สถานการณ์ COVID-19 7 ม.ค.64
- พบผู้ป่วยรายใหม่ 305 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 9,636 ราย หายป่วยแล้ว 4,521 ราย เสียชีวิตสะสม 67 ราย
- วัคซีนลอตแรกซิโนแวกซ์ของจีนให้ 5 จังหวัดควบคุมสูงสุดเข้มงวดก่อน
- ประธานสภาลงนามในระเบียบประชุม กมธ.ออนไลน์
- ออสเตรเลียเรียกร้องจีนยอมให้องค์การอนามัยโลกสืบที่มาโควิด
- รพ.มหาราชนครราชสีมาเข้มรับมือ
- บอร์ด สปสช. เตรียมจัดสรรงบเงินกู้ฯ 2.99 พันล้านบาทรับมือ
7 ม.ค.2564 ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์ติดเชื้อ COVID-19 วันที่ 7 ม.ค. 2564 ผู้ป่วยรายใหม่ 305 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 9,636 ราย หายป่วยแล้ว 4,521 ราย เสียชีวิตสะสม 67 ราย
ผู้ป่วยรายใหม่ 305 ราย แบ่งเป็น ติดเชื้อในประเทศ 193 ราย ติดเชื้อในแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน (คัดกรองเชิงรุก) 109 ราย ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศไม่เข้าสถานกักกัน 1 ราย และเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ 2 ราย
สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั่วโลก ยอดผู้ติดเชื้อรวม 87,636,539 ราย อาการรุนแรง 108,031 ราย รักษาหายแล้ว 63,129,003 ราย เสียชีวิต 1,890,791 ราย
วัคซีนลอตแรกซิโนแวกซ์ของจีนให้ 5 จังหวัดควบคุมสูงสุดเข้มงวดก่อน
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวถึงการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ว่า เมื่อได้รับวัคซีนโควิด -19 จากซิโนแวกซ์ของจีนที่ในเดือนกุมภาพันธ์ จะได้รับ 2 แสนโดส แรกจะกระจายให้กับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดใน 5 จังหวัดได้แก่ สมุทรสาคร ระยอง ชลบุรี ตราดและจันทบุรี เพื่อใช้ในการลดอัตรการป่วยและควบคุมป้องกันโรค โดยผู้ที่ได้รับจะเป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ทั้งภาครัฐและเอกชน , อสม.อีก 80,000 คน และเจ้าหน้าที่หน้าด่านในการควบคุมโรค ทั้งฝ่ายความมั่นคง รวมถึงผู้ปฏิบัติหน้าที่ รพ.สนาม
นพ.โอภาส กล่าวว่า จากนั้นในเดือนมีนาคมถึงเมษายนจะได้รับอีกวัคซีน 8 แสนโดส และ 1 ล้านโดสจะทยอยให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว ทั้งหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคปอด ไตและผู้ที่มีภาวะอ้วน ด้วย และผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป จะทำการฉีดในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 23 จังหวัด จากนั้นในเดือน พ.ค.ที่จะได้รับวัคซีน 26 ล้านโดส จะฉีดให้กับประชาชนทั่วไป ตั้งใจฉีดให้ครบร้อยละ 70 เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ เพื่อหยุดยั้งการระบาดของโรค โดยคาดว่าจะทยอยฉีดไปจนถึงต้นปี 2565 เพราะประชากร1 คน ต้องได้รับวัคซีน 2 เข็ม และห่างกันเข็มละ 4 สัปดาห์ เพื่อให้เกิดการสร้างภูมิคุ้ม
ประธานสภาลงนามในระเบียบประชุม กมธ.ออนไลน์
สมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร แถลงความคืบหน้าเกี่ยวกับระเบียบสำหรับการประชุมคณะกรรมาธิการผ่านช่องทางออนไลน์ว่า ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงนามในระเบียบสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ของคณะกรรมาธิการ พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นระเบียบที่สอดรับกับข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 แล้ว โดยระเบียบดังกล่าวจะทำให้สามารถประชุมคณะกรรมาธิการสามัญ คณะกรรมาธิการวิสามัญ และคณะอนุกรรมาธิการต่าง ๆ ของสภาผู้แทนราษฎร ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ และในการจัดประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้น ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ดำเนินการ
ทั้งนี้ ระเบียบดังกล่าวให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
ออสเตรเลียเรียกร้องจีนยอมให้องค์การอนามัยโลกสืบที่มาโควิด
มาริส เพย์น รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศของออสเตรเลียกล่าวว่า รัฐบาลออสเตรเลียต้องการให้ทางการจีนอนุญาตให้ทีมงานขององค์การอนามัยโลกเดินทางเข้าประเทศได้ในทันที ทั้งยังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่จำเป็นต้องให้องค์การอนามัยโลกมีส่วนร่วม และว่า รัฐบาลออสเตรเลียคาดหวังจะได้เห็นผลการศึกษาที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือของนานาชาติในจีน ออสเตรเลียเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นแกนนำในการออกมาเรียกร้องให้เกิดการตรวจสอบอย่างเป็นอิสระเพื่อหาที่มาของโรคโควิด-19 ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศร้าวฉาน จีน ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการค้าชั้นนำของออสเตรเลียได้ประกาศจำกัดการนำเข้าเนื้อวัวจากออสเตรเลีย เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรของไวน์ออสเตรเลีย รวมถึงสั่งให้โรงงานในจีนหยุดซื้อฝ้ายจากออสเตรเลียอีกด้วย
ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกกล่าวว่า เขารู้สึกผิดหวังอย่างมากที่จีนยังคงไม่อนุญาตให้ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านโรคโควิด-19 จากนานาประเทศเดินทางเข้าประเทศ ทั้งนี้ คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเชื้อไวรัสโคโรนาแพร่ระบาดครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่นในช่วงปลายปี 2562 ก่อนที่จะแพร่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งทำให้มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 86 ล้านคนและผู้เสียชีวิตกว่า 1.8 ล้านคน
รพ.มหาราชนครราชสีมาเข้มรับมือ
นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผู้
นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ในส่
นอกจากนี้ ในกรณีผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดหรื
"ในช่วงนี้พื้นที่เรายังเป็นพื้
บอร์ด สปสช. เตรียมจัดสรรงบเงินกู้ฯ 2.99 พันล้านบาทรับมือ
ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา มีการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) ครั้งที่ 1/2564 โดย อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ในฐานะประธานบอร์ด สปสช. พร้อมด้วยกรรมการบอร์ด สปสช. ได้เข้าร่วมประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ขณะนี้
ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ด สปสช. รับทราบยอดงบประมาณเพิ่มเติมจำนวน 2,999.69 ล้านบาท ที่ได้รับตาม พ.ร.ก.กู้เงินฯ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2563) สำหรับบริการกรณีโควิด-19 และรายการอื่นที่เกี่ยวข้องกรณีโควิด-19 พร้อมมอบ สปสช.จัดทำร่างหลักเกณฑ์การดำเนินงานและการบริหารจัดการกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติฯ ปีงบประมาณ พ.ศ.2564 (ฉบับที่ 3) เพื่อรองรับ และให้นำเสนอต่อบอร์ด สปสช. พิจารณาต่อไป
อนุทิน กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ด สปสช. วันนี้มีหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 โดยเฉพาะในวาระนี้ที่เป็นการจัดสรรงบประมาณที่ได้รับจาก พ.ร.บ.เงินกู้ฯ เพื่อรับมือสถานกาณ์โควิด-19 โดยสนับสนุนหน่วยบริการให้บริการกรณีโควิด-19 ให้กับประชาชน ขณะเดียวกันเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนถึงการเตรียมความพร้อมของระบบรักษาพยาบาลที่มีกองทุนบัตรทองรองรับ ช่วยลดความวิตกกังวล ซึ่งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมเต็มที่ในการับสถานการณ์
“เราเสียใจที่มีเกิดการแพร่ระบาดอีกครั้ง แต่เรามั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรบกพร่อง แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากการทำผิดกฎหมายและอยู่นอกการควบคุม โดยเราจะทำความพร้อมที่มีอยู่ รวมถึงงบประมาณจัดสรรในครั้งนี้มาควบคุมและแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 โดยเร็วที่สุด” อนุทิน กล่าว
นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า งบจำนวน 2,999.69 ล้านบาทดังกล่าว เป็นงบเพิ่มเติมงวดแรกเพื่อใช้สนับสนุนการให้บริการโควิด-19 และรายการที่เกี่ยวข้องในช่วง 6 เดือน เดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2564 เบื้องต้นจัดสรรเป็นค่าบริการกรณีโควิด-19 จำนวน 2,228.68 ล้านบาท แยกเป็นค่าบริการป้องกันการติดเชื้อฯ 1,972.84 ล้านบาท ตามเป้าหมายบริการ 486,700 คน ค่ารักษาพยาบาล 255.85 ล้านบาท เป้าหมายบริการ 3,022 คน และรายการอื่นที่เกี่ยวข้อง 771.01 ล้านบาท แยกเป็นบริการวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 317.61 ล้านบาท เป้าหมายบริการ 2,365.90 ล้านคน เงินช่วยเหลือเบื้อต้นผู้ให้บริการกรณีโควิด-19 จำนวน 87.4 ล้านบาท เป้าหมาย 300 คน และค่าบริการตามสิทธิประโยชน์ระบบบัตรทองในกลุ่มคนว่างงาน 366 ล้านบาท เป้าหมายบริการ 137,000 คน
ส่วนค่าบริการกรณีโควิด-19 ในเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2563 ก่อนหน้านี้ ช่วงเริ่มต้นปีงบประมาณ 2564 สปสช. ได้นำงบคงเหลือจ่ายจากบริการกรณีโควิด-19 ปี 2563 จำนวน 471.42 ล้านบาท มาเบิกจ่ายให้กับหน่วยบริการแล้ว
“งบ 2,999.69 ล้านบาทนี้ คาดว่าจะใช้เฉพาะในช่วง 6 เดือนก่อน หากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงจะมีการทำเรื่องขอเพิ่มเติมอีกครั้ง ซึ่งจะมีการปรับให้สอดคล้องกับความเป็นจริง อย่างต้นทุนบริการบางอย่างที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ค่าตรวจแลบ RT-PCR ที่ปัจจุบันลดลง เป็นต้น” เลขาธิการ สปสช. กล่าว
ที่มา : เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล สำนักข่าวไทย และสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)