Skip to main content
sharethis

บทสัมภาษณ์ แกนนำคนอยากเลือกตั้ง 'โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา' ตั้งแต่ ประวัติส่วนตัว บทบาทความเป็นแม่ การเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ผลกระทบจากการทำกิจกรรม การรับมือกับแรงกดดัน การดำเนินคดีกับผู้ที่ปล่อยคลิป จนถึงความหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้

นับจากการรัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา มีกลุ่มคนผู้รักประชาธิปไตยกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมจำนนต่ออำนาจเผด็จการ ได้รวมตัวและลุกขึ้นยืนหยัดต่อต้านความไม่ชอบธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย รวมทั้งเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับประชาชนคนธรรมดาที่ถูกเรียกไปปรับทัศนคติในค่ายทหาร หรือประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ถูกจับและฟ้องร้องดำเนินคดีจากการใส่ร้ายป้ายสีหรือถูกกลั่นแกล้งยัดเยียดข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จต่างๆ นานา ทั้งๆ ที่การเคลื่อนไหวเหล่านั้นยังอยู่ในกรอบของกฎหมาย ทำให้บางคนซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ได้มีบทบาทหรือมีส่วนร่วมกับการเมืองมากนัก ทนต่อเหตุการณ์ที่ไม่ยุติธรรมเช่นนี้ไม่ได้ จึงเกิดแรงบันดาลใจและพลิกผันตัวเองให้ก้าวขึ้นมายืนแถวหน้าในขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง ในที่สุดก็กลายมาเป็นหนึ่งในนักกิจกรรมทางการเมืองที่มุ่งมั่นตั้งใจและมีพลังมากที่สุดคนหนึ่ง

เธอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาในสังคมเมืองที่มีวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย มีเส้นทางชีวิตทั้งการเรียนและการทำงานที่เป็นที่ใฝ่ฝันของผู้หญิงหลายคน เหตุใดและทำไมจึงต้องออกมายืนกลางแจ้งเพื่อต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย เหตุใดและทำไมจึงไม่ยอมจำนนต่อความไม่ถูกต้องและกล้าท้าทายอำนาจรัฐที่ไม่ชอบธรรม เหตุใดและทำไมจึงยังอดทนและไม่ยอมแพ้ต่อการถูกข่มขู่คุกคามจากผู้มีอำนาจนอกระบบ เธอผู้นี้ชื่อ โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา

1. อยากให้คุณโบว์ช่วยแนะนำประวัติส่วนตัวอย่างย่อๆ?

โบว์เกิดที่กรุงเทพฯ ในครอบครัวคนชั้นกลาง เรียนหนังสือในโรงเรียนเอกชน เริ่มต้นเรียนประถมที่อัสสัมชัญศึกษา หลังจากนั้นก็ไปต่อที่สาธิตปทุมวันและเตรียมอุดมศึกษา เมื่อสอบเทียบ ม.4 ได้ จึงสอบเอ็นทรานส์เข้าคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เมื่อเรียนจบมาก็ทำงานในบริษัทเอกชน มหาวิทยาลัย สถานทูต และองค์กรระหว่างประเทศ สายงานบริหารการตลาดสื่อสารองค์กร หลังจากนั้นก็ออกมาทำกิจการส่วนตัว สถานสันทนาการส่งเสริมพัฒนาการเด็ก จากนั้นก็ทำงานฟรีแลนซ์เป็นวิทยากร พิธีกรรายการทีวี  เป็นวิทยากรอิสระฝึกอบรมให้กับหน่วยงานและองค์กรต่างๆ เป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัย สอนภาษาและการสื่อสาร การตลาด บุคลิกภาพ ช่วงที่ทำงานฟรีแลนซ์จะอยู่ในช่วงรัฐประหารปี 2557  หลังจากนั้นก็ได้จัดสรรเวลามาเริ่มทำกิจกรรมในการเคลื่อนไหวทางการเมืองและสิทธิพลเมือง

2. ในบทบาทของคุณแม่ คุณโบว์มีวิธีเลี้ยงลูกอย่างไรให้เชื่อมั่นและเข้าใจในวิถีทางประชาธิปไตย?

