Skip to main content
sharethis

ETOs Watch พร้อมด้วย 76 องค์กรภาคประชาชน ร่อน จม.เปิดผนึกถึง ปตท. พิจารณาระงับ และงดส่งจ่ายเงินค่าก๊าซธรรมชาติให้กองทัพพม่า เพื่อกดดันให้เผด็จการทหารยุติการฆ่าประชาชน และรักษาความสัมพันธ์อันดีกับชาวพม่า

การประท้วงของชาวพม่าที่ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 16 พ.ค.64 (ที่มา Khit Thit Media)
 

20 พ.ค.64 ผู้สื่อข่าวประชาไท ได้รับแจ้งว่า คณะทำงานติดตามความรับผิดชอบของการลงทุนข้ามพรมแดน (ETOs Watch) ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาชนที่คอยตรวจสอบบรรษัทภิบาลของบริษัทไทยที่ไปลงทุนข้ามแดน ร่อนจดหมายเปิดผนึกถึง ปตท และ ปตท.สผ. เพื่อให้ระงับและงดส่งจ่ายเงินจากก๊าซธรรมชาติให้กับกองทัพเมียนมา เพื่อยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา 76 องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคประชาสังคมด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ทั้งไทย เมียนมา และนานาชาติร่วมลงชื่อ ชี้เงินค่าก๊าซธรรมชาติอยู่ในการควบคุมของกองทัพ หวั่นส่งเสริมการประหัตประหารประชาชน
 
ธีระชัย ศาลเจริญกิจถาวร ผู้ประสานงานคณะทำงาน กล่าวว่า “เราเรียกร้องให้ ปตท งดจ่ายเงินให้กับบริษัทรัฐวิสาหกิจที่ดูแลเรื่องน้ำมันและก๊าซของพม่าในขณะเพราะแม้ว่าโดยหลักการแล้วบริษัทนี้จะเป็นของรัฐบาลเมียนมา แต่การควบคุมอำนาจในการบริหารหน่วยงานแบบเบ็ดเสร็จของคณะรัฐประหารเมียนมาทำให้บริษัทรัฐวิสาหกิจ ซึ่งควรจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชนเป็นเจ้าของนั้นไม่อาจรับประกันได้อีกต่อไปว่ารายได้จาก ปตท. ในฐานะผู้ซื้อตามสัญญาจะถูกนำไปใช้จ่ายเพื่อกิจการพลเรือนและผลประโยชน์ต่อประชาชนชาวเมียนมาอย่างแท้จริง ความไม่โปร่งใสและการใช้อำนาจฉ้อฉล ทั้งยังดิบเถื่อนของกองทัพเมียนมาต่อประชาชนในประเทศตนเองที่เป็นอยู่ในขณะนี้นั้นทำให้เรากังวลเป็นอย่างมากว่าเงินรายได้ในส่วนนี้จะถูกแปรเป็นอาวุธหรือกระสุนปืนที่สาดใส่แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์”

ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการตัวแทนสภาแห่งสหภาพ (CRPH) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการรวมตัวกันของ ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ส่งหนังสือไปยังกลุ่มธุรกิจหรือรัฐวิสาหกิจจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะในกิจการการลงทุนด้านการค้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เรียกร้องให้ระงับกิจการการลงทุนและตัดสายสัมพันธ์ในการทำธุรกิจร่วมกับกองทัพเมียนมาในทันที อีกทั้งเรียกร้องให้บริษัทที่ร่วมทุนนำรายได้ที่ต้องจ่ายไปยังบริษัท Myanmar Oil and Gas Enterprise (MOGE) ซึ่งเป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจที่ขณะนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของคณะรัฐประหารเผด็จการกองทัพเมียนมาไปไว้ยังบัญชีที่ได้รับการปกป้อง (protected/escrow account) เนื่องจากพวกเขาเกรงว่า รายได้จากการประกอบธุรกิจนี้จะเป็นเงินที่ป้อนเข้าสู่กระเป๋าของกองทัพเมียนมาโดยตรง โดยหนังสือดังกล่าวมีข้อเรียกร้องที่อ้างไปถึง “บริษัท ปตท. สผ. จำกัด (มหาชน)” ของประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ร่วมลงทุนในโครงการท่อส่งก๊าซยาดานา โครงการท่อส่งก๊าซเยตากุน และเป็นผู้ดำเนินโครงการท่อส่งก๊าซซอติก้าโดยตรง ซึ่งก๊าซที่ผลิตได้ส่วนใหญ่ถูกส่งเข้ามายังประเทศไทย โดยมีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับซื้อก๊าซดังกล่าวอีกด้วย ต่อมา รัฐบาลญี่ปุ่นในฐานะผู้ให้เงินกู้รายใหญ่ที่สุดของประเทศเมียนมาได้ประกาศระงับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินครั้งใหม่แก่เมียนมา รวมทั้งสหรัฐอเมริกาเองก็มีมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของกองทัพเมียนมา

