Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

 

น่าประหลาดที่การเลือกตั้ง ซึ่งรัฐธรรมนูญได้ทำให้เสียงของประชาชนไร้ความหมาย กลับให้ผลที่มีความหมายอย่างยิ่งต่ออนาคตของการเมืองไทย จนทำให้การเลือกตั้งที่จะต้องจัดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครั้งนี้ (ไม่ภายใต้คณะรัฐประหารชุดนี้ ก็คณะรัฐประหารชุดหน้า) แตกต่างจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาทั้งหมด

ความพิเศษของการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตัวของมันเอง แต่เพราะประเทศไทยกำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านทางการเมืองที่สำคัญอย่างยิ่ง พอจะเทียบได้กับ 2475, 2501, หรือ 14 ตุลาฯ ส่วนจะเปลี่ยนผ่านหรือเปลี่ยนไม่ผ่านนั้นทำนายไม่ถูก แต่แน่ใจได้ว่า หากเปลี่ยนไม่ผ่านโดยสงบ ก็เท่ากับสะสมภาวะตึงเครียดให้สูงยิ่งขึ้น จนวันหนึ่งเมื่อเปลี่ยนผ่านได้ ก็คงเป็นไปด้วยความรุนแรงและความสูญเสียอย่างที่การเมืองสมัยใหม่ของไทยไม่เคยเผชิญมาก่อนเลย

อย่าลืมว่า สัญญาณแห่งความรุนแรงดังกล่าวมีมาตลอดทศวรรษกว่าที่ผ่านมา การใช้อำนาจเด็ดขาดของคณะรัฐประหารทำให้ความรุนแรงในรูปอื่นไม่ปรากฏให้เห็น เหลือแต่ความรุนแรงของอำนาจเด็ดขาดซึ่งคณะรัฐประหารผูกขาดเอาไว้แต่ผู้เดียว

ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะเปลี่ยนผ่าน ก็เพราะทุกภาคส่วนของสังคมได้เปลี่ยนมาก่อนแล้ว หรือจำเป็นต้องเปลี่ยนเพราะสภาวะใหม่ที่ถอยกลับไม่ได้

ชนชั้นนำที่ถืออำนาจปกครอง (ruling elite) ซึ่งประกอบด้วยหลายกลุ่ม กำลังมีปัญหาด้านอัตลักษณ์อย่างหนัก ความเป็นไทยคืออะไร คนดีคืออย่างไร อำนาจที่เหมาะกับสังคมไทยในปัจจุบันและอนาคตควรเป็นอย่างไร จะรักษาการครอบงำ (domination) ของตนต่อไปได้อย่างไร ท่ามกลางความเสื่อมศรัทธาต่อพิธีกรรมและแบบแผนธรรมเนียมอย่าง “ไทยๆ” ของคนรุ่นใหม่ ฯลฯ เรื่องซึ่งเคยมีฉันทามติในหมู่ชนชั้นนำซึ่งถืออำนาจปกครอง กำลังกลายเป็นปัญหาที่ตอบได้ไม่ตรงกัน บางคนอาจหันกลับไปหาอดีต และบางคนกลับอยากก้าวให้ทันกระแสโลกาภิวัตน์มากกว่า

คนกลุ่มนี้ โดยจำนวนแล้วมีน้อยนิดเดียว ไม่มีความหมายในคะแนนเสียงเลือกตั้งแต่อย่างไร แต่มีอำนาจชี้นำสังคมสูง หากทว่าอำนาจชี้นำนี้กลับลดลงในช่วงนี้ เพราะความไม่ชัดเจนด้านอุดมการณ์ อันเนื่องมาจากปัญหาอัตลักษณ์ดังกล่าวแล้ว

คนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่มากนัก แต่มีอำนาจในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจอย่างมาก สืบเนื่องกันมาหลายทศวรรษแล้วคือนายทุน สถานการณ์ในประเทศไทยก็กำลังเปลี่ยนเช่นกัน

