คนขับรถบรรทุกในยูเครนเผชิญวิกฤตขาดแคลนน้ำมัน หลังจากที่รัสเซียเปิดฉากทำสงครามรุกรานยูเครน ทำให้บางคนต้องใช้วิธีการเติมน้ำมันที่โปแลนด์ เสร็จแล้วจึงทำการถ่ายน้ำมันส่งทอดต่อให้กับคนขับรถคนอื่นๆ ในยูเครน การขาดแคลนนี้ยังส่งผลกระทบต่อการลำเลียงความช่วยเหลือไปให้ชาวยูเครนที่เผชิญการโจมตีจากรัสเซียด้วย
16 เม.ย. 2565 บริษัทขนส่งด้วยรถบรรทุกในยูเครน รวมถึงกลุ่มที่ขนส่งความช่วยเหลือไปให้กับชาวยูเครนในภาคตะวันออกที่กำลังเผชิญกับสงคราม ต่างก็กำลังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน จนทำให้บริษัทแห่งหนึ่งใช้วิธีการแบบนอกกรอบในการช่วยขนส่งลำเลียงน้ำมันเข้าไปในยูเครน
กลุ่มคนขับรถบรรทุกที่ทำงานให้กับบริษัทขนส่งยักษ์ใหญ่สัญชาติเดนมาร์ก DFDS เปิดเผยว่ามีคำสั่งให้พวกเขาเติมน้ำมันที่โปแลนด์ในช่วงที่พวกเขาเดินทางขากลับจากประเทศแถบยุโรป จากนั้นก็ให้ขับรถพร้อมน้ำมันที่เติมนี้ไปที่เมืองลวีฟในประเทศยูเครน พอถึงเมืองลวีฟแล้วก็ให้มีการถ่ายน้ำมันที่ยังเหลืออยู่ในถังส่งทอดต่อให้กับรถบรรทุกคันอื่นๆ เพื่อให้รถบรรทุกเหล่านี้สามารถลำเลียงสิ่งของต่างๆ ไปยังส่วนตอนกลางและส่วนตะวันออกของประเทศยูเครนได้
โอเล็กซานเดอร์ โปลิโควิช ผู้จัดการของ DFDs กล่าวว่า การใช้ระบบถ่ายน้ำมันกระจายต่อให้รถคันอื่นๆ เช่นนี้ จะช่วยทำให้พวกเขายังคงปฏิบัติการต่อไปได้อีก 2-3 วัน แต่เขาก็อยากให้รัฐบาลยูเครนทำอะไรสักอย่างกับเรื่องการขาดแคลนนี้ โดยการเปิดใช้แหล่งเชื้อเพลิงสำรองหรือหาวิธีใหม่ในการนำเข้าเชื้อเพลิงดีเซล
นายกรัฐมนตรียูเครน เดนิส ชมีฮาล ยอมรับว่ายูเครนประสบปัญหาขาดแคลนเชื้อเพลิง อีกทั้งยังบอกว่าทางการยูเครนกำลังเจรจาหารือกับบริษัทพลังงานใหญ่ๆ เพื่อให้มีการส่งก๊าซและเชื้อเพลิงดีเซลให้กับยูเครน
ช่วงก่อนหน้าที่รัสเซียจะรุกรานยูเครน งานของ DFDs คือการขนส่งสิ่งของจำพวกพัสดุชิ้นส่วนเหล็ก, เฟอร์นิเจอร์ และ สิ่งทอ แต่ในเวลาต่อมาก็มีการหันมาขนส่งสิ่งของทางการแพทย์และสิ่งของช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมด้วย
เซอร์ฮี เบเรสเตนโก คนขับรถบรรทุก DFDs กล่าวว่าปัญหาแรกของพวกเขาคือพวกเขาไม่รู้ว่าจะสามารถไปถึงที่หมายได้หรือไม่ ปัญหาที่สองคือพวกเขาไม่รู้ว่าจะกลับมาในสภาพแบบใด นอกจากนี้สงครามยังทำให้เวลาในการเดินทางของพวกเขาเพิ่มขึ้น เช่นการเดินทางระหว่างกรุงเคียฟทางตอนเหนือของประเทศไปยังเมืองดนิโปรทางตะวันออกของประเทศเดิมทีใช้เวลาเดินทางแค่ 7 ชั่วโมง แต่ในตอนนี้ต้องใช้เวลาประมาณ 18 ชั่วโมงเพราะมีด่านตรวจของกองทัพหลายแห่ง
ข้อมูลจากเว็บไซต์สังเกตการณ์ด้านความซับซ้อนทางเศรษฐกิจ (OEC) ระบุว่า ปิโตรเลียมกลั่นในคลังของยูเครนร้อยละ 70 นำเข้ามาจากประเทศรัสเซียและเบลารุส นับตั้งแต่ที่รัสเซียรุกรานยูเครน ยูเครนก็ถูกบีบให้ต้องใช้เส้นทางถนนและทางรถไฟในการนำเข้าสินค้าจำพวกนี้ นอกจากนี้กองเรือของรัสเซียยังได้โจมตีเป้าหมายแหล่งเก็บเชื้อเพลิงและโรงงานกลั่นน้ำมันของยูเครน รวมถึงมีการปิดกั้นท่าเรือใหญ่ๆ ของยูเครน ทั้งใน ลวีฟ, เคียฟ, ดนิโปร และคาร์คีฟ ด้วย
สำหรับน้ำมันดิบที่นำเข้ามาในยูเครนส่วนใหญ่นั้นนำเข้ามาจากอาเซอร์ไบจัน ผ่านทางท่าเรือโอเดสซา และมีกระบวนการกลั่นน้ำมันดิบที่โรงงานในคราเมนชุก ภูมิภาคโปลตาวา ซึ่งสื่อตะวันตกระบุว่าเป็นโรงกลั่นน้ำมันแห่งเดียวในยูเครนที่ทำงานได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่โรงงานแห่งนี้ก็ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีจากขีปนาวุธรัสเซียในช่วงต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ว่าการของโปลตาวาบอกว่าโรงกลั่นดังกล่าวถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป
เซอฮี คูยุน ประธานบริษัทให้คำปรึกษาด้านเชื้อเพลิง A-95 ระบุว่า การจะนำเข้าน้ำมันจากประเทศอื่นๆ ที่อยู่ติดกับยูเครนนั้นก็ถือเป็นเรื่องทำได้ยาก เพราะยานพาหนะขนส่งต้องผ่านเทือกเขาคาร์เพเทียนก่อน นอกจากนี้ปัญหาเรื่องน้ำมันยังทำให้บริษัทปั้มน้ำมันในพื้นที่ยูเครน 3 บริษัทหยุดทำการเพราะค่าต้นทุนสูงกว่าราคาขายที่ตั้งไว้ แม้กระทั่งบริษัทน้ำมันรายใหญ่ก็ถูกบีบให้ขายน้ำมันได้จำนวนจำกัดเพราะราคาค่าต้นทุนที่สูงขึ้น
ชมีฮาล นายกรัฐมนตรียูเครนเปิดเผยว่า นับตั้งแต่รัสเวียรุกรานยูเครนยังมีเหตุการณ์ทำลายปั้มน้ำมันเกินกว่า 30 แห่งเกิดขึ้นด้วย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)