Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 (ต่อจากนี้ผู้เขียนจะเรียกโดยย่อว่า “ความผิดมาตรา 112”) เป็นฐานความผิดที่ถูกกล่าวถึงและมีการบังคับใช้อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา ซึ่งฐานความผิดนี้ นอกจากจะเป็นบทกฎหมายที่ถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงในประเด็นปัญหาความชอบธรรมด้านทางเนื้อหาถึงความสอดคล้องกับหลักนิติรัฐ และความสมเหตุสมผลในการดำรงอยู่ของฐานความผิด ดังที่นักวิชาการหลายท่านได้ตั้งข้อสังเกตไปแล้ว ฐานความผิดดังกล่าวก็ยังมีข้อสังเกตถึงประเด็นปัญหาสำคัญที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นั่นคือประเด็นปัญหาในเรื่อง “ความซื่อตรงในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม” อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินคดีในชั้นเจ้าพนักงานตำรวจ อัยการ และศาล กล่าวคือ ในการดำเนินคดีความผิดอาญามาตรา 112 นั้น มีข้อสังเกตอยู่หลายประเด็น ที่ปรากฏว่ากฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาไม่ได้มีการบังคับใช้อย่างตรงไปตรงมา แต่กลับถูกปรับใช้ในลักษณะที่ตก ๆ หล่น ๆ หลักกฎหมายที่เคยมีการบังคับใช้อย่างถูกต้องสม่ำเสมอกลับไม่ถูกหยิบยกมาใช้บังคับโดยไม่มีเหตุผล หรือแม้แต่คำพิพากษาศาลฎีกาบรรทัดฐานที่ได้รับการยึดถือเป็นแนวปฏิบัติอย่างเหนียวแน่นตลอดมาก็ถูกหลงลืมไปอย่างดื้อ ๆ ไม่นำมาบังคับใช้กับคดีความผิดมาตรา 112 เสียอย่างนั้น อีกทั้งการให้เหตุผลทางกฎหมายตลอดทั้งกระบวนการก็มีความบกพร่องทางตรรกะที่ละทิ้งความสมเหตุสมผลทั้งปวง เพื่อที่จะลงโทษผู้ต้องหาให้ได้ ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงในคดีนั้น ไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายให้อำนาจแต่อย่างใดเลยแม้แต่น้อย

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับกระบวนการยุติธรรมไทยในยามที่ต้องเผชิญหน้ากับการดำเนินคดีความผิดมาตรา 112 เช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานตำรวจ พนักงานอัยการ หรือศาล ที่เป็นไปอย่างแปลกประหลาด เสมือนกับคนเสียอาการที่ทำอะไรผิด ๆ ถูก ๆ เมื่อต้องเจอกับบุคคลหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ตนเกิดอาการหวั่นไหว หลักกฎหมายและทักษะการให้เหตุผลทางนิติศาสตร์ที่เคยร่ำเรียนศึกษามาเกิดการขัดข้องไม่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างที่เคยทำตลอดมา จนกระทั่งนำไปสู่การบังคับใช้กฎหมายที่ผิดเพี้ยนในลักษณที่ “ไปไม่เป็น” เลยเสียทีเดียว โดยทั้งนี้แม้ความผิดตามมาตรา 112 จะยังไม่ได้มีการแก้ไขหรือถูกยกเลิกด้วยกระบวนการทางนิติบัญญัติ อันส่งผลให้การดำเนินคดีความผิดดังกล่าวยังคงสามารถเกิดขึ้นได้โดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมจะมีอำนาจดำเนินคดีความผิดมาตรา 112 โดยกล่าวอ้าง “ประโยชน์ความมั่นคงของรัฐ” ตามรัฐธรรมนูญเสมือนประหนึ่งใบอนุญาตให้ดำเนินคดีได้ในทุกกรณีที่มีความเกี่ยวพันกับบุคคลในราชสำนัก หากแต่ต้องพิจารณาเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญาเป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ผู้เขียนจะได้ทำการนำเสนอข้อสังเกตของประเด็นปัญหาดังกล่าวในรูปแบบที่อ่านเข้าใจได้ไม่ยาก ซึ่งเป็นการสรุปสาระสำคัญจากบทวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4748/2561 และ 3998/2563 ของผู้เขียน (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกย่อในบทความฉบับนี้ว่า “ฎีกาปี 61” และ “ฎีกาปี 63” ตามลำดับ) ที่ลงตีพิมพ์ในวารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฉบับที่ 3 ปีที่ 51 พ.ศ. 2565 และฉบับที่ 4 ปีที่ 50 พ.ศ. 2564 หากท่านผู้อ่านต้องการอ่านบทวิเคราห์ฉบับเต็ม สามารถเข้าถึงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตาม URL ที่ปรากฏ

