Skip to main content
sharethis

สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ประกาศสละราชสมบัติเมื่อปีใหม่ ในช่วงที่ครองราชย์มีการปรับตัวเกิดขึ้นภายในราชสำนัก เช่นการปรับลดการใช้เงินภาษีจากประชาชน เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจในหมู่ราชวงศ์บางส่วน ขณะเดียวกันราชวงศ์เดนมาร์กก็ต้องเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวบางอย่างถึงแม้ว่าจะเป็นรัชสมัยที่ไม่เคยมีเรื่องด่างพร้อยมาโดยตลอด


สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก (แฟ้มภาพ wikimedia)

ในช่วงคืนข้ามปีระหว่างปี 2566-2567 นั้น สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเธอที่ 2 แห่งเดนมาร์ก ได้ประกาศสละราชสมบัติจากการเป็นราชินีภายในช่วงกลางเดือน ม.ค. 2567 พร้อมกับอวยพรปีใหม่แก่พสกนิกรชาวเดนมาร์ก

"ข้าพเจ้าตัดสินใจแล้วว่าในตอนนี้มันเป็นเวลาที่เหมาะสม ในวันที่ 14 ม.ค. 2567 คือเวลา 52 ปีหลังจากที่ข้าพเจ้าได้สืบราชสมบัติต่อจากพระบิดาอันเป็นที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอสละราชสมบัติจากการเป็นพระราชินีของเดนมาร์ก" ควีนมาร์เกรเธอทรงมีพระราชดำรัสแผยแพร่ทางโทรทัศน์

"ข้าพเจ้าขอขอบคุณประชาชนจำนวนมาก ที่โอบรับข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้าด้วยวาจาและไมตรีจิต ทั้งในช่วงโอกาสพิเศษและในชีวิตประจำวัน ทำให้ช่วงหลายปีที่ผ่านมามีความเชื่อมร้อยกันดั่งสร้อยมุขที่งดงาม" ควีนมาร์เกรเธอทรงมีพระราชดำรัสผ่านสื่อ

พอถึงช่วงกลางเดือน ม.ค. 2567 ราชินีมาร์เกรเธอก็จะสละราชสมบัติให้กับเจ้าฟ้าชายเฟรเดอริกและพระชายาของพระองค์คือเจ้าหญิงแมรี่ พระองค์ทรงประกาศเรื่องราชสมบัติหลังจากที่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาทรงเผชิญกับปัญหาสุขภาพจึงตัดสินใจว่ามันเป็นเวลาที่สมควรแล้วที่จะสละะราชสมบัติ

ในปี 2565 ราชินีมาร์เกรเธอ ก็กลายเป็นกษัตริย์หรือราชินีที่ครองราชย์ในยุโรปนานที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่ หลังการสวรรคตของพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ของอังกฤษ ผู้เป็นญาติห่างๆ ของพระองค์

ในเดนมาร์กนั้นมีการสำรวจพบว่าชาวเดนมาร์กร้อยละ 72 ให้การยอมรับระบอบกษัตริย์ของตนเอง

อย่างไรก็ตามที่ตัดสินใจสละราชสมบัติของราชินีมาร์เกรเธอเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับที่กำลังเกิดความวุ่นวายในราชสำนักกลุกส์บวร์ก เช่น เรื่องความขัดแย้งกับพระราชโอรสคนสุดท้องของพระองค์ในเรื่องฐานันดรศักดิ์ของพระราชนัดดา ไปจนถึงเรื่องที่สื่อแทบลอยด์รายงานกล่าวหาว่ามีการคบชู้เกิดขึ้นจากคนของราชวงศ์ ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ดราม่าสำหรับระบอบกษัตริย์เดนมาร์ก

ในตอนนี้มันก็ชึ้นอยู่กับรัชทายาทของมาร์เกรเธอแล้วว่าจะฝ่ามรสุมนี้ไปอย่างไร

ราชินีมาร์เกรเธอขึ้นครองราชสมบัติได้อย่างไร

เจ้าหญิงมาร์เกรเธอเสด็จพระราชสมภพเมื่อเดือน เม.ย. 2483 สัปดาห์เดียวหลังจากที่เยอรมนีรุกรานเดนมาร์กในสงครามโลกครั้งที่ 2 พระบิดาของพระองค์เสวยราชสมบัติ 2 ปีหลังจากที่เดนมาร์กได้รับการปลดปล่อยจากการยึดครองของนาซี

