Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

มีหลายคนตั้งคำถามว่า “ทำไมก้าวไกลถึงไม่ยอมลดเพดาน ด้วยการประกาศยกเลิกเรื่องมาตรา 112 ตามประมวลกฏหมายอาญา ที่ว่าด้วยเรื่องของการคุ้มครองสถาบันกษัตริย์ เพราะถ้ายอมก็อาจจะได้เป็นรัฐบาล และพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็อาจจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ความคิดนี้ยังมีพรรคการเมืองบางพรรคที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลแสดงความอึดอัดออกมาอย่างชัดเจน

แล้วจะมีอะไรเป็นหลักประกันว่า หากก้าวไกลยอมยกเลิกนโยบายเรื่องนี้แล้ว จะได้รับการยอมรับจากสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร ซึ่งหลายคนก็รู้ว่าสุดท้ายแล้วผลการลงมติในสภาฯจะเป็นอย่างไร ถึงกระนั้นก็ตาม มีบางคนยืนยันที่จะให้ดำเนินการเช่นนั้น ด้วยเพราะคิดว่าถ้าไม่ลอกก็คงไม่รู้

อยางไรก็ตาม ท่าทีของพรรคก้าวไกลต่อเรื่อง ม. 112 มีความชัดเจนอยู่ในตัว ถือเป็นจุดแข็งที่พลพรรคก้าวไกลยืนยันว่าจะไม่ยอมลดเพดานในเรื่องนี้อย่างแน่นอน ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่านี้คือ “ความไม่ชาญฉลาด” และ “ไม่ทันเกมการเมือง” ของพรรคการเมืองนี้ และปรามาสว่าเป็น “ความอ่อนหัด” ทางการเมือง

หากย้อนกลับไปดูความคิดของพรรคก้าวไกล ที่นำเสนอนโยบายพรรคที่ว่าด้วยเรื่อง ม.112 ผ่านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่กล่าวอยู่เสมอที่ถูกนักข่าวถามในเรื่องนี้ โดยชี้แจงว่า “พรรคก้าวไกลเพียงต้องการให้รัฐสภา ซึ่งเป็นสถาบันทางการเมืองของระบบประชาธิปไตยที่สำคัญ ได้นำเรื่องนี้เข้าสู่การพิเคราะห์พิจารณาว่าควรจะดำเนินการแก้ไขได้หรือไม่อย่างไร และถ้าคิดว่าควรแก้ไขก็แค่ให้มาดูกันว่าจะแก้ตรงส่วนไหนอย่างไร เพื่อไม่ให้กฏหมายมาตรานี้ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและรังแกกับคนบางกลุ่มเท่านั้น”

ถ้าอ่านหรือตีความข้อเสนอของพรรคก้าวไกลให้เข้าใจแล้ว ก็จะเห็นถึงเจตนาสำคัญในเรื่องนี้

การไม่ยอมลดเพดานในเรื่องนี้ ก็คือการยืนยันในหลักการสำคัญที่กำลังเป็นปัญหาของประเทศนี้ และไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ ได้มีกลุ่มการเมือง พรรคการเมือง และนายทุนขุนศึกทั้งหลาย มีการแอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ อ้างความจงรักภักดี แล้วนำเอามาตรา 112 มาใช้ฟาดฟันฝ่ายตรงข้าม เพื่อรักษาฐานอำนาจของตนเองไว้เพื่อหากินหาประโยชน์ได้ต่อไป นั่นหมายถึงการ “การหากินอยู่กับสถาบันฯ” ใช่หรือไม่

การวิเคราะห์ปัญหาสังคมไทยจากล่างขึ้นบน ไม่ว่าจะจากนักวิชาการ นักคิด นักเคลื่อนไหว หรือใครก็แล้วแต่ มักจะมีข้อสรุปที่ไม่แตกต่างกันมากนักว่า ในเกือบทุกปัญหาของสังคมไทย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความเหลื่อมล้ำ ด้านสิทธิมนุษยชน ด้านเศรษฐกิจ และอื่นๆ ล้วนไปจบอยู่ที่อำนาจรวมศูนย์ ภายใต้การยึดกุมอำนาจของกลุ่มนายทุนขุนศึก (ทุนผูกขาดกับทหาร) ที่เข้ามากุมสภาพทางการเมืองในแต่ละยุคสมัย โดยอาศัยอำนาจที่เหนือกว่ามาเป็นเครื่องมือ แล้วทำการออกแบบระบบการเมืองการปกครองให้อยู่ในวิสัยที่พวกเขาควบคุมได้ และสร้างความคิดไปว่าหากใครคิดอะไรต่างไปจากนี้แล้วคือการไม่เคารพ และเข้าข่ายการแบ่งแยกหรือทำลายระบบการปกครองของประเทศนี้ ประเทศไทยจึงอยู่ในสภาพการปกครองแบบลูกผีลูกคนมานานนับหลายปี คือจะกระจายอำนาจก็ไม่ใช่ จะรวมศูนย์ก็ไม่เชิง ดังสะท้อนได้จากการปกครองส่วนภูมิภาค ที่มีทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และมีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดไปพร้อมกัน ทำงานหลายเรื่องทับซ้อนกัน สิ้นเปลืองทั้งบุคลากรและงบประมาณแผ่นดิน และเราก็ถูกทำให้เข้าใจไปว่าเราต้องอยู่ในระบบการปกครองแบบนี้ไปจนตาย จะเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้