ฎีกาปี 61: https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/259397/175935

ฎีกาปี 63: https://so05.tci-thaijo.org/index.php/tulawjournal/article/view/254166/173005

และนอกจากนี้ผู้เขียนได้แนบคำพิพากษาศาลฎีกาฉบับเต็มไว้เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้นำไปศึกษาเพิ่มเติมต่อไปตาม URL ที่ปรากฏนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4748/2561 ฉบับเต็ม: https://bit.ly/3BS9G97

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3998/2563 ฉบับเต็ม: https://bit.ly/3qNNR40

ข้อสังเกตต่าง ๆ ของผู้เขียนเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมไทยในการดำเนินคดีความผิด มาตรา 112 มีดังนี้


1. ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับความหมายของสถานะ “รัชทายาท”

ในประเด็นนี้ถือเป็นข้อสังเกตที่สำคัญที่สุด เพราะ ประชาชนหรือแม้แต่เจ้าพนักงานของรัฐ ก็ยังมีความเข้าใจถึงสถานะการเป็น “รัชทายาท” ที่ยังไม่ถูกต้อง จนนำไปสู่การแจ้งความกล่าวโทษและการดำเนินคดีความผิดมาตรา 112 โดยผิดหลงไปอย่างกว้างขวาง เนื่องจากแท้ที่จริงแล้วมาตรา 112 ให้การคุ้มครองเฉพาะแต่บุคคลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ 4 สถานะเท่านั้น คือ 1.พระมหากษัตริย์ 2.พระราชินี 3.รัชทายาท และ 4.ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งหมายความว่า ถ้าบุคคลที่ถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย ไม่ได้มีสถานะบุคคลเป็นหนึ่งในสี่ดังกล่าวนี้แล้ว มาตรา 112 ก็จะไม่ได้ให้ความคุ้มครองแก่บุคคลผู้นั้น

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัตินั้นนิยามของสถานะการเป็น “รัชทายาท” เป็นสถานะถูกเข้าใจความหมายอย่างคลาดเคลื่อนอยู่บ่อยครั้ง เพราะในความเข้าใจของบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษากฎหมายนั้นจะเข้าใจไปว่า “รัชทายาท” หมายความถึง “พระบรมวงศานุวงศ์” พระประยูรญาติใหญ่น้อยทั้งหมดทุกราชสกุลที่มีอยู่หลากหลายพระองค์ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะ สถานะการเป็น “องค์รัชทายาท” ที่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 มีได้แต่ “รัชทายาท (the crown prince)” ที่เป็น “มกุฎราชกุมาร” หรือ “มกุฎราชกุมารี” เพียงองค์หนึ่งองค์เดียวเท่านั้น กล่าวคือ เฉพาะแต่บุคคลที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สมมุติขึ้นเพื่อเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2467 มาตรา 4 เท่านั้น[1]

