Skip to main content
sharethis

ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บางนาน ‘เพื่อไทย’ ได้รับข้อร้องเรียนจากประชาชน สปสช.ปฏิเสธต่อสัญญา รพ.เอกชน ไม่รับบัตรทอง 30 บาท มีผล 1 ต.ค.นี้ วอนทบทวนคำสั่ง หวั่นผู้ป่วยฉุกเฉิน-รักษาต่อเนื่องเดือดร้อน ด้าน สปสช.แจงมี รพ.เอกชน 9 แห่งไม่ได้ต่อสัญญา ย้ำไม่ลอยแพผู้ป่วย มีมาตรการองรับ 

 

17 ก.ย. 2565 ทีมสื่อพรรคเพื่อไทย รายงานต่อสื่อวันนี้ (17 ก.ย.) กวีวงศ์ อยู่วิจิตร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบางนา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่าได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่บางนา พระโขนง ว่าขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่บางแห่ง ติดป้ายประกาศไม่รับผู้ป่วยที่ใช้สิทธิบัตรทองกับทางโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป เนื่องจากหมดสัญญากับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และทาง สปสช.ไม่ต่อสัญญา ซึ่งส่งผลกระทบกับการรักษาตัวของผู้ป่วยกลุ่มคนไข้ฉุกเฉินและผู้ป่วยที่ต้องรักษาอาการอย่างต่อเนื่องเป็นจำนวนมาก

กวีวงศ์ อยู่วิจิตร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบางนา พรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบกับทางโรงพยาบาลพบว่า ทาง สปสช.แจ้งเหตุผลของการไม่ต่อสัญญาเป็นโรงพยาบาลในสังกัด เนื่องจากทางโรงพยาบาลกระทำผิดโดยออกหน่วยตรวจสุขภาพประชาชน ซึ่งเป็นกรณีที่ สปสช.เคยเอาผิดกับคลินิกปฐมภูมิ หลังมีกระแสข่าวเกิดการทุจริตเบิกงบจาก สปสช.จากการออกหน่วยตรวจสุขภาพเกินกว่าค่าใช้จ่ายจริง ซึ่งในกรณีดังกล่าวได้ทำให้ทางโรงพยาบาลมีความจำเป็นต้องให้บริการผู้ป่วยที่ถูกโอนย้ายมาจากคลินิกปฐมภูมิ ที่ถูกสั่งปิดกิจการด้วย รวมแล้วมีประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทองในโรงพยาบาลดังกล่าวกว่า 50,000 คน และยังมีโรงพยาบาลเอกชนใกล้เคียงที่อาจถูกยกเลิกสิทธิรักษาผู้ป่วยบัตรทองเป็นในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย หาก สปสช.และกระทรวงสาธารณสุขไม่เร่งแก้ไข อาจส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทองในพื้นที่บางนา-พระโขนง และในกรุงเทพมหานคร รวมกว่า 200,000 คน

กวีวงศ์ กล่าวด้วยว่า ลำพังผู้ป่วยกลุ่มคนไข้ใหม่ หรือเจ็บป่วยตามฤดูกาล หากจะไปใช้โรงพยาบาลของรัฐที่อยู่ใกล้เคียงนั้นแม้สามารถทำได้ แต่โรงพยาบาลเหล่านั้นก็ล้วนเต็มศักยภาพที่จะรองรับผู้ป่วยเดิมอยู่แล้ว ยิ่งโดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยอาการรุนแรงและอยู่ในภาวะฉุกเฉิน ผู้ป่วยสูงอายุ หรือผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการตรวจรักษาเป็นประจำอย่างต่อเนื่องกับโรงพยาบาลดังกล่าว ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ใกล้กับโรงพยาบาลจะประสบกับความยากลำบากมากขึ้น ภาครัฐโดย สปสช.ควรหาทางออกให้กับประชาชนด้วยการทบทวนคำสั่งที่ยกเลิกสัญญากับโรงพยาบาลเอกชนที่รับผู้ป่วยบัตรทอง หรือเลื่อนระยะเวลาการปิดให้บริการผู้ใช้สิทธิบัตรทองกับโรงพยาบาลดังกล่าวออกไปก่อนจนกว่าจะหาทางออกให้กับประชาชนได้ ไม่ควรปล่อยลอยแพประชาชนแบบนี้

“ประชาชนรวมตัวมาขอความช่วยเหลือ เพราะพวกเขาหมดหนทาง หมดที่พึ่งแล้ว รัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่ ตอนนี้พี่น้องประชาชนแค่ทำงานหาเช้ากินค่ำหาเงินมาเลี้ยงชีพก็ลำบากยากเข็ญมากเพียงพออยู่แล้ว ยังต้องกลับมากังวลกับการรักษาอาการเจ็บป่วยอีก อย่าให้ประชาชนต้องกลับไปเป็นคนไข้อนาถาเหมือนเมื่อหลายสิบก่อนจะมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเลยครับ ประเทศไทยมาไกลมากแล้ว อย่าถอยหลังกลับไปอีก อย่าทิ้งประชาชนไว้ข้างหลังนะครับ” กวีวงศ์ กล่าว