การรื้อระบบอำนาจดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง “รื้อโครงข่ายอำนาจ” นายทุนขุนศึกเหล่านั้น

การออกมาเคลื่อนไหวของคนรุ่นใหม่ ที่เขาไม่สามารถทนกับระบบการเมืองแบบนี้ได้อีกแล้ว เขาอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงใหม่ ผ่านระบบการเมืองการปกครอง ในขณะที่ชุดความคิดเก่าถูกทำให้แข็งตัวมากขึ้นทุกวัน ผ่านการนำสถาบันพระมหากษัตริย์เข้าไปหลอมรวมกับความคิดเหล่านั้นด้วย จึงกลายเป็นสิ่งที่คนกลุ่มนี้ไม่สามารถยอมรับได้ ที่คนรุ่นใหม่กำลังเสนอให้มีการแก้ไขมาตรา 112 เพราะไม่เพียงแค่การเข้าไปลบหลู่สถาบันฯแล้ว อาจจะนำไปสู่การล้มล้างระบบการปกครองอีกด้วย

พรรคก้าวไกล เป็นพื้นที่การรวมตัวของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ได้หมายถึงอายุเพียงอย่างเดียว แต่เป็นกลุ่มที่มีความคิดใหม่และอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในสังคมแบบใหม่ เขาไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เขากำลังเรียกร้องให้สถาบันฯมีการปรับตัวสู่สังคมสมัยใหม่ไปพร้อมกัน นั่นหมายถึงการเข้าไปร่วมรื้อทำลายกลุ่มอำนาจบางกลุ่มที่ที่เกาะกินสถาบันฯทั้งหลายมาอย่างนานนมให้หมดสิ้นไปจากสังคม และมาร่วมกันออกแบบการเมืองการปกครองให้สามารถแก้ไขปัญหาสังคมไทยได้จริง ไม่ใช่แค่เพียงวาทกรรมเท่านั้น

ดังนั้น การได้พรรคการเมืองหรือนายกรัฐมนตรีที่มาบริหารประเทศนี้บนโครงสร้างอำนาจแบบเดิมๆ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะได้พรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรีที่เข้าใจในเรื่องนี้ และกล้าหาญพอที่จะกระเทาะกับกลุ่มอำนาจเก่าเหล่านั้นต่างหากที่เป็นเรื่องยาก

หากถามว่าพรรคการเมืองทั้งหลายรับรู้เรื่องรากฐานของปัญหาเล่านี้หรือไม่นั้น คงไม่ต้องถาม แต่ถามว่าในเมื่อรู้แล้ว แต่ไม่ยอมหรือไม่กล้าที่จะเข้าไปทำอะไรเลยนั้นเพราะอะไร บางก็บอกว่า “ยังไม่ถึงเวลา” บ้างก็บอกว่า “มันเสี่ยงเกินไป” หรือบ้างก็เพราะตนเองและพวกพ้องได้ประโยชน์

การยืนหยัดเรื่อง ม. 112 ของพรรคก้าวไกล ที่ยอมแลกกำตำแหน่งทางการเมืองใกล้แค่เอื้อม บางคนอาจจะมองว่าไร้เดียงสาทางการเมือง แต่ต้องมองให้ลึกว่านั่นคือการยืนหยัดอย่างควรเคารพ ด้วเพราะเป็นการยืนยันที่จะทำการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาโครงสร้างของประเทศนี้จริงๆ แต่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เฉพาะหน้าเท่านั้น

จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่พรรคก้าวไกลจะเดินทางไปสู่เป้าหมายนั้นได้ มิใช่เพราะกำแพงอำนาจจากกลุ่มใดทั้งสิ้น แต่พรรคก้าวไกลจะต้องเดินฝ่ากำแพงประชาชนที่ยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ต่างหาก และนั่นคือภารกิจอันใหญ่หลวงที่จะต้องดำเนินกันต่อไป

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net