“รัฐบาลและธุรกิจทั่วโลกกำลังแสดงออกถึงการไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารที่ฆ่าชีวิตประชาชนไปแล้วเกือบ 800 ราย เราอยากให้ผู้ลงทุนจากประเทศไทยเคารพข้อเรียกร้องของประชาชาชาวเมียนมา อีกทั้งเรายังเชื่อว่า การระงับส่งเงินรายได้นี้จะยังเป็นการปกป้องชื่อเสียงของบริษัทฯ สัญชาติไทยให้พ้นจากความเกี่ยวข้องกับคณะเผด็จการรัฐประหาร นับเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทยในระยะยาว และเป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนชาวเมียนมาด้วย และเราเชื่อว่า ธุรกิจที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือต้องยืนอยู่ข้างหลักสิทธิมนุษยชน”

ข้อมูลในจดหมาย ระบุว่า “ในปี ค.ศ.2017-2018 ปตท. จ่ายเงินกว่า 615 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับบริษัท MOGE โดยภาพรวมแล้วรายได้จากก๊าซคาดว่าจะมีส่วนช่วยในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของพม่าถึง 50% และ ปตท. ให้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดของผู้ก่อการรัฐประหาร โดยจัดเก็บจากบริษัท ปตท. สผ. เฉพาะโครงการซอติก้าเพียงแห่งเดียวในฐานะผู้ลงทุนและผู้พัฒนาโครงการสัญชาติไทยได้กว่า 55.54 พันล้านจ๊าต หรือราว 41.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ”    

โดยก่อนหน้านี้ คณะทำงานฯ ได้ส่งจดหมายถึงหลายหน่วยงานภาครัฐขอให้พิจารณาระงับโครงการสนับสนุนทางการเงินแก่เมียนมา เช่น สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือ สพพ. ซึ่งจะเป็นผู้ให้เงินกู้ในโครงการถนนสองช่องทางจากพุน้ำร้อน ถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย จำนวน 4,500 ล้านบาท โดย สพพ. ตอบกลับมาว่า พร้อมที่จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินและวิชาการแก่ประเทศเพื่อนบ้านภายใต้ขอบเขตบทบาทอำนาจอย่างเต็มที่

“เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ทางบริษัทฯ จะตอบกลับจดหมายที่ระบุข้อกังวลและข้อเรียกร้องของพวกเรา เราไม่ได้เรียกร้องอะไรที่มากเกินไปและคิดว่ามีความเป็นไปได้มากที่สุด เราต้องร่วมกันทำให้แน่ใจว่าเงินรายได้ที่ส่งไปจะต้องทำให้ประชาชนชาวเมียนมาได้ประโยชน์ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลพลเรือนในอนาคตที่ยึดถือหลักการประชาธิปไตย” นายธีระชัย กล่าว

รายละเอียด จม.จาก ETOs Watch ถึง ปตท.

เรื่อง    จดหมายเปิดผนึกถึงบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ว่าด้วย การระงับและงดส่งรายได้จากโครงการท่อก๊าซธรรมชาติให้กับกองทัพเมียนมา เพื่อยุติการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเมียนมา

เรียน    ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
ประธานกรรมการ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) 

