“คอร์รัปชั่น” เป็นคำแสลงหูสำหรับปัญญาชนคนรุ่นใหม่ผู้ยึดถือภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูดีเป็นที่ตั้ง แต่ก็เป็นปัญหาที่สะสมเรื้อรังมานานจนส่งผลกระทบต่อภาพรวมของระบบเศรษฐกิจและสังคม แต่อีกด้านหนึ่งก็มีความใกล้ชิดและเกี่ยวพันกับวิถีชีวิตคนไทยมาเนิ่นนานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไปแล้ว ทำให้คนไทยบางส่วนมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ยอมรับได้ คำนี้มีความหมายที่เข้าใจตรงกันว่า เป็นการทุจริตคดโกง , การไม่ซื่อสัตย์สุจริต , การฉ้อราษฎร์บังหลวง เป็นต้น
เหตุใดและทำไม การคอร์รัปชั่นจึงเป็นสิ่งที่คนไทยรู้จักมักคุ้นมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่ สิ่งใดคือรากเหง้าหรือเงาสะท้อนที่แท้จริงที่ทำให้การคอร์รัปชั่นดำรงอยู่ได้ โดยที่สังคมส่วนใหญ่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เสแสร้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่สนใจใยดี และไม่ได้จริงจังในการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด และสิ่งนั้นก็คือ ระบบอุปถัมภ์ ซึ่งเป็นระบบที่ก่อตัวมาจากความสัมพันธ์ทางเครือญาติในระดับย่อยของสังคม จนพัฒนามาเป็นระบบพวกพ้องน้องพี่ที่ใหญ่ขึ้นในระดับประเทศ สิ่งนี้เป็นหนึ่งในต้นตอของปัญหาทั้งมวล การทำงานที่มีปฏิสัมพันธ์สอดคล้องอย่างราบรื่น และมีประสิทธิภาพระหว่างคนในแต่ละชนชั้นเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อกัน เป็นเครื่องตอกย้ำว่า ทำไมการทุจริตคอร์รัปชั่นจึงยืนยงอยู่ได้ในสังคมไทย
1. ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นล่าง - ชนชั้นกลาง
ชนชั้นล่าง ในปัจจุบันรวมความถึงประชาชนรากหญ้าที่เป็นเกษตรกรรายย่อย , ลูกจ้างทั่วไป , คนงานในโรงงานอุตสาหกรรม , คนจนในเมือง , ผู้มีรายได้น้อยหรือคนหาเช้ากินค่ำ , ผู้ด้อยโอกาสในสังคม เป็นต้น กลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการแบ่งปันอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ มักโดนรังแกและเรียกรับผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่รัฐอยู่เสมอ เช่น เข้มงวดกวดขันการบังคับใช้กฎหมายจราจร (ตรวจจับเฉพาะคนขับขี่รถจักรยานยนต์ , รถปิกอัพ , รถสิบล้อเท่านั้น) , ต้องจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชา (สินบน , เงินใต้โต๊ะ) เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการติดต่อหน่วยงานราชการ เป็นต้น ถือเป็นเรื่องทุจริตเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ในขณะที่ชนชั้นกลางซึ่งตีความได้ว่า เป็นข้าราชการพลเรือนและทหาร , นักธุรกิจ , เจ้าของกิจการ , นักวิชาการ , สื่อมวลชน , พนักงานบริษัทเอกชน , ดารา นักร้อง นักแสดง , ผู้มีรายได้ปานกลางจนถึงชนชั้นกลางระดับบน เป็นต้น กลุ่มคนเหล่านี้มีทั้งกำลังเงินและความสามารถ มีความเชี่ยวชาญการใช้เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ทั้งภาพและเสียงในการโน้มน้าวจิตใจ ปลุกปั่นสร้างกระแส , เบี่ยงเบนประเด็น และชี้นำสังคมได้อย่างมีนัยสำคัญ เห็นได้จากผลลัพธ์การชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา
การพึ่งพิงและพึ่งพานั้นก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันด้วย อย่างแรกที่ผู้ใต้อุปถัมภ์ต้องทำ คือ ฝากตัวรับใช้นายหรือยอมรับอำนาจที่เหนือกว่าของผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนเสียก่อน หลังจากนั้นผู้อุปถัมภ์จึงให้รางวัลหรือผลประโยชน์เป็นการตอบแทน เช่น ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ , การสนับสนุนทางการเมือง เป็นต้น ซึ่งความสัมพันธ์ลักษณะนี้อธิบายได้คร่าวๆ ดังนี้
