ผอ.ททบ.5 แจงความร่วมมือด้านข่าวสารกับรัสเซียและอิหร่าน เป็นทางนั้นติดต่อมาก่อนผ่านทางไพศาล พืชมงคล อดีตที่ปรึกษา ‘พล.อ.ประวิตร’ พร้อมแจงให้พื้นที่การเสนอข่าวกับทุกฝ่าย และให้ ปชช.ตัดสิน 

25 มี.ค. 65 พล.อ. รังษี กิติญาณทรัพย์ ผู้อำนวยการ (ผอ.) สถานีโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) ให้สัมภาษณ์กับ ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ และอมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ พิธีกรรายการ “เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand” ประจำวันที่ 25 มี.ค. 65 ซึ่งเผยแพร่บนสื่อโซเชียลมีเดีย ‘เฟซบุ๊ก’ กลุ่มสาธารณะ ‘เจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand’ ต่อกรณี ททบ.5 ประสานความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างจีน รัสเซีย และอิหร่าน ซึ่งกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคม

พล.อ. รังษี ชี้แจงว่า การเจรจาและสร้างความร่วมมือด้านข่าวสารกับรัสเซีย และอิหร่าน ไม่ได้เป็นเพราะทาง ททบ.5 เป็นผู้ติดต่อไปก่อน แต่ทางสถานทูตรัสเซีย และอิหร่าน ติดต่อผ่านทาง ‘ไพศาล พืชมงคล’ อดีตที่ปรึกษา พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ และปัจจุบันเป็น เลขาธิการสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน ให้มาประสานการเจรจากับ ททบ.5 และยืนยันด้วยว่า ตนไม่ทราบว่า ทางสถานทูตรัสเซีย และอิหร่าน รู้จักกับทางไพศาลอย่างไร 

สำหรับความร่วมมือด้านข่าวสารกับสำนักข่าวจีน หรือ CGM ทาง พล.อ. รังษี รับเป็นผู้ประสานงานเอง

ทั้งนี้ ผอ.ททบ. 5 ระบุด้วยว่า สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน เป็นสงคราม 3 มิติ ซึ่งมีทั้งการใช้กำลัง ข่าวสาร และมาตรการทางด้านเศรษฐกิจ เข้าห้ำหั่นกัน ซึ่งในสงครามข่าวสารชัดเจนว่า ทางฝ่ายต่างกล่าวหาอีกฝ่ายว่าเป็นข้อมูลที่ผิด หรือเป็นโฆษณาชวนเชื่อ ประชาชนอยู่ในภาวะสับสนไม่ทราบว่าอันไหนจริงหรือเท็จ 

พล.อ.รังษี ระบุว่าต่อว่า ก่อนหน้าที่จะเข้ามาทำงานที่ ททบ.5 ปกติรับข่าวต่างประเทศจากสำนักข่าว ‘รอยเตอร์’ เพียงแห่งเดียว ซึ่งตนรู้สึก ‘ปวดใจ’ ไม่อยากให้สื่อไทยถูกกล่าวหาว่าสื่อเลือกข้าง หรือสื่อซื้อได้ จึงเห็นด้วยกับการประสานความร่วมมือกับประเทศต่างๆ ในการรับข้อมูลข่าวสารจากทางการโดยตรง เพื่อมานำเสนอข่าวอย่างรอบด้าน และให้ประชาชนตัดสินเองว่าจะเลือกเชื่ออย่างไร และถือเป็นการยกระดับสื่อไทย

“เรียนนิดหนึ่งว่า การที่เราได้ข้อมูลข่าวสารจากอีกด้านหนึ่ง ซึ่งปกติเราไม่เคยได้เลย เพราะข้อมูลสื่อสารจีน อิหร่าน รัสเซีย เราจะได้มาจากฝั่งตะวันตก ซึ่งจริงๆ ตามหลักสื่อมวลชน เราควรได้ source (ผู้สื่อข่าว - ข้อมูล) ตรงจากแหล่งข่าว