สปสช.แจงเหตุผลยกเลิกสัญญา 9 รพ.เอกชน

ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ โฆษกสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดเผยถึงกรณีที่ สปสช.ได้ยกเลิกสัญญาบริการสาธารณสุขโรงพยาบาลเอกชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) จำนวน 9 แห่ง ได้แก่ รพ.มเหสักข์, รพ.บางนา 1, รพ.ประชาพัฒน์, รพ.นวมินทร์, รพ.เพชรเวช, รพ.ผู้สูงอายุกล้วยน้ำไท 2, รพ.แพทย์ปัญญา, รพ.บางมด และ รพ.กล้วยน้ำไท ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 เป็นต้นไป ว่า การยกเลิกสัญญาดังกล่าวเป็นไปตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) และคณะอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร (อปสข.กทม.) ที่ให้ดำเนินการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เรียกเงินคืน แจ้งสภาวิชาชีพ ยกเลิกสัญญาหน่วยบริการเอกชนทั้ง 9 แห่งดังกล่าว รวมทั้งการยกเลิกการขึ้นทะเบียนเป็นหน่วยบริการ เนื่องจากผลการตรวจสอบของคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีหน่วยบริการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุข พบเอกสารหลักฐานว่า หน่วยบริการเอกชนทั้ง 9 แห่งมีการเบิกค่าคัดกรองเมตาบอลิกไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จึงเป็นที่มาการยกเลิกสัญญาเป็นหน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำ และหน่วยบริการรับส่งต่อในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

“ทั้งนี้ สปสช.ได้เตรียมมาตรการและแนวทางรองรับประชากรที่ได้รับผลกระทบไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วตามข่าวที่รายงานก่อนหน้านี้ ขอให้ประชาชนที่ลงทะเบียนใช้สิทธิรักษาพยาบาลที่ รพ.เอกชนทั้ง 9 แห่งไม่ต้องกังวลใจ” ทพ.อรรถพร กล่าว

สปสช. ยันไม่ลอยแพคนไข้-มีมาตรการรองรับ

สืบเนื่องจากกรณีข้างต้น วันเดียวกันนี้ ทีมสื่อ สปสช. รายงานต่อสื่อว่า พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการ สปสช. เปิดเผยว่า ตามที่ สปสช.ได้ยกเลิกสัญญาบริการสาธารณสุขโรงพยาบาลเอกชนในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ บัตรทอง 30 บาท จำนวน 9 แห่ง ได้แก่ รพ.มเหสักข์, รพ.บางนา 1, รพ.ประชาพัฒน์, รพ.นวมินทร์, รพ.เพชรเวช, รพ.ผู้สูงอายุกล้วยน้ำไท 2, รพ.แพทย์ปัญญา, รพ.บางมด และ รพ.กล้วยน้ำไท ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 เป็นต้นไป โดย รพ.ทั้ง 9 แห่งนี้ ดูแลประชากรผู้มีสิทธิบัตรทองจำนวน 696,103 คน ในจำนวนนี้มีเพียง 62,331 คน หรือประมาณร้อยละ 9 ที่ใช้สิทธิรับบริการ โดยเป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรัง จำนวน 24,058 คน  

พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการ สปสช.

ทั้งนี้ ขอเรียนว่าที่ผ่านมา สปสช.เตรียมพร้อมมาตรการต่างๆ รองรับไว้แล้ว เพื่อดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยจัดหาหน่วยบริการปฐมภูมิเพื่อรองรับให้การดูแล เช่น คลินิกเวชกรรม คลินิกชุมชนอบอุ่น คลินิกการพยาบาลและการผดุงครรภ์ และร้านยา ฯลฯ พร้อมจัดระบบบริการปฐมภูมิรูปแบบใหม่เพิ่มเติมเพื่อให้บริการ ได้แก่ ระบบบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เพื่อเพิ่มทางเลือกกับให้กับประชาชน ขณะเดียวกัน ได้จัดหาโรงพยาบาลรับส่งต่อ พร้อมกับประสานและจัดหน่วยบริการแห่งใหม่เพื่อดูแลผู้ป่วยที่มีนัดรักษาหรือติดตามอาการ  

พญ.ลลิตยา กล่าวว่า ผู้มีสิทธิบัตรทอง 30 บาทที่ลงทะเบียนใช้สิทธิกับ รพ.เอกชนทั้ง 9 แห่งนี้ กรณีผู้ป่วยใน ที่ยังนอนอยู่ รพ.รักษาต่อไปได้ จนกว่าจะปลอดภัย กรณีที่เป็นผู้ป่วยนัดรักษาต่อเนื่อง ผู้ป่วยโรคเรื้อรังต่างๆ ที่มีนัดติดตามอาการ ผู้ป่วยที่รอการผ่าตัด รังสีรักษา เคมีบำบัด และกรณีหญิงตั้งครรภ์ใกล้คลอด ฯลฯ ผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มเร่งด่วน สปสช.ได้ประสานและจัดหาหน่วยบริการเพื่อให้การรักษาต่อเนื่องแล้ว เบื้องต้น ขอให้ท่านติดต่อขอรับเวชระเบียน (ข้อมูลและประวัติการรักษา) กับโรงพยาบาลที่ท่านรักษาอยู่ในขณะนี้ โดย สปสช.ได้ทำหนังสือถึง รพ. ทั้ง 9 แห่ง เพื่อขอข้อมูลผู้ป่วยพร้อมประวัติการรักษาด้วยเช่นกัน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประสานส่งต่อผู้ป่วย  