ประชาธิปไตยเป็นวิถีชีวิต ไม่ว่าครอบครัวไหนที่มีความเชื่อและค่านิยมแบบประชาธิปไตย ก็จะมีการรับฟังและการเคารพซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องสอนอะไรเป็นพิเศษ นอกจากเป็นตัวอย่างให้ดูในทุกๆ วัน และลูกก็เรียนอยู่ในโรงเรียนนานาชาติซึ่งมีสังคมประชาธิปไตยอยู่แล้ว ได้เรียนรู้ในวัฒนธรรมการตั้งคำถาม การรับฟัง การคิดวิเคราะห์วิจารณ์ การเคารพความแตกต่างหลากหลาย เป็นต้น ดังนั้นลูกจึงเกิดและเติบโตมาในบรรยากาศแบบประชาธิปไตย

3. การแบ่งเวลาให้สมดุลระหว่างเรื่องงานและครอบครัว มีวิธีแบ่งเวลาอย่างไรบ้าง?

การทำกิจกรรมก็เหมือนใช้เวลากับงานฟรีแลนซ์อีกงานหนึ่ง เพียงแต่เป็นงานที่มีแต่รายจ่ายซึ่งก็ไม่ได้หนักหนาอะไร จึงไม่มีปัญหาในการแบ่งเวลาให้กับลูกแต่อย่างใด เราออกไปทำกิจกรรมบ้าง แต่การสื่อสารส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ การสื่อสารประเด็นบนเฟซบุ๊คซึ่งโพสต์ได้ทันทีที่คิด ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเช่นกัน

4. ตั้งคาดหวังหรือวางอนาคตของลูกไว้อย่างไร อยากให้ลูกเติบโตขึ้นมาในลักษณะแบบใด?

จะให้เป็นไปตามธรรมชาติเราทำหน้าที่ของแม่ดูแลร่างกายจิตใจให้การศึกษา ส่วนที่เหลือเป็นปัจจัยที่ติดมากับชีวิตลูก ไม่ต้องไปควบคุมทุกอย่าง โบว์คิดว่าเราเน้นให้การศึกษาที่ดีให้ความรักความอบอุ่น เป็นแม่ที่ไม่ดุลูก และทำให้ลูกรู้สึกถึงความรักที่มีอยู่ตลอดเวลา อยากให้ลูกมีต้นทุนเป็นจิตใจที่อ่อนโยน เป็นคนสุภาพ ไม่เป็นมลภาวะสังคม บางครั้งคนทั่วไปอาจจะคิดว่า ถ้าต้องการให้ลูกเป็นคนสุภาพเรียบร้อยมีสัมมาคารวะ  จะต้องเข้มงวดและดุ จริงๆ บ่อยครั้งวิธีแบบนั้นให้ผลตรงข้าม

4. คุณโบว์อยู่ในสังคมชนชั้นกลางที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย แล้วทำไมต้องมายืนอยู่กลางแจ้งเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้ทำเช่นนี้?

เมื่อเราอยู่ในสังคมที่มีแต่ความสะดวกสบาย พอเรารับรู้โลกในอีกด้านหนึ่งความขัดกันของชีวิตประจำวันกับสิ่งที่ได้รับรู้ก็กระทบความรู้สึกค่อนข้างรุนแรง หลังรัฐประหารเรารู้ว่ามีผู้บริสุทธิ์ถูกละเมิด ถูกรังแก มีคนถูกจับเข้าค่ายทหาร ก็อยู่เฉยๆ ยาก ตอนเด็กๆ มันไม่ได้มีบริบททางการเมืองที่ทำให้เรารู้สึกอะไรมาก แต่การเปิดตาครั้งแรกน่าจะเป็นตอนเรียนที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ได้เรียนประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยทำให้ได้รู้ถึงแง่มุมของสังคมและประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยได้เรียนรู้สมัยอยู่ในโรงเรียน ทำให้รู้ว่าอำนาจที่ครอบงำสังคมไทยไม่ได้บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างที่เข้าใจกัน

5. ทำไมถึงเลือกที่จะเป็นนักกิจกรรมหรือนักเคลื่อนไหวทางการเมือง?