ทั้งนี้ ตามข้อเท็จจริงในคดีฎีกาปี 61 ที่จำเลยทำการหมิ่นประมาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุนั้น เนื่องจากวันที่จำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดมาตรา 112 โดยการหมิ่นประมาทบุคคลในราชสำนักทั้งสองพระองค์ คือวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เพราะฉะนั้นบุคคลที่เป็นรัชทายาทในขณะนั้นจึงเป็น พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว[2] ที่ได้รับการสถานปณาโดยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515[3] บุคคลในราชสำนักพระองค์อื่นที่ไม่ใช่พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงไม่ได้มีสถานะเป็น “รัชทายาท” ที่จะได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หากแต่มีสถานะเป็นบุคคลใน “พระบรมวงศานุวงศ์” ที่ยังคงได้รับความคุ้มครองจากความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 เฉกเช่นบุคคลทั่วไปเพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้น การที่จำเลยหมิ่นประมาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ตามที่ปรากฏในฎีกาปี 61 จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 112 ตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัย เพราะเป็นการหมิ่นประมาทบุคคลใน “พระบรมวงศานุวงศ์” ไม่ใช่การหมิ่นประมาท “รัชทายาท” แต่ยังคงเป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไปตามมาตรา 326 เท่านั้น (ส่วนจะดำเนินคดีความผิดฐานนี้ทดแทนความผิดมาตรา 112 ได้หรือไม่ผู้เขียนจะได้อธิบายต่อไป) ทั้งนี้ แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องความผิดมาตรา 112 ก็ตาม แต่การดำเนินคดีความผิด 112 นี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว เพราะ การกระทำของจำเลยไม่ครบองค์ประกอบความผิดมาตรา 112 โดยชัดแจ้งตั้งแต่ต้น ซึ่งในประเด็นนี้มีข้อสังเกตต่อเนื่องไปอีกว่า แม้การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจะไม่เป็นความผิดอย่างชัดเจน แต่พนักงานอัยการก็ยังคงสั่งฟ้องไปโดยคาดเห็นอยู่แล้วว่าศาลก็ต้องยกฟ้อง ทั้ง ๆ พนักงานอัยการมีอำนาจดุลพินิจโดยชอบตามกฎหมายในการทำคำสั่งไม่ฟ้องคดีสำหรับการกระทำที่ไม่ครบองค์ประกอบความผิดโดยชัดแจ้ง ซึ่งผู้เขียนจะยกข้อสังเกตนี้แยกอธิบายต่อไป


2. รัฐหลีกเลี่ยงที่จะยืนยันถึงขอบเขตของสถานะ ”รัชทายาท” ให้ชัดเจน

ฎีกาปี 61 นั้นได้มีการกล่าวไว้ว่า การกระทำของจำเลยที่เป็นการหมิ่นประมาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปเท่านั้น ไม่ใช่การหมิ่นประมาทที่เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะ “ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112” แต่ทั้งนี้คำพิพากษาฎีกาปี 61 นี้ก็ไม่ได้อธิบายเหตุผลให้ชัดแจ้งเลยว่าองค์ประกอบความผิดที่ขาดหายไปนี้ คือองค์ประกอบความผิดส่วนใดกันแน่ หากละการให้เหตุผลในส่วนนี้ออกไปอย่างน่าประหลาดใจ ผิดกับคำพิพากษาฎีกาหลายฉบับในอดีตที่มีการอธิบายอยู่สม่ำเสมอว่าเหตุใดการกระทำของจำเลยในคดีจึงขาดองค์ประกอบความผิด แต่ถึงกระนั้นหากพิจารณาจากคำพิพากษาฎีกาปี 61 แล้ว เมื่อการหมิ่นประมาทของจำเลยยังคงครบถ้วนสมบูรณ์ องค์ประกอบความผิดที่ขาดหายไปก็คงจะเหลือแต่ความไม่สมบูรณ์ขององค์ประกอบความผิดในส่วนสถานะของบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองในฐานะ “รัชทายาท” ตามมาตรา 112 นี้เอง ดังที่ผู้เขียนได้อธิบายข้างต้น เพราะฉะนั้น ฎีกาปี 61 ฉบับนี้จึงสามารถเป็นคำพิพากษาที่ยืนยันในตัวเองแล้วว่า “พระบรมวงศานุวงศ์” ไม่ใช่ “รัชทายาท” จึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 112