“ผู้ป่วยที่ต้องรักษาต่อเนื่องถือเป็นผู้ป่วยกลุ่มเร่งด่วน ซึ่ง สปสช.ได้ขอข้อมูลจากโรงพยาบาลเพื่อติดต่อไปยังผู้ป่วยในการแจ้งหน่วยบริการที่จะเข้ารักษารักษาต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตามหากผู้ป่วยรายใดไม่ได้รับการติดต่อจาก สปสช.ขอให้ท่านโทรมายังสายด่วน สปสช. 1330 กด 6 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการต่อไป” รองเลขาธิการ สปสช. กล่าวและว่า สำหรับผู้ป่วยไตที่มีนัดฟอกไตกับทั้ง 9 รพ.เอกชนนี้ ยังคงรับบริการได้ตามนัดเหมือนเดิม เนื่องจากการยกเลิกสัญญาไม่ได้รวมถึงการให้บริการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม   

ส่วนกรณีผู้ที่ไม่ใช่ผู้ป่วยรักษาต่อเนื่องนั้น พญ.ลลิตยา กล่าวว่า ระหว่างนี้ขอให้ท่านตรวจสอบสิทธิการรักษา ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ  

1. ผู้ที่สถานพยาบาลที่เข้ารับการรักษาเบื้องต้น (หน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำ) และสถานพยาบาลที่รับการส่งต่อ (หน่วยบริการรับส่งต่อทั่วไป) เป็น 1 ใน 9 รพ.เอกชน ขอให้ท่านลงทะเบียนเลือกหน่วยบริการแห่งใหม่ที่อยู่ในเขตพื้นที่ ซึ่งในกรณีที่ไม่มีหน่วยบริการในเขตพื้นที่ให้เลือกลงทะเบียน ขออย่ากังวลใจ เพราะขณะนี้ สปสช.อยู่ระหว่างการเร่งจัดหาหน่วยบริการเพิ่มเติมแล้ว ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 เป็นต้นไป หากเกิดภาวะเจ็บป่วยท่านก็ยังใช้สิทธิบัตรทองรักษาได้ โดยเข้ารับบริการที่ทุกหน่วยบริการปฐมภูมิทุกแห่งในระบบบัตรทอง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย  

2. ผู้ที่สถานพยาบาลเข้ารับการรักษาเบื้องต้น (หน่วยบริการปฐมภูมิ/ประจำ) เป็นคลินิกเอกชนหรือศูนย์บริการสาธารณสุข ที่ไม่ใช่ รพ. 9 แห่งนี้ และมีสถานพยาบาลที่รับการส่งต่อ (หน่วยบริการรับส่งต่อทั่วไป) ระบุว่า เป็น 1 ใน 9 รพ.เอกชน เมื่อเจ็บป่วยท่านยังคงเข้ารับการรักษาได้ตามรายชื่อสถานพยาบาลที่เข้ารับการรักษาเบื้องต้นตามสิทธิได้เช่นเดิม กรณีที่จะต้องถูกส่งต่อไปรักษายังสถานพยาบาลอื่น สปสช.ได้ประสานงานให้ส่งต่อไปยังสถานพยาบาลที่ได้จัดหาเพิ่มให้ ส่วนกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินใช้สิทธิรักษาเหมือนเดิมทุกประการ 

ตรวจสอบสิทธิการรักษาที่เว็บไซต์ สปสช. https://eservices.nhso.go.th/eServices/mobile/login.xhtml หรือที่ไลน์ สปสช. ไลน์ไอดี @nhso หรือคลิกลิงค์ https://lin.ee/zzn3pU6 เลือกเมนูตรวจสอบสิทธิ หรือแอปพลิเคชัน สปสช. เลือกเมนูตรวจสอบสิทธิตนเอง  

ดูรายชื่อหน่วยบริการที่อยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ  

เว็บไซต์ สปสช. https://www.nhso.go.th/page/hospital 

เว็บไซต์ Nostra map https://map.nostramap.com/NostraMap/ หรือแอปพลิเคชัน Nostra Map เลือกชั้นข้อมูลที่เขียนว่า รายชื่อสถานพยาบาลในระบบ สปสช.  

หมายเหตุ - มีการอัปเดตเนื้อหาข่าว สปสช.ชี้แจงเหตุยกเลิกสัญญา 9 รพ.เอกชน เมื่อ 17 ก.ย. 2565 เวลา 22.28 น.

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net