“ทางอุปทูตยูเครน ก็เชิญผมไป (24 มี.ค.) ผมก็ไปคุยกับอุปทูตยูเครน ผมก็ไปคุยกับทูตรัสเซีย คุยเหมือนกับจีน เหมือนกับอิหร่าน ข่าวสารอันไหนที่ทางจีน ทางรัสเซีย ทางยูเครนคิดว่าไม่ถูกต้อง และต้องการให้คนไทยรู้ว่าสิ่งที่ถูกต้องคืออะไรก็ให้ส่งมาที่ช่อง 5 ผมบอกนักข่าวช่อง 5 แล้วว่าห้ามบิดเบือนข่าว ให้เหมือนกับที่ทางการเขาส่งมา เพราะข่าวทั้งหมดทั้ง 4 ประเทศที่กำลังจะทำก็คือ ข่าวที่สถานทูตเขารับรอง ไม่ใช่ผมตัดมาจากอินเทอร์เน็ตที่ไหน แล้วทำไมในเมื่อคนไทยสามารถฟังทั้ง 2 ฝั่ง และไปพิจารณาเองว่าอันไหนข่าวเท็จ ข่าวจริง เพราะว่าเรามีที่มาที่ไป ไม่ใช่ว่าไปตัดจากเน็ต หรือว่าไปเอามาจากที่อื่นๆ” พล.อ.รังษี กล่าว 

หารือยูเครน ร่วมมือด้านข่าวสาร

วานนี้ (24 มี.ค.) สื่อโซเชียลมีเดีย ‘เฟซบุ๊ก’ กลุ่มสาธารณะ ‘TV5HD Online’ รายงานว่า เมื่อ 24 มี.ค. 65 ที่สถานเอกอัครราชทูตยูเครนประจำประเทศไทย พล.อ. รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ได้เข้าพบนาย โอเล็กซานเดรอ ไลซัค อุปทูตยูเครนประจำประเทศไทย ที่เชิญเข้าหารือถึงความร่วมมือกันในการการนำเสนอข่าวสารสถานการณ์ข้อเท็จจริงในยูเครนที่เกิดการสู้รบกับรัสเซียในขณะนี้ โดยเฉพาะปัจจุบันมีการนำเสนอข้อมูลที่ผิด ที่ส่งเผยแพร่กันอย่างแพร่หลาย ในทุกรูปแบบทั้งข่าวโทรทัศน์สื่อออนไลน์ต่างๆ ไปยังทั่วโลก จนผู้บริโภคหากไม่รับรู้ข้อเท็จจริงก็จะเกิดความสับสนวุ่นวายและก่อให้เกิด ผลกระทบต่างๆ ตามมาในสังคมโลก 

ททบ.5 พร้อมให้ร่วมมือและความเท่าเทียมในการนำเสนอข่าวสารกับยูเครน ตามข้อเท็จจริง นอกเหนือจากที่ ทาง ททบ.5 รับข่าวสารสถานการณ์ต่างประเทศจากสำนักข่าวรอยเตอร์ รวมทั้งข่าวสารด้านต่างๆ ทั้งสถานการณ์เด่นของโลก จากสำนักข่าวของประเทศรัสเซีย สำนักข่าว CMG ของประเทศจีน และสำนักข่าวของประเทศอิหร่าน ที่ร่วมมือกันไปก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนคนไทยรับรู้ข่าวสารครบทุกด้าน จากประเทศต้นทาง ทันเหตุการณ์ปัจจุบัน 

พล.อ. รังษี ยืนยันว่า ททบ.5 มีนโยบายชัดเจนในการเป็นสื่อที่มีความเป็นกลาง โดยเปิดให้คู่ขัดแย้งไม่ว่าฝ่ายใดส่งข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริง ในสถานการณ์ต่างๆ นำเสนอให้ประชาชนตัดสินใจ โดยต้องไม่เป็นข้อมูลที่ผิด

ขณะที่อุปทูตยูเครน ประจำประเทศไทย พร้อมร่วมมือกับทาง ททบ. 5 ในการส่งข่าวสารข้อเท็จจริงในประเทศยูเครนเพื่อให้ทาง ททบ. 5 นำเสนออย่างตรงไปตรงมาถูกต้อง แม่นยำ พร้อมขอบคุณในความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้ รวมทั้งขอบคุณรัฐบาลไทย ที่ให้ความช่วยเหลือชาวยูเครนตามหลักมนุษยธรรม