Skip to main content
sharethis

กสม. ร่วมภาคีเครือข่ายจัดสมัชชาสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2566 ขับเคลื่อนงาน 5 ประเด็นสิทธิสำคัญ ภายใต้แนวคิด “ศักดิ์ศรี เสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรมสำหรับทุกคน” - ชี้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีการกระทำความผิดเกี่ยวกับเพศต่อเด็กล่าช้า เป็นการละเมิดสิทธิการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

วันที่ 17 ส.ค. 2566 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและนายพิทักษ์พล  บุณยมาลิก เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 30/2566 โดยมีวาระสำคัญ ดังนี้

1. กสม. ร่วมภาคีเครือข่ายจัดสมัชชาสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2566 ขับเคลื่อนงานสิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม สถานะบุคคล การขจัดการเลือกปฏิบัติ และการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

นายพิทักษ์พล  บุณยมาลิก เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) มีกำหนดจัดงานสมัชชาสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2566 : 75 ปี ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ภายใต้แนวคิด “ศักดิ์ศรี เสรีภาพ ความเสมอภาค และความยุติธรรมสำหรับทุกคน” ระหว่างวันที่ 23 – 24 สิงหาคม 2566 ณ ห้องวายุภักษ์ 3 – 4 ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทาราศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากองค์กรภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนต่อสถานการณ์สิทธิมนุษยชนและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างยั่งยืน รวมถึงเพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันในการขับเคลื่อนงานสิทธิมนุษยชนของประเทศ

ในปี 2566 นี้เป็นปีที่ 2 ของการจัดงานสมัชชาสิทธิมนุษยชนระดับชาติ โดย กสม. ได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อน 5 ประเด็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญ ประกอบด้วย (1) สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ว่าด้วยการผลักดันการบังคับใช้ พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ให้มีประสิทธิภาพและการผลักดันการบริหารจัดการทะเบียนประวัติอาชญากร (2) สิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม เป็นการระดมข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกฎหมาย พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. .... และกฎหมายวิธีพิจารณาคดีสิ่งแวดล้อม การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์

(3) การแก้ไขปัญหากลุ่มสถานะบุคคล เป็นการระดมความคิดเห็นต่อแนวทางและกลไกการขับเคลื่อนนโยบายเพื่อขจัดความไร้รัฐไร้สัญชาติของประเทศไทย (4) การขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล ว่าด้วยการขับเคลื่อนกฎหมายกลางเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติต่อบุคคล การขับเคลื่อนกฎหมายคุ้มครองพนักงานบริการ (Sex worker) ข้อเสนอในการยกเลิกการตรวจหาเชื้อเอชไอวีในการทำงาน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลในใบรับรองแพทย์เกินความจำเป็น

และ (5) การแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว เป็นการระดมความเห็นต่อปัญหาและอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมาย เช่น พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 ตลอดจนประเด็นการพัฒนากลไกในการให้ความคุ้มครอง ช่วยเหลือ และเยียวยาเหยื่อผู้ถูกกระทำความรุนแรงโดยสังคมมีส่วนร่วม รวมถึงแนวทางในการเสริมสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว

“การขับเคลื่อน 5 ประเด็นสิทธิมนุษยชนที่สำคัญดังกล่าว เป็นการดำเนินงานของ กสม. ร่วมกับเครือข่ายภาคประชาสังคม ภาครัฐ และภาคเอกชน มาอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา โดยในงานสมัชชาสิทธิมนุษยชนครั้งนี้ ภาคีเครือข่ายจะได้ร่วมกันนำเสนอข้อมติจากทั้ง 5 ประเด็น และจะมีการประกาศเจตนารมณ์รวมพลังขับเคลื่อนงานด้านสิทธิมนุษยชนร่วมกัน ซึ่งประชาชนหรือผู้ที่สนใจสามารถติดตามรับชมการถ่ายทอดสดประเด็นการพูดคุยและสาระในงานได้ทาง Facebook Live สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 นี้ ”  นายพิทักษ์พล กล่าว

2. กสม. ชี้กรณีพนักงานสอบสวนดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับเพศต่อเด็กล่าช้า เป็นการละเมิดสิทธิฯ ให้ ตร. สอบสวนลงโทษผู้กระทำผิด ส่ง ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินการฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

นายวสันต์  ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากมูลนิธิสายเด็ก ระบุว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ผู้เสียหายซึ่งเป็นเยาวชนหญิงอายุ 13 ปี ได้ถูกเยาวชนชายรายหนึ่งล่วงละเมิดทางเพศ มารดาและผู้เสียหายได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลร่มเกล้า (ผู้ถูกร้อง) แต่จนถึงวันที่ร้องเรียนตามคำร้องนี้เมื่อเดือนกันยายน 2565 ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินคดี ส่งผลให้ผู้เสียหายมีภาวะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย จึงขอให้ตรวจสอบและเร่งรัดการดำเนินคดี  

