Skip to main content
sharethis

แมรี พี คัลลาฮัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านนานาชาติศึกษาที่เคยเขียนหนังสือเกี่ยวกับประเด็นพม่าและอาศัยในพม่ามาตั้งแต่ปี 2556 นำเสนอเรื่องราวความเจ็บปวดของประชาชนในพม่าที่กำลังต้องการการช่วยเหลือด้านสุขภาพจากนานาชาติโดยเร่งด่วน เพราะเผด็จการทหารดูเหมือนจะพอใจที่จะปล่อยให้ประชาชนของตัวเองเสียชีวิตในช่วงโควิด-19 ระบาดรอบล่าสุด ท่ามกลางความขาดแคลนด้านสาธารณสุข

แฟ้มภาพโคโรนาไวรัส 2019 (SARS-CoV-2) จากกล้องจุลทรรศน์ เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2563 ที่มา: Wikipedia/National Institute of Allergy and Infectious Diseases (NIAID)

 

บทความของ แมรี พี คัลลาฮัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านนานาชาติศึกษาวิทยาลัย เฮนรี เอ็ม แจ็คสัน มหาวิทยาลัยแห่งวอชิงตัน เผยแพร่ใน "Asia Times" เล่าเรื่องเพื่อนที่ชื่อ "มะมูน" ซึ่งแม่ของเพื่อนเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ที่ต้องใช้ออกซิเจนบรรจุถัง 

ผู้เขียนบทความใช้เวลาถึง 6 ชั่วโมง ติดต่อผู้คนด้วยแอพพลิเคชันแบบเข้ารหัส จึงจะสามารถหาเครื่องมือแพทย์ช่วยชีวิตคนชิ้นนี้ได้เพียง 1 ชิ้น

แม่ของมะมูนมีอัตราอ็อกซิเจนลดลงอย่างรวดเร็วภายในวันเดียวจาก 95 ไปอยู่ที่  70

ดูเหมือนว่าครอบครัวของมะมูนจะได้รับการรักษารายวันจากกลุ่มหมอที่ "เคลื่อนไหวใต้ดิน" ในขบวนการอารยะขัดขืนต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ คัลลาฮานระบุว่าผู้มีวิชาชีพแพทย์เป็นกลุ่มคนที่ได้รับการเคารพนับถือในประเทศพม่ามาก การที่กลุ่มแพทย์เหล่านี้ตัดสินใจต่อต้านการรัฐประหารในวันที่ 1 ก.พ. จึงนับเป็นสิ่งที่สร้างน้ำหนักความชอบธรรมให้กับการต่อต้านเผด็จการในสายตาของประชาชน

มีผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขประเมินว่าในหมู่ประชากร 55 ล้านรายในพม่านั้นมีอยู่ร้อยละ 50 ที่อาจจะติดเชื้อไวรัสที่ก่อโรค COVID-19 สายพันธุ์อัลฟาหรือเดลตาภายในช่วง 3 สัปดาห์นี้ ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงอีกรายหนึ่งระบุว่าประชากรพม่าอาจจะเสียชีวิตทั้งหมดอย่างน้อย 10-15 ล้านรายจนกว่าจะถึงช่วงที่ COVID-19 หมดไปจากพม่าโดยสิ้นเชิง

ในกรณีแม่ของมะมูนนั้นเธอประสบปัญหาจากโรคอื่นๆ ที่เกิดร่วมกันอย่างรุนแรงบวกกับการติด COVID-19 และครอบครัวของเธอเองก็ได้รับการตรวจว่ามีเชื้อ COVID-19 แบบมีอาการ ถึงกระนั้นครอบครัวของมะมูนก็จำต้องฝ่าเคอร์ฟิวของรัฐบาลเพื่อขับรถออกไปที่ย่างกุ้งเพื่อตามหาที่ขายเครื่องสร้างอ็อกซิเจนเอามาช่วยมะมูนตามที่มีการค้นเจอทางเฟสบุค

ถึงแม้ว่าในที่สุดแล้วครอบครัวของมะมูนจะสามารถเข้าถึงเครื่องสร้างอ็อกซิเจนได้ แต่เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตอนที่พวกเขารับได้เครื่องนี้มาก็น่าเศร้า ครอบครัวมะมูนกว่าจะได้รับเครื่องนี้มาก็เลยไปถึงตีสองแล้ว ซึ่งเสี่ยงที่พวกเขาจะถูกจับเพราะฝ่าฝืนเคอร์ฟิว มีการโทรถามถึงสถานการณ์ครอบครัวหลายๆ ครั้งจนกระทั่งมีการตอบรับที่ระบุว่าผู้เป็นพ่อของครอบครัวได้เสียชีวิตลงแล้ว