จะว่าเลือกก็ไม่ได้มันมากับสถานการณ์ คนเรามีความหลงใหล มี passion ที่แตกต่างกัน เช่น บางคนมี passion กับหมาข้างถนนก็ไปทำมูลนิธิหมาข้างถนน บางคนมี passion กับคนไร้บ้านก็ไปทำเรื่องคนไร้บ้าน หรือใครมี passion กับศาสนา วันเสาร์อาทิตย์ก็ไปเข้าวัด แต่โบว์มี passion กับการเมืองและสิทธิมนุษยชน มันก็เลยพาเรามาตรงนี้ อาจจะดูแปลกไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องพวกนี้ในระดับนี้ เพราะมีความเสี่ยงสูงกับการถูกดำเนินคดีด้วย จึงทำให้คนที่อยู่ตรงนี้มีน้อยเพราะบริบททางการเมืองขณะนี้ไม่เอื้ออำนวย

6. การเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้นส่งผลกระทบต่อตัวเองและคนรอบข้าง เคยมีความคิดหรือไม่ว่า เราไม่น่าเข้ามาทำงานตรงนี้เลย อยู่แบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว ผลกระทบที่เกิดขึ้นเรารับมืออย่างไร?

ผลกระทบที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้รู้สึกว่า ต้องทำให้เต็มที่มากขึ้นเพราะถ้าพูดถึงคดีความที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยสุจริต แต่โบว์และพี่น้องอีกเป็นร้อยคนกลับถูกดำเนินคดีความยิ่งเป็นอีกหลักฐานที่ทำให้เห็นชัดว่า สิ่งที่เราต่อต้านมันเลวร้ายจริงๆ ก็ยิ่งเป็นเหตุผลให้ต้องทำงานหนักให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้มีคนโดนอย่างเรามากขึ้นอีก เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะสังคมขาดการรับรู้ เราจึงพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยใช้สิ่งที่เป็นจุดแข็งของเราก็คือ ทักษะในการสื่อสาร ก็พยายามสื่อสารผ่านการเขียนไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ค ไลฟ์ หรือการสัมภาษณ์ ร่วมงานเสวนา เพราะอยากจะสื่อสารให้คนรับรู้เป็นจำนวนมากสังคมที่มีปัญญาจะไม่ถูกผู้มีอำนาจรังแก

7. คนรอบข้างและคนในครอบครัวให้กำลังใจหรือให้คำแนะนำอย่างไรบ้าง เวลาที่ถูกข่มขู่คุกคามจากอำนาจรัฐ?

พ่อแม่จะรู้ว่าโบว์มีลักษณะนิสัยอย่างไร  คุณแม่เลี้ยงมาในลักษณะให้โอกาสทำกิจกรรมหลายๆ อย่าง เช่น  เล่นดนตรี เล่นกีฬา ซึ่งก็สร้างทักษะในการแสดงออกทำให้เรามีความกล้าแสดงออก พ่อแม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำ รู้ว่าห้ามไม่ได้ด้วย ท่านก็มีความมั่นใจว่าเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง เชื่อมือว่า เราก็น่าจะเอาอยู่ แต่ก็บอกให้ระวัง คุณพ่อไม่ค่อยห่วงถ้าโบว์จะเคลื่อนไหวคนเดียว แต่จะห่วงหากโบว์จะไปเคลื่อนไหวกับใคร เพราะมันจะเกิดปัจจัยที่เราควบคุมไม่ได้ ส่วนลูกชายก็รับรู้ เราเล่าเท่าที่เหมาะกับวัยที่ควรจะรู้ ก็เป็นห่วงกันแต่ก็คงไม่กังวลอะไรมาก โบว์เป็นคนไม่วิตกจริตและไม่นิยมความวิตกจริต

8. ความเครียดที่เกิดขึ้นมีวิธีบริหารจัดการหรือรับมืออย่างไร มีวิธีระบายความเครียดหรือลดความกดดันอย่างไร เพื่อให้กลับมาสดชื่น มีพลังและทำงานต่อไปได้?

ปกติโบว์ไม่ค่อยรู้สึกเครียดกับเรื่องอะไร และไม่คิดว่าถ้าเราเครียดแล้วต้องเบี่ยงเบนความสนใจไปทำเรื่องอื่น ถ้าโบว์เครียดกับเรื่องอะไร เราจะคิดให้เสร็จคิดให้จบเป็นคนไม่คิดวนไปวนมา คิดจบก็คือจบ ทุกเรื่องมีทางออกเสมอ เรื่องคดีความก็เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่บางทีเวลาเจอ Cyber bullying หรือการคุกคามออนไลน์มากๆ และต่อเนื่องยาวนาน มันก็มีรู้สึกเหมือนกันว่าหนักมาก จนถึงจุดหนึ่งเรารู้แล้วว่า คนแบบนั้นเค้าไม่ได้ต้องการความจริงหรือคำอธิบายอะไร นี่เป็นความบันเทิงของเขา จนบางทีเราก็มองเป็นเรื่องตลกไปได้ แม้จะรู้ว่าเป็นปัญหาสังคมและเราต้องลงแรงพัฒนากันยาวๆ แต่ต้องมีอารมณ์ขัน บางเรื่องมันซีเรียสมากเราอาจจะต้องสำรวม แต่มันก็มีมุมให้เล่นมุกตลกในหัวตัวเองก็มี