เมื่อสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ไม่ได้มีสถานะเป็น “รัชทายาท” แล้ว การหมิ่นประมาทบุคคลทั้งสองจึงไม่อาจที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 112 ได้ คงเป็นแต่ความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลทั่วไปเท่านั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ซึ่งเป็นความผิดที่ยอมความได้และมีอัตราโทษน้อยกว่า มาตรา 112 อยู่มาก อย่างไรก็ตาม เมื่อฎีกาปี 61 ไม่ได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งอย่างเป็นทางการให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจแล้ว ปัญหาเรื่องความเข้าใจของประชาชนและเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมที่ถูกต้องเกี่ยวกับนิยามสถานะการเป็น “รัชทายาท” ก็มีแนวโน้มที่จะยังคงคลาดเคลื่อนอยู่ต่อไป ว่าความผิดมาตรา 112 เป็นกฎหมายที่คุ้มครองพระบรมวงศานุวงศ์ในราชสำนักทุกพระองค์

และด้วยความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของประชาชนและเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมเกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงถึงสถานะ “รัชทายาท” ประกอบกับการละเว้นของศาลฎีกาในการยืนยันถึงขอบเขตสถานะดังกล่าวให้ชัดเจน ส่งผลให้การดำเนินคดีความผิด มาตรา 112 เกินขอบเขตเงื่อนไขตามกฎหมายที่จำกัดไว้ไปอย่างมาก เกิดการกล่าวหาดำเนินคดีความผิดมาตรา 112 อย่างพร่ำเพรื่อ ทั้ง ๆ ที่การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่สามารถจะเป็นความผิดมาตรา 112 ได้อยู่แล้วตั้งแต่แรก เพราะ ผู้ถูกดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย ไม่ได้มีสถานะที่ได้รับความคุ้มครองตามบทกฎหมายดังกล่าว ด้วยเหตุนี้จึงเกิดปรากฏการณ์ที่เมื่อใดก็ตามที่การกระทำของผู้ถูกกล่าวหามีการอ้างอิงหรือเกี่ยวโยงถึงบุคคลในราชสำนักหรือพระบรมวงศานุวงศ์แล้ว การดำเนินคดีความผิดมาตรา 112 ก็จะทำงานทันที โดยไม่พิจารณาองค์ประกอบความผิดตามกฎหมายของมาตรา 112 ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ซึ่งแม้ในท้ายที่สุดศาลจะพิพากษายกฟ้องผู้ที่ถูกกล่าวหาด้วยเหตุดังกล่าว แต่ผู้ที่ถูกกล่าวหาก็ต้องสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างในการต่อสู้คดีที่ไม่อาจประเมินเป็นเงินได้เลย


3. การดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไปตามมาตรา 326 ทดแทนการดำเนินคดีมาตรา 112 โดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย

ตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญานั้นจะมีการแบ่งประเภทความผิดอาญาออกเป็น 2 ประเภท คือ “ความผิดต่อส่วนตัว (ความผิดอันยอมความได้)” และ “ความผิดต่อแผ่นดิน (ความผิดอันยอมความไม่ได้)” ซึ่งสำหรับความผิดต่อส่วนตัวนั้น จะมีเงื่อนไขการเริ่มคดีอยู่ที่ตัวผู้เสียหายเป็นสำคัญ หากผู้เสียหายไม่ทำการร้องทุกข์แก่เจ้าพนักงานด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปร้องทุกข์แทนตนแล้ว การดำเนินคดีความผิดต่อส่วนตัวก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้เลย หากมีการดำเนินคดีความผิดต่อส่วนตัวโดยที่รัฐเป็นผู้ริเริ่มโดยปราศจากการร้องทุกข์ของผู้เสียหายหรือโดยการกล่าวโทษของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้เสียหายหรือตัวแทนของผู้เสียหายแล้ว การดำเนินคดีความผิดส่วนตัวนั้นย่อมเป็นการดำเนินคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตรงกันข้ามกับความผิดต่อแผ่นดินนั้นเป็นความผิดอาญาที่รัฐสามารถดำเนินคดีได้โดยไม่อยู่ภายใต้การตัดสินใจของผู้เสียหาย กล่าวคือ รัฐก็มีอำนาจตามกฎหมายในการดำเนินคดีเสมอ ไม่ว่าผู้เสียหายจะประสงค์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาหรือไม่