นับแต่คณะเผด็จการทหารเมียนมา ก่อการรัฐประหาร ยึดอำนาจประชาชน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 โดยอ้างการทุจริตการเลือกตั้งของพรรครัฐบาลที่นำโดย พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) นั้นผู้ก่อการรัฐประหารได้กระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนชาวเมียนมาอย่างร้ายแรง อาทิ การจำกัดเสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงออก การปิดกั้นการนำเสนอข่าวสารของประชาชนและสื่อมวลชนอย่างจงใจ การจับกุมและกักขังนักการเมืองไปจนถึงประชาชนทั่วไปโดยไม่แจ้งข้อกล่าวหา การทำลายข้าวของและขโมยข้าวของของประชาชนและที่เลวร้ายที่สุดคือการคุกคามประชาชนมือเปล่าที่ออกมาชุมนุมอย่างสันติด้วยกำลังอาวุธที่ใช้สลายการชุมนุมแบบพื้นฐานไปจนถึงการใช้อาวุธสงครามจนเกิดการเสียชีวิต ตลอดจนการประทุษร้ายศพผู้เสียชีวิตอย่างเปิดเผย รวมทั้งการใช้อาวุธสงครามคุกคามประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ภายในประเทศอีกด้วย จากการรายงานข่าวของสื่อมวลชนหลายสำนัก การกระทำเยี่ยงอาชญากรของคณะรัฐประหารเมียนมาดังกล่าวได้ส่งผลให้ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 765 ราย นับแต่วันก่อการรัฐประหาร และมีแนวโน้มว่าเหตุการณ์จะรุนแรงขึ้น จนถึงขั้นภาวะสงครามกลางเมือง และการกระทำของคณะรัฐประหาร ที่เรียกตนเองว่า สภาบริหารแห่งรัฐ อันมีกองทัพทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นแขนขานั้น ดูเหมือนว่าจะเข้าใกล้การเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (Crime Against Humanity) เข้าไปทุกที

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2564 คณะกรรมการตัวแทนสภาแห่งสหภาพ หรือ Committee Representing Pyidaungsu Hluttaw: CRPH ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนชาวเมียนมา ได้ส่งหนังสือไปยังกลุ่มธุรกิจหรือรัฐวิสาหกิจจากต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศโดยเฉพาะในกิจการการลงทุนด้านการค้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ เรียกร้องให้ระงับกิจการการลงทุนและตัดสายสัมพันธ์ในการทำธุรกิจร่วมกับกองทัพเมียนมาในทันที อีกทั้งเรียกร้องให้บริษัทที่ร่วมทุนนำรายได้ที่ต้องจ่ายไปยังบริษัท Myanmar Oil and Gas Enterprise (MOGE) ซึ่งเป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจที่ขณะนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของคณะรัฐประหารเผด็จการกองทัพเมียนมาไปไว้ยังบัญชีที่ได้รับการปกป้อง (protected account) เนื่องจากพวกเขาเกรงว่ารายได้จากการประกอบธุรกิจนี้จะเป็นเงินที่ป้อนเข้าสู่กระเป๋าของกองทัพเมียนมาโดยตรง โดยหนังสือดังกล่าวมีข้อเรียกร้องที่อ้างไปถึง “บริษัท ปตท. สผ. จำกัด (มหาชน)” ของประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ร่วมลงทุนในโครงการท่อส่งก๊าซยาดานา โครงการท่อส่งก๊าซเยตากุน และเป็นผู้ดำเนินโครงการท่อส่งก๊าซซอติก้าโดยตรง ซึ่งก๊าซที่ผลิตได้ส่วนใหญ่ถูกส่งเข้ามายังประเทศไทย โดยมีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับซื้อก๊าซดังกล่าว 

ต่อมา เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นในฐานะผู้ให้เงินกู้รายใหญ่ที่สุดของประเทศเมียนมาได้ประกาศระงับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินครั้งใหม่แก่เมียนมา รวมทั้งสหรัฐอเมริกาเองก็มีมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแบบกำหนดเป้าหมายไปยังกองทุนและธุรกิจของกองทัพเมียนมาที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับบรรดาผู้นำระดับสูงของกองทัพและครอบครัวโดยตรงแล้วเช่นกัน

เอกสารขององค์กรความยุติธรรมเพื่อเมียนมา (Justice for Myanmar) ที่ได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 เปิดเผยว่ารายได้หลักของกองทัพเมียนมาส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจน้ำมันและก๊าซ โดยรายได้จากการค้าน้ำมันและก๊าซที่ขายให้กับบริษัทร่วมทุนในส่วนนี้จะถูกส่งผ่านบริษัท MOGE ไปยังรัฐบาลเมียนมา ตามที่มีการเปิดเผยโดย Myanmar Extractive Industries Transparency Initiative ในปี 2017-2018 ระบุว่า ปตท. จ่ายเงินกว่า 615 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับบริษัท MOGE โดยภาพรวมแล้วรายได้จากก๊าซคาดว่าจะมีส่วนช่วยในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของพม่าถึง 50% และปตท. ให้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอดของผู้ก่อการรัฐประหาร โดยจัดเก็บจากบริษัท ปตท. สผ. เฉพาะโครงการซอติก้าเพียงแห่งเดียวในฐานะผู้ลงทุนและผู้พัฒนาโครงการสัญชาติไทยได้กว่า 55.54 พันล้านจ๊าต หรือราว 41.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ   