ครอบครัวของมะมูนได้รับเครื่องสร้างอ็อกซิเจนในที่สุด แต่ก็มีคำขอเพียงอย่างเดียวว่า ถ้าไม่ใช้เครื่องนี้แล้วต้องส่งต่อให้กับผู้ป่วยรายอื่นๆ ต่อไปฟรีๆ มีเพื่อนคนอื่นๆ ของครอบครัวมะมูนที่กำลังดิ้นรนอย่างสุดหนทางเช่นกัน พวกเขาทำข้อตกลงขอร่วมใช้เครื่องผลิตอ็อกซิเจนด้วยเพื่อให้อ็อกซิเจนกับสมาชิกครอบครัวของพวกเขาที่ป่วยหนักเป็นเวลาไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน แล้วก็นำเครื่องนี้ไปให้กับผู้ป่วยหนักอีกรายใช้ไม่กี่ชั่วโมงต่อวันเพื่อหวังว่าจะช่วยทำให้ผู้คนเหล่านี้รอดชีวิตเช่นกัน แล้วทุกคนก็ภาวนาว่าพวกเขาจะสามารถบรรจุอ็อกซิเจนใส่ถังเพื่อใช้วันต่อไปได้อีก

คัลลาฮานยังเล่าถึงกรณีที่เธอเดินทางไปเยี่ยมงานศพของคนหนุ่ม 4 รายที่ถูกยิงเสียชีวิต ทำให้เธอเผชิญกับการที่ทหารพม่าบุกโจมตีประชาชนอย่างโหดเหี้ยมในช่วงเวลากลางคืน มีการไล่ยิงผู้คนที่อพาร์ทเมนต์ของประชาชนและเริ่มยิงเข้าใส่คอนโดมีเนียมที่เธออาศัยอยู่

ในเวลาปัจจุบัน เธอมาอยู่ที่ประเทศไทยและคอยอ่านข้อความที่ส่งผ่านวิธีการแอพพลิเคชันเข้ารหัสจากเพื่อนของเธอในพม่าซึ่งมักจะเป็นข้อความส่งเสริมการต่อต้านกองทัพพม่าไม่ว่าจะในทางการเมืองหรือการใช้กำลังอาวุธ รวมถึงข้อเรียกร้องให้นานาชาติใช้มาตรการ "R2P" หรือ "ความรับผิดชอบในการคุ้มครอง" และใช้ "เขตห้ามบิน"

แต่ข้อความเหล่านี้ก็เริ่มเปลี่ยนไปในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งหมดทั้งมวลกลายเป็นข้อความร้องขอความช่วยเหลือทางการสาธารณสุขและขอให้มีการแทรกแซงด้านมนุษยธรรมจากนานาชาติ ทั้งจากโซเชียลมีเดีย จากป้ายประท้วงของผู้ประท้วงแบบแฟลชม็อบ ไม่มีเวลาที่จะรอช่วยเหลือพวกเขาในอนาคตอีกแล้ว ชาวพม่าต้องการความช่วยเหลือ ณ บัดนี้ ตอนนี้

คัลลาฮานบอกว่าจากที่เธอทำงานในพม่ามามากกว่า 30 ปี ทุกคนที่เธอรู้จักในตอนนี้ติด COVID-19 กันหมด หรือไม่ก็กำลังต้องดูแลผู้ป่วย COVID-19  โรงพยาบาลในพม่าไม่รับผู้ป่วยมากกว่านี้อีกแล้วแม้กระทั่งโรงพยาบาลที่แพงที่สุดของเอกชนก็ไม่รับ มีผู้ป่วย COVID-19 บางคนที่เสียชีวิตหน้าโรงพยาบาลที่ปฏิเสธจะรับพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้รับการตรวจรักษาและถูกระบุในใบมรณะบัตรว่าเสียชีวิตเพราะ "วัณโรค"

ในขณะที่กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่เริ่มต่อต้านรัฐบาลด้วยวิธีการอารยะขัดขืนก็พยายามทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ในแบบช่องทาง "ใต้ดิน"