นักวิชาการจำนวนไม่น้อยได้พบมานานแล้วว่า ผู้ลงทุนมีอำนาจต่อรองได้สูงกว่ารัฐเป็นอันมาก เพราะรัฐไม่สามารถทำอะไรได้ หากนายทุนหยุดการลงทุน (หรือเพียงไม่ลงทุนเพิ่ม ก็ทำให้เกิดปัญหามากแล้ว) หรือเคลื่อนย้ายทุนออกไปยังแหล่งอื่น

การกระทำเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อสังคมทั้งหมด เช่นทำให้คนว่างงานมีจำนวนมากขึ้น จนกระทั่งผู้ปกครองรัฐอาจอยู่ในอำนาจต่อไปไม่ได้ ดังนั้นรัฐจึงมักฟังเสียงของผู้ลงทุน ซึ่งอาจสื่อสารกับรัฐโดยตรงหรือโดยอ้อม ให้จัดการด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมที่เอื้อต่อการทำกำไรของนายทุน

นักวิชาการจำนวนไม่น้อยได้พบต่อไปด้วยว่า นายทุนแต่ละประเภทมีอำนาจในการเคลื่อนย้ายทุนได้ไม่เท่ากัน เช่นนายทุนขนาดเล็ก แทบจะเคลื่อนย้ายทุนของตนไม่ได้เลย เพราะต้นทุนอาจสูงจนไม่คุ้ม นายทุนผู้ประกอบการด้านหัตถอุตสาหกรรมมักเคลื่อนย้ายทุนได้ยากกว่านายทุนการเงินอย่างเทียบกันไม่ได้เลย ยกเว้นแต่ว่ามีการลงทุนในประเทศอื่นๆ อย่างกว้างขวางอยู่แล้ว ด้วยเหตุดังนั้น นายทุนที่เคลื่อนย้ายทุนได้ยากจึงมักเข้าไปแทรกแซงทางการเมือง นับตั้งแต่อุดหนุนพรรคการเมือง, อุดหนุนการรัฐประหาร, หรือวิ่งเต้นเอาพรรคพวกหรือสมุนไปนั่งในตำแหน่งทางการเมือง ฯลฯ

ในขณะที่นายทุนซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายทุนได้ง่าย (ด้วยเหตุใดก็ตาม) มักเพียงแต่ส่งสัญญาณพอใจหรือไม่พอใจให้รัฐเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว และไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องแทรกแซงทางการเมืองเกินจำเป็นไปกว่านั้น

ถามว่านายทุนไทยเป็นนายทุนประเภทไหน?

คำตอบก็คือ ทุนไทยมีลักษณะอยู่ติดที่มากกว่าเคลื่อนย้ายได้ง่าย การลงทุนต่างประเทศของไทยมีน้อยมาก ตัวเลขของ BOI คือเพียง 4% ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมเท่านั้น (สำนักสถิติเศรษฐกิจเอกชนบางสำนักให้ตัวเลขสูงถึง 8.4% แต่ก็รวมการขยายการผลิตของทุนข้ามชาติไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย)

ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะทุนไทยมีขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ๆ ก็มีลักษณะติดที่เหมือนกัน และเหตุที่ติดที่ก็เพราะสภาพแวดล้อมของการลงทุนในประเทศไทยนั้นต้องถือว่าดีเลิศ กล่าวคือเอื้อต่อการทำกำไรได้สูง แรงงานไทยอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐอย่างรัดกุม ทั้งโดยกฎหมายและโดยการปฏิบัติ (แรงงานประท้วงนอกโรงงานแต่กลับถูกเจ้าหน้าที่รัฐทุบตี เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว, ไม่เคยมีการนัดหยุดงานทั่วไปหรือ general strike เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์แรงงานไทยเลย ฯลฯ) กฎหมายและการบังคับใช้ด้านสิ่งแวดล้อมหย่อนยาน ระบบภาษีหลบหรือเลี่ยงได้ง่าย รัฐคอยเงี่ยหูฟังเสียงหรือสัญญาณจากทุน จนแทบไม่ได้ยินเสียงจากคนกลุ่มอื่นอีกเลย ยังไม่พูดถึงการผูกขาดในทางปฏิบัติอีกหลายเรื่อง ฯลฯ

ทั้งหมดนี้ทำให้ไม่มีประโยชน์หรือเพิ่มกำไรในการเข้าไปแข่งขันในตลาดการลงทุนต่างประเทศ

