สมาคมนักกฎหมายสิทธิฯ แจ้ง ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดี 'อภิชาต' ชูป้ายต้านรัฐประหาร 14 ส.ค.นี้
9 ส.ค.2562 สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) แจ้งว่า 14 ส.ค.นี้ เวลา 9.00 น. ที่ศาลแขวงปทุมวัน ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีหมายเลขดำที่ 1097/2559 และคดีหมายเลขแดงที่ 9075/2559 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด กับ จ่าสิบเอกอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ ในคดีความผิดต่อ พ.ร.บ.กฎอัยการศึกและความผิดต่
สำหรับคดีนี้ สืบเนื่องจากกรณีการทำกิ
โดยคดีนี้ เมื่อวันที่ 31 พ.ค.61 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาว่ามีความผิดตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12 แต่ไม่ให้ลงโทษจำคุก ให้ลงเฉพาะโทษปรับ เพราะเห็นว่าเขาเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบ ไม่มีการใช้กำลังรุนแรงก่อให้เกิดความวุ่นวายหรือความเสียหายใดๆต่อผู้อื่น ไม่ได้ต่อต้านขัดขวางหรือขัดขืนการจับกุม พฤติการณ์แห่งคดีนับว่าไม่ร้ายแรง และได้พิพากษายกฟ้องความผิดชุมนุมมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคแรก เพราะเห็นว่าการชุมนุมของจำเลยเป็นไปโดยสงบ ไม่เข้าข่ายเป็นการมั่วสุมฯ ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน http://naksit.net/2019/01/casedata/
คลิปเหตุการณ์ อภิชาติ พงษ์สวัสดิ์ ถูกทหารจับหลังชุมนุมค้านรัฐประหารที่หอศิลป์ กทม. ขณะที่มีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อย 5 ร้ายเมื่อคืนวันที่ 23 พ.ค. 2557
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ชี้ไว้ในรายงานประจำปี "5 คดีสิทธิปี 2561 กับประเด็นที่กระบวนการยุติธรรมต้องทบทวนปี 2562" ด้วยว่า ในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีนี้ยังคงยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหาร กล่าวคือ ศาลยังเห็นว่าเมื่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้กำลังยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงรัฐบาลตามนัยของระบอบแห่งการรัฐประหารได้เป็นผลสำเร็จแล้ว คณะรักษาความสงบแห่งชาติย่อมมีอำนาจที่จะออกประกาศหรือคำสั่งใดๆอันถือเป็นกฎหมายตามระบอบแห่งการรัฐประหารมาใช้ในการบริหารประเทศชาติได้ ส่วนสิทธิในการต่อต้านโดยสันติวิธีต่อการทำรัฐประหารและหน้าที่พิทักษ์รักษาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 69 และ 70 ที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าเมื่อรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงแล้ว จำเลยไม่อาจยกรัฐธรรมนูญดังกล่าวขึ้นกล่าวอ้างได้อีก จำเลยจึงยังมีความผิดตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 ข้อ 12
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ยังคงเดินตามแนวทางของคำพิพากษาศาลฎีกาก่อนหน้านี้ เช่น คำพิพากษาศาลฎีกา 45/2496 และคำพิพากษาศาลฎีกา 1662/2505 โดยยอมรับว่าเมื่อคณะรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองสำเร็จแล้ว จึงมีสถานะเป็น “รัฐาธิปัตย์” ย่อมมีอำนาจออกประกาศหรือคำสั่งอันมีผลเป็นกฎหมายขึ้นใช้บังคับได้ แต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีนี้ โดยการวินิจฉัยของที่ประชุมใหญ่ศาลอุทธรณ์ ได้หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า “รัฐาธิปัตย์” แต่ได้มีการประดิษฐ์ถ้อยคำใหม่ขึ้นมาคือ ระบอบแห่งการรัฐประหาร ซึ่งไม่เคยปรากฏในคำพิพากษาฉบับก่อนหน้านี้เลย จะใกล้เคียงหน่อยก็คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2496 ที่ใช้ถ้อยคำว่า ระบบแห่งการปฏิวัติ
สำหรับประเด็นว่า ระบอบแห่งการรัฐประหาร คืออะไรนั้น ยังไม่ได้มีคำอธิบายที่ชัดเจน อย่างไรก็ดี ศาสตราจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักวิชาการที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชนได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ในบทสัมภาษณ์ของสำนักข่าวประชาไท ว่า “ระบอบแห่งการรัฐประหารที่ใช้ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์นี้ มันเป็นระบอบโดยตัวมันเองหรือจริงๆเป็นแค่ระบบ สำหรับผมการรัฐประหารไม่ใช่ระบอบ เรียกว่าระบบรัฐประหารน่าจะถูกกว่า มันเป็นระบบแห่งการรัฐประหาร ซึ่งสังกัดกับระบอบที่ครอบระบบอีกที ส่วนระบอบที่ครอบรัฐประหารคืออะไร ก็สุดสติปัญญาผมที่จะอธิบายได้” ซึ่งความเห็นดังกล่าวก็ค่อนข้างสอดคล้องกับถ้อยคำที่เคยปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2496 ที่ใช้คำว่า ระบบแห่งการปฏิวัติ ไม่ได้ใช้คำว่าระบอบ การที่ศาลอุทธรณ์ใช้คำว่าระบอบนั้น ย่อมมีนัยสำคัญอะไรบางอย่าง หรืออาจแสดงให้เห็นว่าศาลยอมรับการรัฐประหารว่าเป็นระบอบหนึ่งไปแล้ว
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)