มาร์เกรเธอเป็นพระราชธิดาพระองค์แรกจากทั้งหมด 3 พระองค์ ทรงเติบโตมาในวังที่โคเปนเฮเกน พระองค์เกือบจะไม่ได้เป็นพระราชินีถ้าหากว่าพระบิดาของพระองค์ไม่ทรงเปลี่ยนแปลงกฎหมายการสืบราชสมบัติในวันเกิดวันที่ 13 ของมาร์เกรเธอ

มาร์เกรเธอจบการศึกษาจากสถาบันการศึกษาที่ทรงเกียรติ์ที่สุดของเดนมาร์กและทรงเสด็จประพาสไปศึกษาต่อที่กรุงปารีส, ลอนดอน และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยทรงศึกษาปรัชญา, โบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์, รัฐศาสตร์ และสามารถพูดภาษาได้ 5 ภาษาได้แก่ ภาษาเดนมาร์ก, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาสวีเดน, ภาษาอังกฤษ และภาษาเยอรมัน

มาร์เกรเธอได้พบกับพระสวามีชาวฝรั่งเศสของพระองค์คือ อังรี เดอ ลาบอร์ด เดอ มองเปซัท ที่วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ลอนดอน ผู้ที่เป็นพระสวามีของเธอเป็นเวลาเกือบ 50 ปี ทั้งสองเสกสมรสเมื่อปี 2510 และทรงประสูติพระราชโอรสสองพระองค์ โดยที่เจ้าฟ้าชายเฟรเดอริก ว่าที่กษัตริย์พระองค์ถัดไปของเดนมาร์ก เสด็จพระราชสมภพ เมื่อปี 2511

เมื่อปี 2515 สมเด็จพระเจ้าเฟรเดอริกที่ 9 พระบิดาของมาร์เกรเธอ มีพระราชดำรัสเนื่องในวันปีใหม่ต่อพสกนิกรชาวเดนมาร์กตามประเพณี ระบุว่าขอให้เป็นปีที่รุ่งเรือง แต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากมีพระราชดำรัสก็ทรงพระประชวร อีกสองสัปดาห์หลังจากนั้นก็เสด็จสวรรคต ส่งผลให้มาร์เกรเธอสืบต่อราชสมบัติ นับเป็นพระราชินีที่ได้ขึ้นเป็นประมุขเป็นรายที่สองของเดนมาร์ก

ถึงแม้ว่าพระราชินีมาร์เกรเธอจะทรงจัดวางสมดุลระหว่างพระราชกรณียกิจ การเลี้ยงดูพระราชโอรส 2 พระองค์ และการทรงงานอดิเรกทางศิลปะที่พระองค์รักอย่างการวาดภาพ, การดีไซน์เสื้อผ้า แต่พระสวามีของพระองค์ก็ต้องการการยอมรับอย่างเป็นทางการมากกว่านี้

ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารมวลชนของสำนักพระราชวังเดนมาร์กเคยกล่าวให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์เมื่อปี 2560 ว่า "เป็นเรื่องที่รู้กันดีว่า (อังรี) มีความไม่พอใจมานานหลายปีแล้วกับเรื่องบทบาทของตนเองและฐานันดรศักดิ์ที่ได้รับจากราชวงศ์เดนมาร์ก"

อังรีที่ยังคงมีตำแหน่งชื่อ "เจ้าชายพระราชสวามี" (prince consort) เคยรับสั่งต่อหน้าสาธารณะปฏิเสธที่จะถูกฝังอยู่ที่หลุมศพที่จัดไว้ให้ข้างพระราชินีมาร์เกรเธอ เว้นต่อว่ามาร์เกรเธอจะทรงพระราชทานฐานันดรศักดิ์ "พระมหากษัตริย์พระราชสวามี" (King Consort) แก่พระองค์

แต่ในที่สุดแล้วมาร์เกรเธอก็ไม่ได้ทรงพระราชทานฐานันดรศักดิ์ให้ เมื่ออังรีสิ้นพระชนม์เมื่อปี 2561 ก็มีการพระราชทานเพลิงศพและมีการโปรยพระอังคารของพระองค์ไปในทะเลรวมถึงจัดวางไว้ที่สวนของพระราชวังเฟรเดนส์บอร์ก

ในปี 2566 ควีนมาร์เกรเธอ ทำลายสถิติพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ในฐานะกษัตริย์ที่ทรงครองราชนานที่สุดนานที่สุดของเดนมาร์ก แต่ในการครองราชปีที่ 51 ของพระองค์ก็เป็นหนึ่งปีที่มีปัญหามากที่สุด