ขอยกตัวอย่างจากทุนใหญ่ๆ ในกลุ่มประชารัฐ ทุนสัมปทานน้ำเมาและที่ดินอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่อาจเคลื่อนย้ายไปไหนได้อยู่แล้ว จะมีรัฐอะไรหรือที่ออกกฎหมายกีดกันมิให้คนทั่วไปผลิตน้ำเมาแข่งขันกับทุนใหญ่ได้ และจะมีประเทศอะไรหรือที่สะสมทรัพย์ในรูปที่ดินเท่าไรก็ได้ โดยไม่เกิดภาระทางภาษีเพิ่มขึ้นเลย

เงื่อนไขที่สามารถกระจายความเสี่ยงในการผลิตอ้อยไปยังคนเล็กคนน้อย ในพื้นที่กว้างขวาง ย่อมทำให้อุตสาหกรรมน้ำตาลมั่นคงและทำกำไรได้อย่างที่ไม่อาจหาแหล่งลงทุนอื่นที่ดีกว่าได้ ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงโครงสร้างพื้นฐานซึ่งดีเลิศ ทั้งด้านขนส่งคมนาคมและพลังงาน

อุตสาหกรรมอาหาร (ทั้งคนและสัตว์) ซึ่งสามารถกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจให้เกษตรกรอีกนับล้านเข้าร่วมรับด้วย โดยรัฐไม่สร้างมาตรการปกป้องเกษตรกรไว้อย่างเพียงพอ จึงทำกำไรได้อย่างมหาศาล ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงเครือข่ายในระบบราชการและสื่อซึ่งสร้างหรือซื้อไว้จำนวนมากแล้ว

ทุนใหญ่เหล่านี้อาจขยายการลงทุนไปต่างประเทศ หรือซื้อหุ้นธุรกิจต่างประเทศ แต่ฐานใหญ่อยู่ในประเทศไทยเสมอ และด้วยเหตุดังนั้นทุนใหญ่จึงเข้าแทรกแซงทางการเมืองตลอดมา และต้องถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง ตลอด 5-6 ทศวรรษที่ผ่านมา ทุนใหญ่สามารถรักษาฐานของโครงสร้างนโยบายเศรษฐกิจ, ป่าไม้, แรงงาน, ตลาด, ภาษี ฯลฯ ให้เอื้อต่อการทำกำไรของตนตลอดมา

แม้ว่าส่วนแบ่งอำนาจทางการเมืองไทยอาจพลิกผันไปมาระหว่างทหาร, นักการเมือง, ข้าราชการ, เทคโนแครต, เจ้าสัว-เจ้าพ่อก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษท้ายๆ นี้ เริ่มมีคนแปลกหน้ากลุ่มใหม่ขึ้นมาบนเวทีการเมือง ที่สำคัญได้แก่คนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งเรียกร้องนโยบายที่ไม่เป็นผลดีแก่การทำกำไรในการลงทุนนัก (เช่น ต่อต้านการเลี้ยงปลากระชัง ที่ทำความเสียหายให้แหล่งน้ำ… ต้นทุนวัตถุดิบในการทำอาหารย่อมมีทีท่าจะสูงขึ้น และอาจขายอาหารปลาได้ลดลง) ดังนั้น หากเวทีการเมืองเปิดกว้างต่อไป การแทรกแซงทางการเมืองของทุน เพื่อรักษาฐานโครงสร้างของนโยบายไว้ย่อมจะยากขึ้น จนอาจล้มเหลวได้ จึงพร้อมจะสนับสนุนและร่วมมือกับกลุ่มที่ต้องการจำกัดเวทีการเมืองไว้ให้แคบเท่าเดิม

ไม่เคยมีการรัฐประหารของกองทัพครั้งไหน ที่นายทุนใหญ่ออกหน้าสนับสนุนอย่างชัดเจนเท่าครั้งนี้ แต่ก่อนนายทุนสนับสนุนการยึดอำนาจด้วยการโอนเงินเพื่อเป็นทุนทำการแก่กลุ่มผู้นำอย่างลับๆ เมื่อสำเร็จแล้วจึงนำกระเช้าดอกไม้ไปมอบให้ต่อหน้าสื่อมวลชน เพื่อพลิกสถานะผู้จ้างเป็นเพียงลูกสมุนต่อสาธารณชน