หลังเกิดการรัฐประหาร ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการวางท่อก๊าซทั้ง 3 แห่ง มีความตื่นตัวเป็นอย่างมาก และออกมารณรงค์ประท้วงต่อต้านการรัฐประหารอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเรียกร้องให้บริษัทต่างชาติที่เป็นผู้พัฒนาและเป็นผู้ร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าว ระงับการลงทุนออกไปชั่วคราว แม้แต่พนักงานของบริษัท MOGE เองก็ยังออกมาประท้วง แสดงความไม่เห็นด้วยต่อการรัฐประหารและการประหัตประหารประชาชนของกองทัพเมียนมา มีรายงานว่าพนักงานของบริษัท MOGE กว่า 80% ได้เข้าร่วมขบวนการอารยะขัดขืน และเมื่อไม่นานมานี้ได้มีการจัดรณรงค์ในโลกออนไลน์ให้ประชาชนทั่วทุกมุมโลกเข้าเสนอรายชื่อเรียกร้องให้บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของโลก เช่น บริษัท  Total และ บริษัท Chevron ระงับการลงทุนในโครงการท่อก๊าซออกไปเพื่อตัดสายสัมพันธ์และไม่เป็นแหล่งรายได้ให้กับกองทัพเมียนมา

การดำเนินการของบริษัทไทยในโครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องนี้ อาจส่งผลให้ทางคณะรัฐประหารซึ่งนำโดยกองทัพเมียนมาสร้างความมั่งคั่งจากรายได้ในส่วนนี้ และนำไปสร้างความรุนแรงต่อชาวเมียนมาผู้ออกมาปกป้องประชาธิปไตยและประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นการขัดต่อหลักการด้านสิทธิมนุษยชน และหลักมนุษยธรรม 

เพื่อเป็นการแสดงเจตนารมณ์ตามที่บริษัทได้ประกาศนโยบายยึดแนวทางปฏิบัติตามหลักการด้านสิทธิมนุษยชนตามหลักการของสหประชาชาติ (UHDR) ปฏิญญาองค์กรสากลด้านแรงงาน (ILO) และเป็นสมาชิกของการเข้าร่วมเป็นภาคีของข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact: UNGC) ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา และมีนโยบายสิทธิมนุษยชนยึดตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UNGP on BHR)

เราในนามคณะทำงานติดตามความรับผิดชอบของการลงทุนข้ามพรมแดน (ETOs Watch Coalition) และองค์กรที่ร่วมลงชื่อแนบท้ายจดหมายนี้ รวม 76 องค์กร จึงขอเรียกร้องให้ ปตท. สผ. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ลงทุนร่วมในโครงการท่อก๊าซยาดานา, โครงการเยตากุน และเป็นผู้ดำเนินโครงการซอติก้า รวมถึงบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้รับซื้อก๊าซที่ผลิตได้ ระงับการส่งเงินรายได้ให้กับบริษัท MOGE (ซึ่งขณะนี้ถูกควบคุมโดยกองทัพเมียนมา) และนำเงินรายได้ในส่วนนี้ไปไว้ในบัญชีดูแลผลประโยชน์ของคู่สัญญาหรือบัญชีที่ได้รับการปกป้อง (escrow account/protected account)ตามที่ทางคณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพ (CRPH) ได้ร้องขอไปยังบริษัทของท่าน จนกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจะได้กลับเข้ามาปกครองประเทศ และนำประเทศเมียนมากลับเข้าสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย การจ่ายเงินไปยังบัญชีของ MOGE ที่ขณะนี้ถูกควบคุมโดยผู้ก่อการรัฐประหารอาจถือเป็นการละเมิดนโยบายด้านสิทธิมนุษยชนที่ประกาศต่อสาธารณะได้ 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net