มาร์เกรเธอเคยตัดสินใจให้ลดใช้เงินภาษีประชาชน สร้างความไม่พอใจต่อพระราชโอรส

ราชวงศ์ของประเทศในแถบสแกนดิเนเวียจำนวนมากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา เพื่อทำให้ตัวเองดูเป็นสมัยใหม่และทำให้พวกเขาเองใช้เงินภาษีของประชาชนน้อยลงบ้างพอสมควร

ก่อนหน้านี้รัฐบาลเดนมาร์กเคยต้องจ่ายงบประมาณราว 22 ล้านออสเตรเลีย (ราว 512 ล้านบาท) ให้กับมาร์เกรเธอและพระราชโอสรสองพระองค์ของพระนางรวมถึงครอบครัวของพวกเขา

แต่ในปี 2559 มาร์เกรเธอก็ตัดสินพระราชหฤทัยว่าจะเปลี่ยนแปลงงบประมาณให้มีแค่รัชทายาทเท่านั้นที่มีสิทธิจะได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ซึ่งในที่นี้มายถึงเฟรเดอริกและพระโอรสพระองค์แรกของแมรี ในขณะที่พี่น้องและลูกพี่ลูกน้องของเจ้าชายคริสเตียนจะต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงดูตัวเองถ้าหากพวกเขาอายุมากพอ

ทางราชวงศ์เดนมาร์กยอมรับการตัดสินใจนี้และวางแผนว่าจะให้รุ่นหลานของพวกเขาหาเลี้ยงตัวเองมาโดยตลอด

แต่ 6 ปีถัดจากนั้น การพยายามลดการใช้งบประมาณในราชวงศ์เดนมาร์กก็ทำให้เกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างราชินีกับพระราชโอสรคนสุดท้อง

ในปี 2565 มาร์เกรเธอมีพระราชกระแสให้พระโอสรและพระธิดาทั้ง 4 พระองค์ของเจ้าชายฮิวคิมต้องสละฐานันดรศักดิ์เจ้าชายเจ้าหญิงของตนเอง ทำให้พวกเขากลายเป็นเคานต์และเคาน์เตสแห่งมองเปซัท สำนักพระราชวังเดนมาร์กระบุว่าการตัดสินพระราชสหฤทัยของราชินีนั้น "เป็นไปตามแนวทางการปรับตัวแบบเดียวกับที่ราชวงศ์อื่นๆ เคยทำในหลายแนวทางในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา"

แต่เจ้าชายฮิวคิมก็มีพระดำรัสต่อสาธารณะโดยทันทีอ้างว่าการตัดสินพระราชหฤทัยเช่นนี้ของพระชนนีของพระองค์นับเป็นการหักหลังพระองค์ และเป็นการทำร้ายความรู้สึกของพระราชนัดดาของพระองค์ ทำให้พวกเขารู้สึกเสียพระทัยมาก ทั้งนี้ฮัวคิมยังทรงโต้แย้งเรื่องที่ราชินีอ้างว่ามีการเตือนพวกเขาล่วงหน้า 4 เดือน แต่จริงๆ แล้วมีการแจ้งต่อพวกเขาไม่กี่วันก่อนจะมีพระราชกระแส

เดิมทีแล้วราชวงศ์เดนมาร์กมักจะไม่มีดราม่าอะไร แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นพวกเขาก็เริ่มโต้เถียงกันผ่านแถลงการณ์ต่อสาธารณะ

ถึงแม้ว่าจะมีดราม่าและเรื่องอื้อฉาวแต่มาร์เกรเธอก็ทรงไม่ยอมคืนคำ และยืนยันต่อไปว่าการกระทำเช่นนี้จะเป็นผลดีต่อราชสำนักกลุกส์บวร์ก ขณะเดียวกันก็มีพระราชดำรัสขอโทษต่อพระราชโอสร, พระราชธิดา และพระราชนัดดา ของพระองค์

กรณีแทบลอยด์สเปน รายงานเรื่องข้อกล่าวหาคบชู้ของเจ้าชายเฟรเดอริก

ในช่วงปลายปี 2566 มีข่าวลือว่า เฟรเดอริก ว่าที่กษัตริย์ของเดนมาร์กทำการนอกใจเจ้าหญิงแมรี มีภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นว่าเจ้าชายเฟรเดอริกเสด็จประพาสกับ เจโนเวลา คาซาโนว่า คนในแวดวงสังคมคนดังของเม็กซิโก ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน เมื่อปลายเดือน ต.ค. 2566