แต่รัฐประหารครั้งนี้ พวกเขาเข้าร่วมมีบทบาทอย่างออกหน้า ส่งสมุนและพรรคพวกไปนั่งในตำแหน่งที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้น ในที่สุดก็ได้รัฐธรรมนูญที่จำกัดคนซึ่งจะขึ้นไปบนเวทีการเมืองให้แคบลงเป็นคนหน้าเดิม ทั้งตัวเขาเองหรือลูกสมุนก็มีทีท่าว่าจะได้นั่งในตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นโอกาสให้ควบคุมนโยบายที่เปิดการทำกำไรให้แก่ทุนของเขาอย่างอ้าซ่าตลอดไป

แม้แต่ทุนกว่า 4 หมื่นล้านบาท (ซึ่งจริงหรือไม่ก็ไม่ทราบได้) ที่เตรียมไว้สำหรับการแสวงหาความชอบธรรมในการสืบทอดอำนาจและระบบ จำนวนมากในนั้นคงมาจากการลงขันของเหล่านายทุนซึ่งร่วมการรัฐประหารมาแต่ต้นเหล่านี้

การใช้เงินและตำแหน่งในรัฐบาลใหม่เป็นเหยื่อล่อนักการเมือง ย่อมทำให้ได้แต่กลุ่มเจ้าสัว-เจ้าพ่อท้องถิ่นมาเป็นฐานเสียง คนกลุ่มนี้เป็นผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ในท้องถิ่น และทำให้ได้รับเลือกตั้งสืบมาหลายครั้ง ปัญหามาอยู่ที่ว่าระบบอุปถัมภ์จะเข้ามาทดแทนนโยบาย (ที่ถูกเรียกว่าประชานิยม) ได้หรือไม่ ในทรรศนะของชาวบ้านในท้องถิ่น คนจนคงไม่เกี่ยง จะเป็นอย่างไหนก็ได้ที่ทำให้ตนเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นบ้าง แต่คนจนมีจำนวนน้อยกว่าคนชั้นกลางระดับล่าง (หรือ “ชาวนาการเมือง”)

เรื่องของเรื่องจึงมาอยู่ที่ว่า ระหว่างบุคคลซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์กับนโยบาย คนชั้นกลางระดับล่างจะเลือกอะไรในสถานการณ์ที่รัฐธรรมนูญบังคับไว้แล้วว่า ตัวแทนของประชาชนไม่อาจวางนโยบายได้เองอย่างอิสระ

กลุ่มคนที่เป็นคะแนนเสียงบล็อกใหญ่มากคือคนชั้นกลางระดับล่าง นอกจากมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นคนกลุ่มใหญ่สุดในสังคมแล้ว พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งยังค่อยๆ หันมาสู่การเลือกนโยบายมากขึ้น ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ในรอบกว่าทศวรรษที่ผ่านมา พรรคไทยรักไทยและพรรคลูกหลาน ประสบความสำเร็จในการวางนโยบายที่ทำให้ได้คะแนนเสียงจากคนกลุ่มนี้เป็นบล็อก จึงชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นตลอดมา

ก่อนหน้าพรรคไทยรักไทย คนกลุ่มนี้ไม่เคยลงคะแนนเสียงเป็นบล็อก อย่างน้อยไม่เคยในการเลือกตั้งระดับชาติ แต่เลือกที่จะสร้างสายสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์กับบุคคลที่เป็นนักการเมืองระดับชาติ ผ่านหัวคะแนนประเภทต่างๆ ในท้องถิ่น โดยวิธีเช่นนี้ทำให้เขาได้รับส่วนแบ่งทรัพยากรเท่าที่ ส.ส.ของเขาจะสามารถดึงมาได้