9. สิ่งใดที่เป็นพลังและขับเคลื่อนให้เรายังคงมุ่งมั่นตั้งใจทำงานนี้ต่อไป?

สิ่งที่ขับเคลื่อนเราก็คือ ความเลวร้ายของระบบเผด็จการที่เกิดขึ้น ถ้าเค้าไม่รังแกประชาชนผู้บริสุทธิ์ เราก็อยู่เฉื่อยๆ สบายๆ ถ้าช่วงไหนที่รัฐบาลละเมิดสิทธิประชาชนหรือลุแก่อำนาจมากขึ้น โบว์ก็จะมีลูกฮึดขึ้นมา ส่วนกำลังใจก็มาจากผู้คนรอบข้าง เช่น พี่ๆ น้องๆ ที่มาทำกิจกรรมด้วยกันหรือคนที่มาให้กำลังใจในเฟซบุ๊ค

10. การเป็นนักกิจกรรมทางการเมืองพบเจอปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง?

มันเป็นบทบาทที่ตั้งอยู่บนอุปสรรคอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่มีอุปสรรคก็ไม่มีการเคลื่อนไหวจะไหวหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำและศักยภาพที่เรามีมันไปด้วยกันได้หรือไม่ ถ้าไปด้วยกันได้ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่การเคลื่อนไหวในลักษณะชุมนุมใหญ่ๆ ก็มีอุปสรรคด้านค่าใช้จ่ายและการบริหารจัดการค่อนข้างมาก แต่แนวทางส่วนตัวเราไม่ได้ถนัดและไม่ได้อยากทำถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวของโบว์จะเน้นการสื่อสารกับสังคมและผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องเป็นหลักจึงไม่ค่อยมีอุปสรรค

11. ช่วงนี้จะมีการทำ IO หรือปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารของทหารเกี่ยวกับคุณโบว์  มีวิธีรับมือกับเรื่องที่เป็นเท็จอย่างไรบ้าง?

ตอนแรกจะรู้สึกว่ารุนแรงเพราะการปล่อยข่าวเท็จบางอย่างมันนำมาสู่การข่มขู่ทำร้ายด้วย ก็จะไปร้องทุกข์และแจ้งความ แต่พอช่วงหลังรู้ว่ากระบวนการแจ้งความนั้นเสียเวลาค่อนข้างมากและไม่ใช่วิธีที่จะหยุดสิ่งเหล่านี้ได้ ก็เลยปล่อยๆ ไปเยอะ แต่ถ้าคิดว่ามีสิ่งที่อาจเกิดความเสียหายร้ายแรงก็จะอธิบายให้ทุกคนทราบตามช่องทางการสื่อสารของเรา หรือถ้าประเมินว่าอันตราย อย่างที่เคยมีคนพยายามจะโยงเราไปเรื่อง ม.112 ก็ไปแจ้งความเลย อย่างน้อยก็ได้มีการบันทึกข้อเท็จจริงไว้เป็นหลักฐาน

12. ตั้งแต่เริ่มต้นทำงานกิจกรรมทางการเมืองเพื่อนในเฟซบุ๊คได้อันเฟรนด์ไปมากน้อยแค่ไหน?

ไม่เคยไปตามนับ ก็มีบ้างที่รู้โดยบังเอิญ แต่โบว์ไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องเหล่านี้ ไม่เคยโกรธ เป็นสิทธิของทุกคนในการบริหารจัดการ News Feed ของตัวเอง

13. มีความหวังกับคนรุ่นใหม่ในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไร สังคมไทยสามารถคาดหวังกับพวกเขาเหล่านั้นว่า จะเข้ามามีบทบาทช่วยเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยได้มากน้อยแค่ไหน?