ทั้งนี้ เนื่องจากความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 เป็นความผิดต่อส่วนตัว เพราะฉะนั้น การดำเนินคดีสำหรับฐานความผิดดังกล่าวจึงต้องผ่านเงื่อนไข “การร้องทุกข์” โดยผู้เสียหายที่ถูกหมิ่นประมาทเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วพนักงานสอบสวนก็จะไม่มีอำนาจสอบสวนฐานความผิดนี้ หากยังคงฝ่าฝืนทำการสอบสวนต่อไปก็จะกลายเป็นการสอบสวนโดยปราศจากอำนาจซึ่งส่งผลให้พนักงานอัยการไม่มีอำนาจดำเนินคดี เพราะเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่เปรียบเสมือนกับไม่มีการสอบสวนมาก่อนเลย ซึ่งต่างจากความผิดตามมาตรา 112 ที่ถูกกำหนดให้เป็นความผิดต่อแผ่นดินที่รัฐหรือบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้เสียหายสามารถเริ่มดำเนินคดีได้โดยปราศจากความสมัครใจของผู้เสียหาย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อไม่ได้มีข้อเท็จจริงปรากฏในฎีกา ปี 61 เลยว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุได้ทำการร้องทุกข์ด้วยพระองค์เอง หรือได้มีการมอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปร้องทุกข์แทนพระองค์ การดำเนินคดึความผิดฐานหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาทั่วไปตามมาตรา 326 จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย แต่ถึงกระนั้นศาลฎีกากลับวินิจฉัยในคดีดังกล่าว ให้การสอบสวนความผิดมาตรา 112 ในตอนแรกครอบคลุมไปถึงการสอบสวนความผิดมาตรา 326 ไปโดยไม่ต้องผ่านการร้องทุกข์ของพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งสองพระองค์และลงโทษจำเลยตามมาตรา 326 ทดแทนมาตรา 112 ทั้ง ๆ ที่ในอดีตนั้นศาลฎีกาก็ได้เคยวางหลักการวินิจฉัยไว้เองว่า ในกรณีที่การกระทำของจำเลยจะไม่เป็นความผิดต่อแผ่นดินแต่ยังคงเป็นความผิดต่อส่วนตัวในตัวเอง การจะลงโทษจำเลยความผิดอาญาต่อส่วนตัวนั้นจำเป็นต้องย้อนกลับไปพิจารณาถึงต้นกระบวนการว่าผู้เสียหายได้ทำการร้องทุกข์หรือไม่ ถ้าผู้เสียหายไม่ได้ทำการร้องทุกข์ตั้งแต่แรกแล้ว แม้ศาลจะพิจารณาได้ความว่าการกระทำของจำเลยยังคงเป็นความผิดต่อส่วนตัวก็ตาม ศาลก็ไม่อาจลงโทษได้ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4906/2543 และ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16081-16083/2555) แนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่ได้รับการยอมรับยึดถือปฏิบัติตามมาโดยตลอดจึงกลับถูกพักการปรับใช้ไปเสียอย่างดื้อ ๆ โดยไม่มีคำอธิบายแต่อย่างใดเลยว่าเหตุใดศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยดังเช่นแนวคำพิพากษาในอดีต ทั้ง ๆ ที่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีฎีกาปี 61 ก็เป็นข้อเท็จจริงที่สามารถเทียบเคียงกันได้ หากมีแต่การกล่าวอ้างหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของรัฐตามรัฐธรรมนูญอย่างเลื่อนลอยเพื่อให้มีอำนาจลงโทษจำเลย แต่สถาบันพระมหากษัตริย์และความมั่นคงของรัฐที่ศาลฎีกากล่าวถึงในฎีกาปี 61 นี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามอำเภอใจโดยเพิกเฉยต่อทุกสิ่ง ทั้งหลักกฎหมาย แนวคิดทฤษฎีต่าง ๆ หรือแม้แต่แนวทางการวินิจฉัยที่ตนได้วางเอาไว้เอง