(นี่คือเหตุที่ ส.ส.ต้องการสังกัดพรรคที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลมากกว่าเป็น ส.ส.ฝ่ายค้าน เพราะสามารถดึงทรัพยากรรัฐเข้าสู่ท้องถิ่นได้มากกว่า เท่ากับประกันความมั่นคงในที่นั่ง ส.ส.ในท้องถิ่นของตน ส่วนใหญ่ของ ส.ส.ที่ชิงกระโดดเข้าสู่แรงดูดของคณะรัฐประหารในช่วงนี้คือ ส.ส.ประเภทนี้)

แต่นโยบายของพรรคไทยรักไทยและพรรคลูกหลาน ให้หลักประกันว่า คนกลุ่มนี้จะได้รับการอุดหนุนจากทรัพยากรกลางมากขึ้นกว่าที่เคยได้มาอย่างแน่นอน จึงทำให้ส่วนใหญ่หันมาลงคะแนนเสียงเป็นบล็อกแก่พรรค

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับอัปลักษณ์ที่ใช้บังคับอยู่เวลานี้ ทำให้พรรคการเมืองไม่อาจวางนโยบายได้อย่างอิสระเอง เพื่อให้แน่ใจว่าการอุดหนุนของรัฐจะยังมีอยู่แก่พวกเขาต่อไป คนชั้นกลางระดับล่างจะเลือกพรรคหรือเลือกบุคคล?

หากย้อนกลับไปดูกำเนิดและประวัติของคนชั้นกลางระดับล่างในเมืองไทย จะพบว่ารัฐมีส่วนอย่างสำคัญ ไม่น้อยกว่าหรืออาจมากกว่าตลาดเสียอีกในกำเนิดและการเติบโตของคนกลุ่มนี้ ตั้งแต่หลัง 14 ตุลาเป็นต้นมา รัฐภายใต้เผด็จการทหารเต็มใบ ค่อนใบ, ครึ่งใบ หรือเสี้ยวใบล้วนให้ความสำคัญแก่การพัฒนาชนบท อย่างน้อยก็เพื่อเสถียรภาพทางการเมืองของรัฐบาลเอง (ประชาชนส่วนใหญ่พอใจ และนักการเมือง-ข้าราชการได้กินนอกกินในจากโครงการ) คนชั้นกลางระดับล่างเติบโตมาจากการอุปถัมภ์ของรัฐ โดยตรงหรือโดยอ้อม (เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อทุนย่อมเปิดตลาดของเกษตรกรให้กว้างขึ้นด้วย) ปัญหาของเขาก็คือจะเติบโตไต่เต้าต่อไปอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อรายได้ส่วนใหญ่มาจากการรับจ้างแรงงานนอกภาคเกษตรเสียแล้ว

เช่นจะจัดให้มีแหล่งเงินกู้ที่เหมาะกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของคนชั้นกลางระดับล่างอย่างไร ทำอย่างเป็นระบบหรือทำโดยการโยนเงินลงไปเป็นกองทุนหมู่บ้าน การทำอย่างเป็นระบบเพื่อให้เข้าถึงได้อย่างกว้างขวางและยืดหยุ่นได้ตามเงื่อนไขที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องทำได้ยากมาก (คุณทักษิณ ชินวัตร เคยพูดว่าจะขยายกองทุนหมู่บ้านขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นธนาคารในที่สุด แต่เท่าที่ทำจนสิ้นอำนาจ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะพัฒนาขึ้นเป็นระบบได้)

หากการเมืองที่มีการเลือกตั้งยังอยู่ คนชั้นกลางระดับล่างอาจเคลื่อนไหวไปในทางที่จะได้อำนาจในการต่อรองนโยบายกับรัฐมากขึ้น แต่เพราะการเมืองแบบนั้นสะดุดลง โดยยังไม่สามารถจัดองค์กรเพื่อการเคลื่อนไหวเช่นนั้นได้ จึงทำนายได้ยากมากว่า ภายใต้สภาวการณ์เช่นนี้ คนชั้นกลางระดับล่างจะลงคะแนนเสียงให้พรรคที่ต่อสู้กับเผด็จการทหาร หรือจะลงคะแนนเสียงให้แก่ผู้สมัครที่จะได้ร่วมรัฐบาล และมีศักยภาพจะดึงทรัพยากรรัฐเข้ามาอุดหนุนคนในท้องถิ่น

ที่เชื่อกันว่า การ “ดูด” ส.ส.เก่าจะไม่ให้ผลอย่างที่คณะทหารซึ่งครองอำนาจอยู่เวลานี้คาดหวัง ผมไม่ค่อยแน่ใจ เพราะอาจเป็นไปได้ทั้งการเทคะแนนให้พรรคที่ประกาศสู้กับ คสช. หรือทั้งการเทคะแนนให้ผู้สมัครที่ประกาศสนับสนุน คสช.