(1) สิ่งแลกเปลี่ยนให้ชนชั้นกลาง คือ แรงงาน , เงิน (ส่วย) , ความอ่อนน้อม , การเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ , ความภักดีต่อเจ้านาย
ชนชั้นล่างต้องออกแรงกายทำงานรับใช้หรือปรนนิบัติเพื่อหวังพึ่งใบบุญและบารมีจากชนชั้นกลาง โดยส่งเงินหรือติดสินบนเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายบางประการ ขณะที่ชนชั้นล่างก็ต้องเสาะแสวงหาเจ้านายที่มีเส้นสายใหญ่เพียงพอที่จะอำนวยประโยชน์ต่อตนเองมากที่สุด เฉกเช่นดียวกับในอดีตที่ไพร่ต้องสังกัดมูลนายตามกฎหมายกำหนด และต้องทำงานรับใช้มูลนายโดยที่ไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
(4) สิ่งแลกเปลี่ยนให้ชนชั้นล่าง คือ การปกป้องคุ้มครอง , การช่วยเหลือเกื้อกูล , การชี้นำสังคม , การควบคุมสั่งการ
ชนชั้นกลางจะตอบแทนชนชั้นล่างด้วยการให้คุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินจากชนชั้นกลางกลุ่มอื่นที่จะมาเอาเปรียบหรือหาผลประโยชน์ หรือช่วยฝากลูกหลานเข้าทำงานในหน่วยงานภาครัฐหรือฝากเข้าโรงเรียนรัฐบาล เป็นต้น ถือเป็นการขยายอิทธิพลและสร้างบารมี โดยสะสมทั้งกำลังเงินและกำลังคนเพื่อตั้งตัวขึ้นเป็นมาเฟียในชุมชน , ผู้กว้างขวางในท้องถิ่น หรือเป็นชนชั้นสูงในอนาคต
2. ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นกลาง - ชนชั้นสูง
(2) สิ่งแลกเปลี่ยนให้ชนชั้นสูง คือ ความรักและศรัทธา , การสรรเสริญเยินยอ , ความนอบน้อมและเคารพเชื่อฟัง (หมอบกราบ คลานเข่า) , ความภักดีต่อผู้เป็นเจ้านาย , ความสามารถเฉพาะทาง (แรงสมอง) , เงิน (ส่วย) , แรงงาน
ชนชั้นกลางนอกจากจะออกเงินและแรงกายเพื่อทำงานรับใช้ หรือให้ความเคารพนอบน้อมและเชื่อฟังคำแนะนำจากผู้ใหญ่แล้ว สิ่งหนึ่งที่แตกต่างก็คือ การเป็นคลังสมองวิเคราะห์ข้อมูลและใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อสร้างอัตลักษณ์เชิงรูปธรรมให้ชนชั้นสูง ซึ่งแต่ละกลุ่มก็จะอิจฉาริษยากันเอง แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นกัน ประจบสบพลอ เอาอกเอาใจเจ้านายเพื่อให้กลุ่มของตนเองเด่นกว่า ดีกว่า หรือได้ประโยชน์มากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งการสรรเสริญเยินยอนี้จะเป็นการสร้างความรัก ความศรัทธา และสร้างบารมีให้ดำรงอยู่ในสถานะที่เหนือกว่า สุดท้ายแล้วจะใช้ชนชั้นสูงบังหน้าเพื่อหาประโยชน์จากชนชั้นล่าง รวมทั้งอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมที่ได้รับการรับรองจากชนชั้นสูงในการปกครองชนชั้นล่างต่อไป
(3) สิ่งแลกเปลี่ยนให้ชนชั้นกลาง คือ อำนาจบารมีแผ่ไพศาล , การปกป้องคุ้มครองหรือช่วยให้พ้นผิดจากคดีความ , การสนับสนุนทางการเมืองอย่างลับๆ , ผู้กำหนดมาตรฐานจริยธรรม , ผู้แต่งตั้งรัฐบาล
ชนชั้นสูง เช่น ข้าราชการระดับสูงทั้งทหารและพลเรือน , กลุ่มทุนผูกขาดขนาดใหญ่ เป็นต้น ซึ่งจะแผ่ขยายเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ชนชั้นกลางได้เกาะเกี่ยวห้อยโหน และจะตอบแทนความซื่อสัตย์ภักดีด้วยตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ , สัญญาจัดซื้อจัดจ้างโครงการภาครัฐ หรือช่วยให้พ้นผิดด้วยอภินิหารทางกฎหมายในคดีการเมือง เป็นต้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ การถือสิทธิ์กำหนดมาตรฐานคุณธรรมภายใต้หลักศาสนาพุทธ หรือสร้างบรรทัดฐานจริยธรรมตามจารีตประเพณี เพื่อใช้กำกับสังคมทั้งในแง่การปกครองและทางจิตวิญญาณอีกชั้นหนึ่ง รวมถึงรับรองความชอบธรรมให้ชนชั้นกลางบางกลุ่มกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนเพื่อให้มีบทบาทควบคุมชนชั้นล่างต่อไปเป็นทอดๆ