โบว์ไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษ อาจจะต้องนิยามคำว่าคนรุ่นใหม่ด้วยว่าหมายถึงอะไร เรานึกถึงสิ่งเดียวกันมั้ย ถ้าคุยเรื่องการเมืองไทยแล้วพูดถึงนักศึกษาหรือคนอายุ 18-25 ปี ซึ่งโบว์ทำงานสอนก็จะเห็นว่าโดยทั่วไปเขายังมีความเป็นเด็กสูง คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ยังไม่มีประสบการณ์ชีวิตมากพอที่จะรับรู้และเข้าใจว่า  จริงๆ แล้วการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของทุกคน เพราะคนกลุ่มนี้โดยเฉพาะในหมู่คนชั้นกลางก็ยังใช้เงินพ่อแม่อยู่ เพราะฉะนั้นพวกเขามักยังไม่รู้สึกถึงความกระทบกระเทือนจากสภาพเศรษฐกิจยังไม่ต้องพูดถึงแง่มุมอื่นจนทำให้การเมืองยังห่างไกลจากชีวิต กลุ่มคนอายุเท่านี้ในเมืองไทยมีความเป็นผู้ใหญ่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศตะวันตกที่ครอบครัวปล่อยให้เป็นอิสระมากกว่า ส่วนตัวเองจึงไม่ได้ตั้งความหวังกับพวกเขามากสักเท่าไหร่  แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สำคัญ แค่คนที่สนใจการเมืองจริงๆ มีสัดส่วนน้อยเกินกว่าจะมีนัยยะสำคัญในการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลง

แต่โดยรวมก็อยากให้คนไทยหันมาสนใจและใส่ใจการเมืองมากขึ้นเพื่อให้การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกที่มีคุณภาพ บริสุทธิ์ ยุติธรรม และเปลี่ยนแปลงอนาคตของประเทศได้

14. มีแนวคิดที่จะสมัครเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองหรือไม่  เพื่อจะได้มีเกราะกำบังคุ้มครองป้องกันตัวเองจากการถูกคุกคามจากอำนาจนอกระบบที่ไม่เป็นธรรม?

งานการเมืองเป็นงานที่ดีต่อสังคมโดยรวมสำหรับคนที่มีใจรักจะทำและมีความสามารถ ซึ่งก็เห็นว่ามีอยู่ในปริมาณที่มากพอสมควรในสังคมไทยตอนนี้ และโบว์คิดว่าอาจจะไม่เหมาะกับลักษณะนิสัยของเราที่ต้องการความเป็นอิสระสูงมาก ถ้าเป็นนักการเมืองที่สังกัดพรรการเมืองแล้วจะต้องเคารพมติพรรค อาจพูดได้บางเรื่อง และบางเรื่องอาจพูดไม่ได้หรือไม่เต็มที่มีข้อจำกัดพอสมควรและในการแข่งขันทางการเมืองทำให้เราต้องปกป้องพรรคของตัวเอง ก็เลยรู้สึกว่า การไม่สังกัดพรรคจะพูดทุกอย่างได้เต็มที่มากกว่า แต่ยอมรับว่าเสียงก็จะเบากว่าด้วย เพราะถ้าสมัคร ส.ส. เมื่อพูดอะไรแล้วก็มักจะเป็นข่าวเสียงดังกว่า แต่ในความที่เสียงดังขึ้นก็อาจพูดได้ไม่ทุกเรื่องก็ต้องแลกกัน บริบทของประเทศตอนนี้ยังต้องการคนที่เคลื่อนไหวแล้วสามารถพูดได้ทุกเรื่อง พูดให้ทุกพรรคยังได้ด้วยเพื่อปกป้องสิทธิทางการเมืองของประชาชน ตอนนี้ก็คิดว่าทำให้เต็มที่กับบทบาทนี้ไป แต่เมื่อบริบททางการเมืองเปลี่ยนไป บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย โบว์ก็อาจจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ

15. อยากให้พยากรณ์สถานการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ คิดว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปแบบใด  อยากให้ลองมองอนาคตและจินตนาการดูว่าเป็นอย่างไร จะมีความสับสนวุ่นวายหรือสงบเรียบร้อยแค่ไหน?