กสม. พิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 68 กำหนดให้รัฐมีหน้าที่ในการจัดระบบบริหารงานในกระบวนการยุติธรรมทุกด้านให้มีประสิทธิภาพ สะดวก และรวดเร็ว ประกอบกับคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 419/2556 เรื่องการอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญา การทำสำนวนการสอบสวน และมาตรการการควบคุม ตรวจสอบ เร่งรัดการสอบสวนคดีอาญา ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 กำหนดให้มีการแจ้งความคืบหน้าของคดีให้ผู้แจ้งความร้องทุกข์ทราบ

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง รับฟังเป็นที่ยุติว่า นับตั้งแต่วันที่พนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลร่มเกล้าได้รับแจ้งความลงบันทึกประจำวันเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 กระทั่งปัจจุบันระยะเวลาล่วงเลยมากว่า 4 ปี ผู้ถูกร้องไม่ได้ดำเนินการใด ๆ ตามหน้าที่และอำนาจที่กฎหมายกำหนดแม้มารดาผู้เสียหายและผู้เสียหายได้ติดตามขอทราบความคืบหน้าในการดำเนินคดีจากผู้ถูกร้องหลายครั้งก็ตาม เป็นเหตุให้มารดาผู้เสียหายและผู้เสียหายต้องร้องเรียนต่อมูลนิธิพิทักษ์สตรี และมูลนิธิสายเด็ก 1387 อันนำมาสู่การร้องเรียนต่อ กสม. เพื่อขอให้ตรวจสอบและเร่งรัดการดำเนินคดี อย่างไรก็ดี หลังจาก กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนได้ประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนให้แก่ผู้เสียหายโดยมีหนังสือขอทราบผลการดำเนินคดีไปยังผู้ถูกร้อง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ หรือแจ้งผลดำเนินการแต่อย่างใด

กสม. เห็นว่า การที่ผู้ถูกร้องไม่ดำเนินการสอบสวนคดีและไม่ปฏิบัติหน้าที่ในการอำนวยความยุติธรรม ทำให้ผู้เสียหายไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา และไม่ได้รับการคุ้มครองด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นธรรม แม้ภายหลังจากที่มีการตรวจสอบกรณีตามคำร้องเรียนนี้ผู้ถูกร้องจะชี้แจงว่าได้ออกเลขคดีอาญา ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2566 แจ้งสิทธิการขอรับค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา และออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาเพื่อมารับทราบข้อกล่าวหา พร้อมกับแจ้งว่าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วแล้วก็ตาม ก็เป็นเพียงการดำเนินการในหน้าที่ที่ผู้ถูกร้องจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่ความล่าช้าที่ผู้ถูกร้องก่อให้เกิดขึ้นย่อมกระทบสิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของมารดาผู้เสียหายและผู้เสียหาย จึงเป็นการละเลยต่อหน้าที่อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

นอกจากนี้ การที่ผู้ถูกร้องละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ยังอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่ผู้ถูกร้องจะต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด จึงเห็นควรส่งรายงานฉบับนี้ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่ต่อไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาตรา 6 วรรคหนึ่ง

ด้วยเหตุผลข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สรุปได้ดังนี้

ให้ ตร. เร่งรัดการสอบสวนคดีอาญาตามคำร้องกรณีนี้ โดยเร่งนำตัวผู้ถูกกล่าวหามาดำเนินคดี และสรุปสำนวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการตามกระบวนการของกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้แจ้งความคืบหน้าการสอบสวนคดีให้แก่ผู้เสียหายทราบตามกำหนดระยะเวลาในคำสั่ง ตร. ที่ 419/2556 ลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 พร้อมกันนี้ ให้ตรวจสอบให้ได้ข้อเท็จจริงว่า กรณีความล่าช้าดังกล่าวเป็นการกระทำในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนผู้ใด และให้ดำเนินการทางวินัยตามกฎหมาย

นอกจากนี้ ให้ ตร. นำคู่มือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามหลักสิทธิมนุษยชนที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของสำนักงาน กสม. โดยเฉพาะในส่วนมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากลและแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไปซักซ้อม ทบทวน และอบรมให้ความรู้เจ้าหน้าที่ในสังกัด เพื่อเป็นการป้องกันการกระทำที่อาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อไปในอนาคต ทั้งนี้ให้สั่งการสถานีตำรวจทั่วประเทศให้ตรวจสอบและเร่งรัดการดำเนินคดีที่อยู่ในการสืบสวนสอบสวนที่ล่วงเลยระยะเวลามานานแล้ว เพื่อให้ประชาชนได้รับการอำนวยความยุติธรรมตามกฎหมายต่อไป

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net