด์ หรือพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ต่างๆ
  • ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อม
  • สุนัข
  • การแสดง ,การละเล่น , อุดมการณ์ของพวกฝ่ายขวาทั้งหลาย ห้ามโดยเด็ดขาด!

 

 

ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นมิตรต่อสภาพแวดล้อมถูกแบนในงานนี้จ๊ะ!

 

 

แม้ว่ากระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กำลังเป็นเทรนด์ที่มาแรง และเมื่อมีใครนำมาพูดมันก็ดูดีทั้งสิ้น --- แต่พึงระลึกไว้เสมอว่า อย่าดีแต่พูด ลองทำอะไรบางสิ่งบางอย่างที่มันใกล้เคียงกับลมปากที่พูดออกไปบ้าง ... เพราะที่ Slovakia ที่มหกรรม ecotopia 2006 เขาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่ได้พูดอย่างเดียว พวกเขาทำอย่างที่พูด และพวกเขาเริ่มหัดใช้ชีวิตไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมไว้กันบ้างแล้ว !

 

... แต่ที่เชียงใหม่ ที่งานมหกรรมพืชสวนโลก ในเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป เรากำลังจะทำอะไรกันแน่ ;-)

 

0 0 0

 

 

3. รักที่จะรักษ์ ...

 

 

 

 

... ภายในอ๊อฟฟิศหรูของบริษัทส่งออกผลิตภัณฑ์การเกษตรขนาดใหญ่, แอร์เย็นฉ่ำ, มีตัวอย่างผลิตภัณฑ์การเกษตรบรรจุกระป๋องวางบนโต๊ะ, กลิ่นฉุนๆ ของน้ำหอมสังเคราะห์ที่เลขาสาวสวยพึ่งประพรมมา, ผู้ขายและผู้ซื้อเขี้ยวลากดินยาวเฟื้อย กำลังต่อรองผลประโยชน์อย่างยิ้มแย้ม เพื่อให้ได้ผลประโยชน์แบบ win-win กันทั้งสองฝ่ายตามหลักทฤษฎีเกมส์ (ขณะที่ชาวนา ชาวสวนกำลังปาดเหงื่อด้วยความเหนื่อยยาก!) --- การค้าหวังผล ใส่หน้ากาก รวมหัวกันสูบเลือดชาวนา ชาวสวน เกษตรกรรายย่อย และผู้บริโภคกำลังบังเกิดขึ้น ในตลาดค้า-การเกษตรแบบทุนนิยม

 

การเกษตรขนาดใหญ่ ที่ทำลายสิ่งแวดล้อมคือคำตอบของการอยู่รอดจริงหรือ? เราจะฉีกหนีไปมุมอื่นๆ ได้ไหม? รึว่าประเทศไทยจะต้องใช้จุดเด่นในเรื่องทรัพยากรของเราสู่การค้าขายบนโลกทุนนิยม ใช้มันเป็นเครื่องต่อรองเพื่อสร้าง "อำนาจ" ของเราในระบบเศรษฐกิจและการเมืองโลก เท่านั้น!

 

และจะมั่นใจเพียงใดว่า เกษตรกรตัวจริงจะได้ประโยชน์ ผมล่ะกลัวใจตัวเองเหลือเกินที่จะเห็นบริษัทส่งออก - นำเข้าสินค้าเกษตร รวยเอาๆ จากการดำเนินนโยบายแบบนี้ และเกษตรกรกลายเป็นเพียง "ทาส" ที่ต้องคอยปลูกพืชผักตามที่บริษัทพวกนั้นสั่งมา - ซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทเดียวกัน - ซื้อปุ๋ยจากบริษัทเดียวกัน - และนำไปขายให้บริษัทเดียวกัน / ความหลากหลายและชีวิตชีวาของการเกษตรคงจะดับสูญไปกันล่ะทีนี้!

 

แต่ผมเองก็ไม่ได้หวังให้เราถอยหลังเข้าคลองกลายเป็นเกษตรแบบยังชีพดึกดำบรรพ์ พอทนพอเพียงในพื้นที่สวนเล็กๆ หลังบ้าน ขณะที่ประเทศอื่นกำลังจะไปปลูกพืชผักบนดาวอังคาร --- ผมหวังแต่เราจะมีเทคโนโลยีสีเขียว สร้างโลกที่เทคโนโลยีไม่มีมลพิษ และเบียดเบียนสิ่งที่เหลืออยู่น้อยให้น้อยที่สุด

 

เราจะทุ่มเททิศทางการพัฒนาเกษตรและอุตสาหกรรมไปทางนั้นไม่ได้เทียวหรือ? ทั้งๆ ที่ศักยภาพของเราก็มีพร้อมสัพย์?

 

ที่สำคัญ เราไม่ได้อยู่เพื่อตัวเราเองเพียงอย่างเดียว เราอยู่เพื่อลูกหลาน และต้องเพาะบ่ม สร้างสภาพแวดล้อมดีๆ รองรับให้ลูกหลานของเรา ให้มีพลังแห่ง "ความรัก" ไว้คอยช่วยเยียวยาโลกในอนาคตที่เราก็ยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร

 

แต่ถ้ามี รัฐสวัสดิการ, มีการศึกษา-รักษาพยาบาล ฟรีๆ ดีๆ ,มีการคมนาคมสะดวกสบายไม่มีมลพิษ, มีเทคโนโลยีที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย, ไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ-ชาติพันธุ์ , ไม่มีอภิสิทธิ์ชนที่อยู่เหนือคนอื่น, ไม่มีการเอาเปรียบคนอื่นแบบหน้าด้านๆ --- กอปรกับมี ... ต้นไม้เขียวๆ ดอกไม้หอมๆ สายลมเอื่อยๆ แสงแดดอ่อนๆ นกเขาขันคูขับขานเพลงรักตามจังหวะของธรรมชาติ ... รอบกายเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ และมีเธอคนนั้นอยู่ใกล้ๆ --- เหล่านี้ต่างหาก คือจุดเริ่มต้นแห่ง "รัก" / รักในเพื่อนมนุษย์ / รักที่จะแก้ไขปัญหาของมนุษย์ด้วยสันติภาพ / รักสิ่งในต่างๆ ที่อยู่รอบตัว พร้อมกับทะนุถนอมมันให้อยู่ยั้งยืนยงสถาพร ... 

 

แต่ถ้าอะไรก็ตามที่หวังผลเพียงแค่การค้าขาย ... มันจะทำลาย "ความรักนั้น" ไปเสีย

 

และถ้ามนุษย์อยู่อย่างไร้ความรักแล้ว ... เราจะกล้าเรียกตัวเองว่า "มนุษย์" ได้อย่างเต็มปากเต็มคำซักเพียงใด

 

ทั้งหมดนี้จะว่าผมเพ้อฝัน / งี่เง่า / งมงาย ก็ด่าก็ว่ากันไปเหอะ!  เพราะก็ไม่มีข้อกฎหมายในรัฐธรรมนูญของประเทศใดในโลก ที่ห้ามไม่ให้คนฝันถึงสิ่งที่ดีกว่า ---  เอ ... รึว่ามี? ;-)

 

0 0 0

 

 

*... ทนรอพบกับรายงานพิเศษชุด "ecology and class": ชนชั้นและปัญหาสิ่งแวดล้อม  โดยวิทยากร บุญเรือง เร็วๆ นี้ที่ประชาไท ... *  

 

................................................................................................

ประกอบการเขียน - แหล่งข้อมูลแนะนำ

 

http://www.ecotopia2006.org/

http://www.eyfa.org/

http://www.indymedia.org.uk/

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net