เป็นคนไม่ค่อยคาดการณ์อะไร ภาพในอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่ปัจจุบันว่าเราทำอะไรไปบ้าง ทำวันนี้สำเร็จหรือไม่ ถ้าหากวันนี้ทำสำเร็จ คือ สามารถหยุดการสืบทอดอำนาจได้ วิกฤติการเมืองไทยก็จะคลี่คลายลง ถึงแม้ในระบบรัฐสภาจะยังมีกติกาที่เป็นปัญหาอยู่ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการคลายปมปัญหาไปทีละปม  แต่ในทางกลับกัน ถ้าต่อต้านการสืบทอดอำนาจไม่สำเร็จเราอาจไม่เหลืออะไร สภาพเศรษฐกิจสังคมการเมืองจะแย่ลงไปจากเดิมจนฟื้นตัวยาก จึงไม่อยากจะนึกถึงและไม่อยากพยากรณ์ด้วย ดังนั้นสิ่งที่เราต้องพยายามทำให้สำเร็จคือ พยายามไม่ให้การสืบทอดอำนาจเกิดขึ้นได้

16. คุณโบว์จะยุติบทบาทการเป็นนักกิจกรรมหรือนักเคลื่อนไหวทางการเมืองเมื่อไหร่?

เมื่อเรามีรัฐบาลพลเรือนที่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ เพราะเมื่อถึงเวลานั้นภาคประชาชนจะกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีโบว์ไปเติม ถ้าได้รัฐบาลพลเรือนแล้ว สักพักก็อาจยุติบทบาทเพราะคนอื่นอาจจะกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้งในประเด็นที่เขาคิดว่าสำคัญ แต่ถ้ายังไม่จบยังมีประเด็นที่ภาคประชาชนยังต้องช่วยกันลงแรงก็คงจะทำต่อไปเท่าที่จำเป็น  โบว์ไม่ได้คิดว่าจะทำไปตลอดการเคลื่อนไหวทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของสถานการณ์และความจำเป็น โดยจะประเมินว่ามีประเด็นที่รุนแรงหรือไม่ที่ต้องออกแรงช่วยกันและมีคนมาช่วยลงแรงกันเยอะหรือไม่ ถ้ามีคนมาทำเยอะแล้วโบว์ก็คงลดบทบาทลง

17. จากการสัมภาษณ์โฆษกรัฐบาล คสช. ในรายการหนึ่ง พิธีกรได้กล่าวปิดท้ายว่า  “ถ้าประเทศไทยเป็นเผด็จการขนาดนั้น พวกคุณคงไม่ได้มานั่งพิมพ์คอมเมนต์กันอย่างนี้” ข้อความลักษณะนี้จะถือเป็นความสำเร็จของเผด็จการได้หรือไม่? ที่สามารถสร้างเงื่อนไขทำให้สังคมเข้าใจว่า บ้านเมืองนี้ยังคงเป็นประชาธิปไตยอยู่  ส่วนเรื่องการเมืองเป็นเรื่องไกลตัว เป็นเรื่องของนักการเมือง นักการเมืองทำให้บ้านเมืองเกิดความขัดแย้งจนวุ่นวาย  คสช.จึงต้องเข้ามาเพื่อหยุดยั้งความโกลาหลวุ่นวายและสร้างความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้น ดังนั้นประชาชนก็ควรตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินไป ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ปล่อยให้การเมืองเป็นเรื่องของคนดี มีศีลธรรม