ภาพถ่ายดังกล่าวนี้เผยแพร่ในนิตยสารของสเปนชื่อ "เลกทูราส" แสดงให้เห็นว่าทั้งคู่แค่กำลังเดินด้วยกันผ่านสวนสาธารณะและเข้าไปที่อพาร์ทเมนต์ แต่สื่อหัวสีก็เล่นข่าวนี้อย่างมันมือ นิตยสารเลกทูราสเผยแพร่ภาพถ่ายปาปารัสซีพร้อมกับคำอ้างว่าเฟรเดอริกกับคาซาโนวา "เดทกัน"  ซึ่งสื่อแห่งนี้ระบุอ้างว่าพวกเขาเดินทางไปพิพิธภัณฑ์ด้วยกันก่อนที่จะไปดินเนอร์และไปรับชมโชว์เต้นฟลามิงโก

คาซาโนวาปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเธอมีความสัมพันธ์แบบฉันท์ชู้สาวกับเจ้าชายเฟรเดอริก แล้วก็โพสต์เอกสารทางกฎหมายลงในอินสตาแกรม ขู่ว่าจะฟ้องร้องนิตยสารที่กล่าวหาเธอและเรียกร้องให้มีการถอนคำพูด

นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2566 เป็นต้นมาคาซาโนวาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องการออกไปข้างนอกกับเฟรเดอริกอีกเลย

มีสื่ออีกแห่งหนึ่งของสเปนคือ "โฮลา!" ตีพิมพ์เผยแพร่คำพูดของคาซาโนวาและอธิบายว่าเพื่อนของทั้งคาซาโนวาและเฟรเดอริกต่างก็ไม่สามารถไปชมนิทรรศการที่มาดริดได้จึงขอให้คาซาโนวาไปเป็นเพื่อนของเจ้าชายเฟรเดอริกแทน

ทางราชวงศ์ของเดนมาร์กปฏิเสธที่จะยุ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ โฆษกของสำนักพระราชวังให้สัมภาษณ์ต่อสื่อของเดนมาร์กว่าพวกเขา "ไม่ขอแสดงความคิดเห็นต่อข่าวลือหรือคำพูดคลุมเครือ"

ไม่กี่วันหลังจากที่มีเรื่องอื้อฉาวนี้ออกมาในหน้าสื่อ เฟรเดอริกกับแมรีก็เสด็จประพาสร่วมกันในโคเปนเฮเกนรวมถึงราชินีมาร์เกรเธอในฐานะส่วนหนึ่งของการต้อนรับต่อราชวงศ์สเปนที่เสด็จมาเยือน

ภายในช่วงกลางเดือน ม.ค. นี้ เฟรเดอริกและแมรีก็จะได้ขึ้นครองราชย์ ซึ่งจะทำให้แมรีกลายเป็นชาวออสเตรเลียคนแรกที่ได้เป็นกษัตริย์หรือราชินี

สละราชสมบัติเพราะความเจ็บป่วย

ตอนที่ราชินีมาร์เกรเธอขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2515 มีชาวเดนมาร์กเพียงร้อยละ 42 เท่านั้นที่สนับสนุนการคงไว้ซึ่งระบอบกษัตริย์ แต่ในช่วง 50 กว่าปีที่ผ่านมามาร์เกรเธอก็สามารถชนะใจทำให้ประชาชนหันกลับมาศรัทธาได้ กลายเป็นหนึ่งในกษัตริย์-ราชินีที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในยุโรป

โดยที่ตลอดช่วงที่พระองค์ครองราชย์ ราชสำนักเดนมาร์กก็ปราศจากเรื่องอื้อฉาวมาโดยตลอดเว้นแต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่พระองค์ก็มีพระราชดำรัสว่าจะสละราชสมบัติเพราะเหตุผลเรื่องสุขภาพหลังจากที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดพระขนอง (หลัง) เมื่อปี 2566

จากนี้ไม่นาน เมตเต เฟรเดอริกเซน นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของเดนมาร์กก็จะกลายเป็นนายกฯ หญิงคนแรกที่จะได้เป็นผู้ประกาศการขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์พระองค์ใหม่


เรียบเรียงจาก
Queen Margrethe's abdication in favour of Prince Frederik and Princess Mary follows a tumultuous year for the Danish royals, ABC News, 02-01-2024
https://www.abc.net.au/news/2024-01-02/tumultuous-year-for-danish-royals/103277250

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net