อนาคตของการเมืองไทย ขึ้นอยู่กับผลการตัดสินใจของคนกลุ่มนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียว

คนอีกกลุ่มหนึ่งคือคนชั้นกลางผู้มีการศึกษาและอยู่ในเมือง ซึ่งเพิ่มสัดส่วนในหมู่ประชากรสูงขึ้นตลอดมา แม้ว่ายังห่างจากการเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ แต่อาจกล่าวได้ว่า ก่อนสมัยพรรคไทยรักไทย เป็นคนกลุ่มเดียวที่สามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นบล็อกได้ พรรคการเมืองที่จะได้คะแนนจากคนกลุ่มนี้มีอยู่ไม่กี่พรรคในการเลือกตั้งแต่ละครั้ง แต่ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ-สังคมที่เกิดในระยะหลัง ทำให้เสียงของคนชั้นกลางระดับนี้ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวดังเดิมเสียแล้ว

หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดก็คือ คนกลุ่มนี้คือกลุ่มที่รับข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชนมากที่สุด ดังนั้น จึงทำให้มีทัศนคติทางการเมืองที่ใกล้เคียงกัน แต่ในระยะประมาณสองทศวรรษที่ผ่านมา สื่อกระแสหลักไม่ได้เป็นผู้กำหนดวาระทางสังคมและการเมืองอีกแล้ว คนชั้นกลางที่มีการศึกษาในเมืองสามารถสื่อทรรศนะของตนผ่านสื่อออนไลน์นานาชนิดได้ ดังนั้น คะแนนเสียงของคนกลุ่มนี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงน่าจะแตกแยกค่อนข้างสูง พรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่คงได้คะแนนไปไม่น้อยจากคนกลุ่มนี้ แต่โอกาสที่จะได้ ส.ส.เขตจากเมืองมีไม่มากนัก เพราะท่ามกลางเสียงที่แตกแยก กลไกหาและสร้างคะแนนเสียงของพรรคเก่าน่าจะรวบรวมคะแนนเสียงได้เป็นกอบเป็นกำในแต่ละเขตมากกว่า

แต่คำทำนายนี้อาจผิด เพราะเรายังไม่อาจหยั่งสำนึกทางการเมืองที่เปลี่ยนไปของคนกลุ่มนี้ได้กว้างและลึกพอ

คนกลุ่มที่เหลือกระจายอยู่ตามเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ (ไม่นับชาวมลายูมุสลิมในสามหรือสี่จังหวัดภาคใต้) แต่จำนวนไม่มากพอจะเลือก ส.ส.เขตของตนเองได้สักเขตเดียว อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญฉบับอัปลักษณ์กำหนดให้นำคะแนนเสียงของพรรคที่แพ้การเลือกตั้งในทุกเขตมารวมกัน เพื่อกำหนดที่นั่งของ ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วย ดูเหมือนคะแนนเสียงของคนกลุ่มต่างๆ เหล่านี้จะไม่เทไปที่พรรคใดพรรคหนึ่ง แต่น่าจะเฉลี่ยไปในหลายพรรค ซึ่งในคณิตศาสตร์การเลือกตั้งมีค่าเท่ากับศูนย์

นอกจากผลประโยชน์เฉพาะตนและเฉพาะกลุ่มแล้ว คนเรายังลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเพราะอุดมการณ์ด้วย เป็นแต่เพียงว่าจำนวนคนที่เปิดให้อุดมการณ์ชี้นำจะมีมากหรือน้อย และสัดส่วนของอุดมการณ์ในกระบวนการตัดสินใจจะมีมากหรือน้อยเท่านั้น