ถือเป็นการใช้กลยุทธ์ของเผด็จการที่ได้ผล ในการใช้การตั้งข้อหาเป็นอาวุธจัดการกับคนที่มีความคิดเห็นที่แตกต่างเพราะเมื่อเป็นการตั้งข้อหาดำเนินคดีแล้ว กระบวนการจะเกิดขึ้นที่สถานีตำรวจ อัยการ ศาล  ทำให้คนทั่วไปไม่รู้สึกหรือถ้าเราไม่บอกเวลาไปศาลคนก็ไม่รับรู้ ไม่เหมือนการเอาปืนมายิงหรือจับคนเข้าค่ายทหารเพื่อปรับทัศนคติที่จะมีภาพของความรุนแรง ซึ่ง คสช. พยายามทำให้น้อยลงจนทำให้คนทั่วไปไม่ค่อยรู้สึกเดือดร้อนใช้วิธีดำเนินคดีแทนสังคมก็ไม่รู้สึกถึงความเป็นเผด็จการ และยังมีอาวุธอีกชิ้นหนึ่งที่ใช้ได้ผลค่อนข้างมากนั่นคือ การปิดปากสื่อ คนทั่วไปจึงไม่ค่อยรู้ข้อมูลข่าวสารว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง ไม่รู้ว่ามีกี่ร้อยกี่พันคนที่ต้องไปขึ้นศาลทหาร ใครโดนคดีปิดปากบ้าง รวมทั้งการสร้างบรรยากาศความกลัวให้เกิดขึ้น จึงทำให้การรับรู้ของสังคมมีน้อยลงว่ารัฐบาลนี้ทำอะไรไปบ้าง พอคนรับรู้ข่าวสารน้อยลงคนก็จะเห็นแต่สิ่งที่อยู่รอบตัวว่าสังคมยังเป็นปกติใช้ชีวิตตามปกติกินข้าวดูหนังได้ แล้วทำไมจะต้องโวยวายหรือเคลื่อนไหวอีก ทำให้สังคมเกิดภาพว่าเผด็จการไม่ได้น่ากลัวหรือเลวร้ายอย่างที่คิด คนส่วนใหญ่จึงมุ่งสนใจปัญหาปากท้องมากกว่า เมื่อคนส่วนใหญ่ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ พวกเราจึงพยายามกระตุ้นตอกย้ำ รวมทั้งสื่อสารเพื่อบอกสังคมว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้างและมีความจำเป็นอะไรที่จะต้องออกมาช่วยกันหยุดยั้งอำนาจแบบนี้

ปัญหาใหญ่คือ สื่อก็พยายามเซ็นเซอร์ตัวเองเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยไม่ให้ถูกปิด นอกจากนี้มีกลยุทธ์ใหม่ที่รัฐบาลใช้ล่าสุด คือ การใช้เงินซื้อสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ เช่น ซื้อเวลาออกรายการทีวี นอกเหนือจากเวลาไพรม์ไทม์ที่ยึดไปแล้ว จากวันนี้ถึงวันเลือกตั้งสงครามข้อมูลข่าวสารจะทวีความเข้มข้นมากขึ้น ซึ่งวิธีนี้คือ การหาเสียงประเภทหนึ่งโดยใช้งบประมาณรัฐเพื่อซื้อสื่อ ดังนั้นคนทั่วไปจึงต้องใช้วิจารณญาณในการรับรู้ข่าวสาร รวมทั้งต้องวิเคราะห์ข้อมูลให้มากขึ้นด้วย

18. เป้าหมายชีวิตหลังจากนี้ คุณโบว์วางแผนไว้อย่างไรบ้างเมื่อเหตุการณ์กลับมาเป็นปกติแล้ว?

งานสอนหนังสือจะเป็นงานที่ทำไปได้ตลอดอยู่แล้ว ส่วนงานการเมืองถ้าหากมีความจำเป็นจริงๆ ที่ทำให้เราต้องมีบทบาทเคลื่อนไหวในเรื่องอะไร ฃ ก็ค่อยดูเป็นเรื่องๆ ไป  แต่จะไม่ใช่การสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง งานสื่อสารมวลชนก็เป็นหนึ่งในงานที่ถนัดเช่นกันหากมีโอกาสก็คงกลับไปทำ อีกอย่างที่เคยสนใจคืออยากไปเรียนต่อด้านจิตวิทยาเพื่อเป็นที่ปรึกษาให้กับคนที่มีปัญหา แต่คงต้องดูว่าเส้นทางชีวิตจะพาเราไปทางไหนอีก เพราะทุกวันนี้มันก็พาออกจากความเป็นปกติไปเยอะจนจะหาทางกลับไม่เจอแล้ว

19. ขบวนการประชาธิปไตยหรือคนที่ทำงานเคลื่อนไหวทางการเมืองมักมีความคิดเห็นไม่ค่อยตรงกัน ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามที่เป็นอนุรักษ์นิยมหรือเผด็จการ เมื่อหัวขบวนสั่งอย่างไร องคาพยพทั้งหมดก็จะทำตาม  ไม่แตกแถว ไม่ทะเลาะกัน ซึ่งแตกต่างจากฝั่งประชาธิปไตยที่เดินไปด้วยกันและทะเลาะไปด้วยกัน จึงไม่มีพลังขับเคลื่อนเท่าที่ควร?