4. การพยายามบรรยายฟ้องให้เป็นความผิด ทั้ง ๆ ที่ไม่อาจเป็นความผิดได้

ประเด็นปัญหานี้ปรากฏในฎีกาปี 63 ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาคดีความผิด มาตรา 112 ได้ข่มขู่ผู้เสียหายโดยอ้างอิงว่าตนเป็นญาติกับ “พระวรชายา” ของรัชทายาทซึ่งเป็นการหาประโยชน์โดยมิชอบโดยแอบอ้างว่ามีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับ “พระวรชายา” ซึ่งแม้เป็นการกระทำดังกล่าวอาจเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงที่อาจทำให้พระวรชายาเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังอันเป็นการหมิ่นประมาทก็จริง แต่เมื่อพระวรชายาไม่ได้เป็น “ราชินี” ที่เป็นคู่สมรสของพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชอยู่ หรือ “รัชทายาท” แต่อย่างใด ผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่มีทางจะมีความผิดตามมาตรา 112 ได้เลยอยู่แล้วตั้งแต่แรก (ส่วนการดำเนินคดีมาตรา 326 ทดแทนนั้น ไม่อาจกระทำได้ดังที่ผู้เขียนอธิบายหลักกฎหมายไว้ในคดีฎีกาปี 61 เพราะไม่ปรากฏว่าพระวรชายาได้ทำการร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีความผิดดังกล่าวด้วยพระองค์เองหรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นร้องทุกข์แทน) ซึ่งศาลก็มีคำพิพากษายกฟ้องสำหรับข้อหาความผิดมาตรา 112

อย่างไรก็ดี แทนที่พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องในข้อหาดังกล่าวเพราะพระวรชายาไม่ใช่บุคคลที่ได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 112 ตั้งแต่แรก แต่พนักงานอัยการในคดีนี้ก็หาได้ปฏิบัติเช่นนั้นไม่ แต่ยังคงสั่งฟ้องผู้ต้องหาในความผิดมาตรา 112 โดยบรรยายฟ้องในทำนองว่า การแอบอ้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับพระวรชายาถือเป็นการจาบจ้วงให้รัชทายาทเสื่อมเสียพระเกียรติ อันเป็นการหมิ่นประมาทรัชทายาทไปด้วยในตัวเอง ซึ่งการบรรยายฟ้องดังกล่าวนี้เป็นการบรรยายฟ้องที่ขาดความสมเหตุสมผลอย่างร้ายแรง เพราะบุคคลที่ถูกผู้ต้องหาพาดพิง คือ “พระวรชายาของรัชทายาท” แต่เพียงผู้เดียว ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานว่ามีการพาดพิงหรือแอบอ้าง “องค์รัชทายาท” โดยตรงแต่อย่างใดเลย แต่พนักงานอัยการกลับพยายามบรรยายฟ้องให้ผลของการแอบอ้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับพระวรชายาของรัชทายาท ถือเป็นการดูหมิ่นและหมิ่นประมาทองค์รัชทายาทโดยอ้อมไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยตรรกะและเหตุผลด้วยประการทั้งปวง เพราะถ้าหากเป็นเช่นนี้แล้วก็เท่ากับว่าการใส่ความผู้หนึ่งให้เสียชื่อเสียงจะถูกถือว่าเป็นการใส่ความบุคคลอื่นในครอบครัวของผู้นั้นให้เสียชื่อเสียงไปโดยอัตโนมัติซึ่งไม่สามารถหาความเชื่อมโยงหรือความสมเหตุสมผลใด ๆ ได้เลย ซึ่งแม้การแอบอ้างว่าตนมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับพระวรชายาของรัชทายาทจะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมก็จริง แต่ก็ไม่อาจอธิบายได้เลยว่าการกระทำดังกล่าวจะสามารถเป็นการแสดงความรู้สึกดูถูก เหยียดหยาม หรือสบประมาทอันเป็นการดูหมิ่น หรือการใส่ความ “องค์รัชทายาท” ต่อบุคคลที่สามอันเป็นการหมิ่นประมาทอย่างไร