สำหรับท่าทีจากทางการนั้น สื่อรัฐบาลพม่ารายงานถ้อยแถลงของผู้นำเผด็จการทหารที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าเขาไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากประเทศใดๆ เลย นอกเหนือจากประเทศที่เป็นมิตรอย่างรัสเซียเท่านั้น ถึงแม้ว่ารัสเซียจะส่งวัคซีนสปุตนิคซึ่งไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลกให้กับพม่าแต่ก็อาจจะส่งให้แค่เพียง 10,000 ชุดเท่านั้น และไม่ได้บอกว่าจะส่งให้ภายในไม่กี่เดือน แต่สัญญาว่าภายในช่วงระยะเวลาหลายปีนี้ และอาจจะมีราคาที่สูงมาก

ขณะที่ประเทศจีนที่ดูน่าจะเป็นมิตรกับรัฐบาลเผด็จการพม่าก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับการขยายรั้วไฟฟ้ากั้นเขตแดนในแบบที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เห็นแล้วจะน้ำลายไหล รั้วที่ว่านี้ขยายออกไปแล้ว 500 กม. ทั้งทางตะวันออกและตะวันตกของจุดค้าขายชายแดนจีน-พม่า ถึงแม้จีนจะปิดกั้นไม่ให้ข้ามเขตแดนไปสู่จีนแต่ก็วางกำลังทีมคนการตรวจและรักษา COVID-19 ได้ช้าในพื้นที่ที่มีกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์ควบคุมอยู่ โดยที่มีการฉีดวัคซีนให้กับผู้คนในพื้นที่เหล่านี้ รวมถึงผู้เข้ามาใหม่จะถูกกักตัวและให้วัคซีนทั้งหมด

สำหรับสหประชาชาติแล้ว คณะทำงานของพวกเขาประมาณ 20 กว่ารายที่เข้าไปในพื้นที่ไม่มากพอที่จะจัดการกับสถานการณ์ได้ทั้งหมด นอกจากนี้ไม่ว่าพวกเขาจะอยากช่วยเหลือชีวิตผู้คนมากเท่าใดก็ตามพวกเขาก็จะถูกผูกมัดอยู่กับพันธะเรื่องบรรทัดฐานกฎหมายนานาชาติเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยภายใต้เขตแดนพม่าเอง นอกจากนี้การที่มีจีนและรัสเซียคอยโหวตคัดค้านอยู่ทำให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติไม่สามารถออกมติเกี่ยวกับการแทรกแซงทางทหารเพื่อโต้ตอบเผด็จการทหารพม่าได้

กลุ่มประเทศอาเซียนก็ดูจะไม่สามารถฝ่าทางตันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพม่าได้ดูจากที่หลังจากที่พวกเขาทำข้อตกลงเป็นหลักการ 5 ข้อกับหัวหน้าเผด็จการทหารมินอ่องไลง์ของพม่าเพื่อให้มีการแก้ไขวิกฤต แต่เผด็จการทหารก็ดูจะไม่สนใจทำตามเลย

บทความของคัลลาฮานจึงเรียกร้องให้ประเทศอื่นๆ ในโลกหันมาช่วยเหลือประชาชนชาวพม่าจากความเสียหายย่อยยับที่มาจากน้ำมือการรัฐประหารของกองทัพ วิกฤตเศรษฐกิจ การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในระดับก้าวกระโดดในหมู่ประชากรที่ไม่เคยได้รับบริการสาธารณสุขอย่างเหมาะสม มีผู้ประท้วงรายหนึ่งถือป้ายขอความช่วยเหลือว่า "ถ้าไม่ใช่ตอนนี้แล้วจะเมื่อไหร่ ถ้าไม่ใช่คุณแล้วจะเป็นใคร"

แม่ของมะมูนเสียชีวิตแล้วในเช้าของวันที่คัลลาฮานเขียนบทความ (17 ก.ค.) ร่างของแม่เธอถูกนำไปรอคิวเพื่อที่จะฌาปนกิจ การที่ไม่มีแล็บของรัฐบาลคอยยืนยันว่าเป็นการเสียชีวิตจากโรค COVID-19 หรือไม่ ทำให้เธอไม่ถูกนับรวมเป็นสถิติของผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ แต่สำหรับมะมูนและสำหรับคัลลาฮานแล้ว แม่ของมะมูนรวมอยู่ในผู้ที่ต้องจบชีวิตลงเพราะโรคนี้

เรียบเรียงจาก

‘Everyone is dying’: Myanmar on the brink of decimation, Asia Times, 17-07-2021

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net