การมีความคิดเห็นที่แตกต่างของฝั่งประชาธิปไตยไม่ใช่ปัญหา  แต่ปัญหาก็คือคนไทยไม่ได้ถูกฝึกให้สื่อสารความคิดที่แตกต่างได้อย่างมีประสิทธิภาพมากพอ เด็กไทยไม่เคยได้รับการฝึกว่า การอภิปรายถกเถียงโต้แย้งมีวิธีอย่างไรจึงจะมีประสิทธิภาพ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะหรือเกลียดกัน เพราะถ้าได้รับการฝึกตั้งแต่อยู่ในโรงเรียน ก็จะเกิดวัฒนธรรมการถกเถียงอย่างสร้างสรรค์  สามารถแยกแยะได้ว่า การพูดแบบตรงไปตรงมากับการพูดแบบก้าวร้าวนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน  คนฝั่งประชาธิปไตยบางคนมักจะคิดว่า การมีเสรีภาพก็คือนึกอยากจะพูดอะไรใส่กันก็ได้ หยาบแค่ไหนก็ได้เลยไปถึงหมิ่นประมาทกันก็ได้ โดยเฉพาะเมื่อคนพูดไม่อยู่ในจุดที่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย ซึ่งเป็นความไม่มีวุฒิภาวะ

โบว์คิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาของประชาธิปไตย  แต่เป็นปัญหาของการไม่มีวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่มีวุฒิภาวะมากพอ ปัญหาไม่ได้เกิดจากความคิดที่ไม่ตรงกันแต่ปัญหาคือเราไม่รู้วิธีคุยกัน ซึ่งทักษะเหล่านี้ต้องฝึกฝนกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นปัญหาพื้นฐานของระบบการศึกษาไทย เมื่อเรามีการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย  เรื่องเหล่านี้ก็สามารถถูกปรับปรุงผ่านการปฏิรูปการศึกษาและการสร้างค่านิยม ประเทศจะไปต่อทางไหนก็ขึ้นอยู่กับค่านิยมที่ปลูกฝังกัน

20. ความคืบหน้าการแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่ปล่อยคลิปเป็นอย่างไรบ้าง ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนใด อีกทั้งมีความรู้สึกวิตกกังวลหรือหนักใจต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างไรบ้าง?

ทนายได้ทำการแจ้งความ (ร้องทุกข์กล่าวโทษ) แล้วตามที่ได้รับมอบอำนาจไป  ตอนนี้เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนในการสอบสวนหาพยานหลักฐานต่างๆ ประกอบสำนวน  ซึ่งโบว์ไม่มีความคาดหวังอะไรมากนัก  เพราะเราเห็นอยู่แล้วว่าเรื่องนี้มีการเตรียมการเป็นอย่างดี  ทั้งการสอดแนม  แอบถ่าย  รอจังหวะเวลาถึง 5 เดือนก่อนปล่อยภาพนี้ออกมา  จึงไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้  อีกทั้งประสบการณ์ที่ผ่านมาในคดีที่เราเป็นผู้เสียหาย  ก็ไม่เคยได้รับการตอบสนอง  แต่เราก็ได้ทำในส่วนของเราเต็มที่แล้ว

21. การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มี.ค.นี้ ประชาชนในฐานะผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งควรเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมอย่างไร เพื่อช่วยให้การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรม  รวมทั้งป้องกันการโกงเลือกตั้งจากผู้มีอำนาจ?

ช่วยกันเผยแพร่ความรู้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการเลือกตั้ง  ติดอาวุธทางปัญญาให้สังคม ลองติดตามเพจ iLaw และร่วมจับตาการเลือกตั้งกับเครือข่าย FFFE (หรือเครือข่ายประชาชนที่ต้องการการเลือกตั้งที่เสรี)ในเพจเรามีฟอร์มออนไลน์สำหรับการสังเกตการณ์การเลือกตั้งให้ใช้กันได้ทั่วประเทศด้วยค่ะ

                                                                                                      

หมายเหตุ : กองบรรณาธิการได้รับบทสัมภาษณ์นี้จาก พสิษฐ์ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ช่วงเวลาเดียวกับที่ยังมีภาพและคลิปที่ออกมาเผยแพร่โจมตีคุณ ณัฎฐา รวมทั้งช่วงดังกล่าวเริ่มมีความชัดเจนของวันเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นจึ่งได้ขอเพิ่มเติมอีก 2 คำถามตอนท้ายเพื่อให้บทสัมภาษณ์มีการอัพเดทต่อสถานการณ์ของคุณณัฎฐาโดยตรง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net