5. การฟ้องคดีโดยที่รู้อยู่แก่ใจว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด

ในฎีกาปี 61 และปี 63 ทั้ง 2 คดี ได้ปรากฏว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้น (ในฎีกาปี 61) และศาลอุทธรณ์ (ในฎีกาปี 63) มีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดมาตรา 112 แล้ว พนักงานอัยการก็ไม่ได้ใช้สิทธิในการอุทธรณ์หรือฎีกาเพื่อให้ศาลวินิจฉัยข้อหาความผิดตามมาตรา 112 แต่กลับปล่อยให้เป็นที่ยุติในชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ไปเฉย ๆ อย่างน่าประหลาดใจ ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้สะท้อนว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีไปโดยรู้อยู่แล้วว่าการกระทำของจำเลยไม่มีทางเป็นความผิดมาตรา 112 ตั้งแต่แรก เพราะถ้าพนักงานอัยการเชื่อมั่นอย่างแท้จริงว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดเช่นว่านั้น พนักงานอัยการก็ย่อมจะต้องทำการฎีกาในประเด็นความผิดมาตรา 112 ที่ถูกยกฟ้องต่อไป เพื่อให้ศาลฎีกาพิพากษากลับลงโทษจำเลยในความผิดมาตรา 112 คงไม่ปล่อยให้ยุติไปโดยง่ายดังที่ปรากฏนี้

อนึ่ง อำนาจการสั่งคดีเป็นอำนาจของพนักงานอัยการโดยเฉพาะ กล่าวคือ ไม่ว่าพนักงานสอบสวนจะทำความเห็นในคดีมาอย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการก็มีอิสระในการพิจารณาสั่งคดีของตนเอง ในการที่จะใช้ดุลพินิจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีก็ได้ อันเป็น “อำนาจการสั่งคดีตามดุลพินิจ” โดยพนักงานอัยการต้องทำการตรวจสอบความถูกต้องของสำนวนการสอบสวน และพิจารณาสั่งสำนวนโดยละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานและข้อกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ หากพนักงานอัยการพบว่าสำนวนของพนักงานสอบสวนเป็นความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหา ทั้ง ๆ ที่ปรากฏโดยชัดแจ้งว่า การกระทำดังกล่าวไม่ครบองค์ประกอบความผิดอาญาตามมาตรา 112 อันเป็นการตั้งข้อหาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่แรกแล้วพนักงานอัยการก็ควรมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา แล้วให้กระบวนการตรวจสอบคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการได้ดำเนินการไปตามกฎหมาย


6. การละเลยการหยิบยกประเด็นปัญหาเรื่องอายุความขึ้นวินิจฉัย

ในฎีกาปี 63 นั้นศาลได้มีการยกฟ้องในข้อหาความผิดมาตรา 112 สำหรับการข่มขู่ผู้อื่นโดยการอ้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับพระวรชายาของรัชทายาท แต่ยังคงพิพากษาลงโทษความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ทดแทน ซึ่งก็เป็นการลงโทษโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายเช่นกัน เพราะหากศาลจะลงโทษฐานความผิดดังกล่าวแทนความผิดมาตรา 112 จะต้องปรากฏว่าผู้เสียหายได้มีการร้องทุกข์หรือฟ้องคดีความผิดมาตรา 309 ภายในอายุความตามที่กฎหมายกำหนดด้วย และเนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัวที่มีอายุความ 3 เดือนนับตั้งแต่รู้เรื่องรู้ตัว ดังนั้น เมื่อเหตุเกิดเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 แต่ผู้เสียหายมาแจ้งความกับเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2557 ซึ่งเป็นเวลาที่ล่วงเลยมากว่า 1 ปีแล้ว การดำเนินคดีความผิดตามมาตรา 309 จึงขาดอายุความตั้งแต่แรก สิทธิในการดำเนินคดีอาญาสำหรับความผิดดังกล่าวจึงระงับไปแล้วตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน พ.ศ. 2556 ซึ่งประเด็นนี้ศาลฎีกาก็เคยวินิจฉัยวางหลักเอาไว้เอง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16081-16083/2555)

ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องการขาดอายุความนั้นในทางกฎหมายนั้นเรียกว่าเป็น “ปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย” ซึ่งศาลสามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยไม่ต้องรอให้คู่ความฝ่ายใดหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างให้ศาลวินิจฉัย เพราะฉะนั้น แม้จำเลยจะไม่เห็นข้อต่อสู้คดีในประเด็นนี้แล้วไม่ยกเรื่องอายุความเรื่องต่อสู้ หากศาลเห็นเอง ศาลก็สามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัยแล้วทำการยกฟ้องโจทก์ด้วยเหตุของการขาดอายุความได้ ซึ่งในคดีอื่น ๆ นั้น ศาลก็ได้ใช้อำนาจตามกฎหมายในการหยิบยกปัญหาเรื่องการขาดอายุความขึ้นวินิจฉัยเองขึ้นอย่างสม่ำเสมอตลอดมา แต่อย่างไรก็ตาม ในคดีฎีกาปี 63 นั้น ศาลไม่ได้ทำการหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการขาดอายุความนี้ขึ้นวินิจฉัยแต่อย่างใดเลย กลับปล่อยปละละเลยไม่ทำการวินิจฉัยอย่างรอบคอบดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาในอดีต และยังคงดึงดันจะลงโทษจำเลยทั้ง ๆ ที่สิทธิในการดำเนินคดีอาญาจำเลยระงับไปเป็นเวลานานแล้ว


บทส่งท้าย

ข้อสังเกตจากคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองฉบับนี้เป็นเพียงตัวแค่ตัวอย่างความ “ไปไม่เป็น” ของกระบวนการยุติธรรมไทยที่เกิดขึ้นในการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมเมื่อจะต้องเผชิญกับคดีความผิดมาตรา 112 ซึ่งเป็นอีกประเด็นปัญหาหนึ่งที่ไม่อาจคลี่คลายได้ด้วยการแก้ไขปรับปรุงหรือยกเลิกความผิดมาตรา 112 แต่เพียงเท่านั้น หากแต่ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติและความซื่อตรงต่อหลักวิชาของผู้บังคับใช้กฎหมายเป็นสำคัญ ทั้งนี้ หากหน้าที่การสืบสวนสอบสวนของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ การสั่งคดีของพนักงานอัยการ และการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาลนั้นไม่ได้มีการดำเนินไปตามกฎหมายแล้ว การรักษาความมั่นคงสงบเรียบร้อยของรัฐที่ถูกหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างในการดำเนินคดีตามที่ปรากฏในคำพิพากษาก็คงเป็นเพียงความมั่นคงสงบเรียบร้อยบนกองเศษซากสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ความมั่นคงสงบเรียบร้อยของสังคมในอุดมคติที่ผู้คนใฝ่หาแต่อย่างใด

 

อ้างอิง

[1] กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ.2467 มาตรา4 บัญญัติว่า ศัพท์ต่างๆที่ใช้ในกฎมณเฑียรบาลนี้ ท่านว่าให้บรรยายไว้ดังต่อไปนี้ (1) “พระรัชทายาท” คือ เจ้านายเชื้อพระบรมราชวงศ์พระองค์ที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสมมตขึ้นเพื่อเปนผู้ทรงสืบราชสันตติวงศ์สนองพระองค์ต่อไป

[2] ในขณะนั้น ทรงมีพระนามว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณสยามมกุฎราชกุมาร

[3] ‘พระบรมราชโองการ ประกาศ สถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร’, ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 89, ตอน 200 ก, ฉบับพิเศษ (28 ธันวาคม พ.ศ. 2515), 1.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net