อาจกล่าวได้ว่า ไม่เคยมีการเลือกตั้งครั้งใดที่อุดมการณ์จะมีบทบาทสำคัญในการเลือกตั้งเท่ากับครั้งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้านี้ คงต้องยกให้แก่การกระทำของชนชั้นนำที่ร่วมมือกันล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และสถาปนารัฐบาลทหารขึ้นถืออำนาจสืบมากว่า 4 ปี นับเป็นคุณูปการในทางกลับ

ผลก็คืออุดมการณ์ที่ถูกตีความให้เป็นประโยชน์แก่อำนาจและผลประโยชน์ของชนชั้นนำ ถูกตั้งคำถามจากสังคมในวงกว้างอย่างไม่เคยมีมาก่อนเลย ในช่วงสงครามเย็น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยประสบความสำเร็จพอที่จะทำให้เกิดการตั้งคำถามแก่อุดมการณ์เก่ามาแล้ว แต่ พคท.ไม่เคยลงแข่งขันทางการเมืองในสนามเลือกตั้ง (และยังถูกกีดกันมาจนถึงทุกวันนี้)

ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า อุดมการณ์จะมีสัดส่วนในการตัดสินใจทางการเมืองสูงขึ้นอย่างมาก คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะเลือกพรรคใดก็ได้ที่อาจรักษาอุดมการณ์เก่าไว้ และคงมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่พร้อมจะเลือกพรรคใดก็ได้ที่อาจนำอุดมการณ์ใหม่เข้ามา หรืออย่างน้อยก็ให้ความหมายใหม่แก่อุดมการณ์เก่า

(โดยส่วนตัว ผมอยากประเมินว่า คนในวงการเมืองประเมินความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ต่ำเกินไป ดังจะเห็นได้ถึงการโจมตีพรรคของคนรุ่นใหม่ด้วยอุดมการณ์เก่า และคำปฏิเสธหรือออกตัวของพรรคคนรุ่นใหม่เมื่อต้องเผชิญกับการถูกโจมตีด้วยอุดมการณ์เก่า)

การเมืองไทยมาถึงจุดที่เป็นทางสองแพร่ง

หากพรรคที่ประกาศสนับสนุน คสช.ได้คะแนนเสียงที่รวมกับวุฒิสมาชิกแล้ว อาจจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ก็หมายความว่าการเมืองไทยเลือกจะเดินไปสู่หนทางที่จะรักษาโครงสร้างอำนาจของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมไว้ดังเดิมต่อไป และหากพรรคที่แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่า ต่อต้าน คสช.ได้คะแนนเสียงมากพอที่จะขัดขวางมิให้ คสช.สืบทอดอำนาจได้ (ท่ามกลางกฎกติกาที่ไม่เป็นธรรมของรัฐธรรมนูญ) ย่อมหมายความว่าหนทางเดิมที่การเมืองไทยดำเนินมาตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 ไม่อาจดำรงอยู่ได้อีกแล้ว

การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่ใช่การเลือกนักการเมืองหรือพรรคการเมือง แต่เป็นการเลือกอนาคตของประเทศ ไม่ว่าจะเลือกอย่างไร ก็น่ายินดีที่เราได้เลือกผ่านการเลือกตั้ง ไม่ใช่สงครามกลางเมือง

อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในประเทศไทยในระยะ 3-4 ทศวรรษที่ผ่านมา เป็นไปทั้งในทางลึกและทางกว้างเสียจนยากมาก ที่จะไม่เกิดการเปลี่ยนผ่าน แม้การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านในทันที แต่หากทุกฝ่ายรักษากติกาการเลือกตั้งที่แม้ไม่เป็นธรรมนี้ไว้ โอกาสที่การเปลี่ยนผ่านโดยสงบก็ยังเป็นไปได้อยู่ เพียงแต่ให้น่าสงสัยว่าชนชั้นนำซึ่งมีกองทัพอยู่ในมือ จะปล่อยให้เกิดการเปลี่ยนผ่านในระยะยาว เป็นไปโดยสงบหรือไม่เท่านั้น

 

ที่มา:

www.matichon.co.th/columnists/news_942942

www.matichon.co.th/columnists/news_952809

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net