อย่างไรก็ตาม ชนชั้นกลางบางส่วนและชนชั้นสูงมักดูถูกดูแคลนชนชั้นล่างเสมอว่า ชอบทำผิดและหลีกเลี่ยงกฎหมาย ซึ่งที่จริงแล้วก็เลียนแบบและเอาอย่างมาจากผู้ดีจอมปลอมพวกนี้นั่นเองที่มักทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย มีสองมาตรฐานและมีข้อยกเว้นสำหรับพวกตนเสมอ รวมถึงสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่เกิดขึ้น เช่น ลูกของกลุ่มทุนใหญ่ขับรถชนตำรวจจนเสียชีวิต แต่กระบวนการยุติธรรมก็ไม่สามารถนำตัวมาลงโทษได้ ทำให้บางคดีหมดอายุความด้วยเทคนิคทางกฎหมาย โดยที่ผู้เกี่ยวข้องไม่ถูกตั้งข้อหาตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ถือเป็นความบกพร่องโดยสุจริต จึงไม่ต้องมีใครรับผิดชอบ แต่ถ้าเป็นคดีความของชาวบ้านทั่วไปจะมีลักษณะตรงกันข้าม
โครงสร้างระบบอุปถัมภ์นี้ ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจทั้งในแง่การกระจายรายได้และความไม่เป็นธรรมในสังคม จนเกิดสภาพการรวยกระจุกในหมู่ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางบางส่วน และสภาพความจนที่กระจายอยู่ในชนชั้นล่างและชนชั้นกลางที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ จึงสร้างความยากลำบาก ความแร้นแค้น ขาดแคลน และขัดสนในปัจจัยการผลิต ส่งผลให้ชนชั้นล่างเกิดความเดือดร้อน คร่ำครวญโหยหา จนต้องบนบานศาลกล่าว ขอร้องอ้อนวอนเทวดาฟ้าดินและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยดลบันดาลทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้น จึงเป็นโอกาสอันดีสำหรับชนชั้นสูงที่จะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือแบบโปรยทานเป็นครั้งคราวไป และกลายเป็นบุญคุณอันล้นพ้นที่ชนชั้นล่างต้องตอบแทนอยู่เรื่อยไป โดยมีวิธีการที่แยบยลก็คือ การใช้โฆษณาชวนเชื่อเพื่อสร้างวาทกรรมเชิงนามธรรม เช่น วาทกรรมตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน เพื่ออบรมกล่อมเกลาให้ผู้ใต้อุปถัมภ์ทำงานรับใช้ผู้อุปถัมภ์ด้วยความเต็มใจโดยปราศจากเงินรางวัลหรือค่าตอบแทนใดๆ ส่วนดอกผลหรือประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะเป็นสิทธิ์ขาดของผู้อุปถัมภ์
จากอดีตที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกชนชั้นสูงหรือผู้กุมอำนาจรัฐพยายามปลุกปั่นและสร้างกระแสสังคม เพื่อครอบงำความคิดประชาชนว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น เกิดจากนักการเมืองในระบบเลือกตั้งเท่านั้น ดังนั้นการแก้ปัญหาที่เรื้อรังมานานจึงต้องให้คนดีเข้ามามีอำนาจ มีตำแหน่งเป็นรัฐบาลเพื่อปกครองคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ สังคมจึงได้ยินเสียงพร่ำบอกอย่างสม่ำเสมอว่า ถึงระบบการปกครองจะไม่ดี แต่ถ้าได้คนดี (ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีการใดก็ตาม) ก็ไม่เป็นไร ยอมรับได้ ดังนั้นสังคมไทยจะปกครองด้วยระบอบอะไรก็ได้ที่ทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี , เชื่อฟังและอยู่ในโอวาทผู้ใหญ่ ตั้งอยู่ในความสงบเรียบร้อยก็เพียงพอแล้ว รวมถึงชนชั้นสูงจะเป็นผู้คัดเลือกคนดีมีคุณธรรมมาเป็นรัฐบาล พร้อมทั้งรับรองความถูกต้องชอบธรรมและการันตีความซื่อสัตย์สุจริตอีกด้วย
นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน ศาสตราจารย์โรเบิร์ต คลิตการ์ด (Robert Klitgaard) ได้นำเสนอกรอบแนวคิดในการอธิบายพฤติกรรมคอร์รัปชั่นไว้ว่า
จากสมการข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นจะเพิ่มขึ้นหากระบบเศรษฐกิจมีการผูกขาด ไม่เกิดการแข่งขัน มีการรวบอำนาจไว้กับคนๆ เดียว และเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่รัฐใช้ดุลยพินิจให้คุณให้โทษได้ แต่ในทางตรงกันข้าม การทุจริตคอร์รัปชั่นจะลดลงหากสังคมมีกลไกความรับผิดชอบที่เข้มแข็งมากขึ้น
จริงๆ แล้วสมการนี้ไม่สามารถอธิบายสถานการณ์ในประเทศไทยได้ถูกต้องแม่นยำนัก เนื่องจากสังคมไทยมีความสลับซับซ้อนของระบบอุปถัมภ์ที่ซ่อนอยู่อีกหนึ่งชั้นหลังฉาก มีมือที่มองไม่เห็นคอยกำกับบงการเจ้าหน้าที่รัฐในทางพฤตินัย และเจ้าหน้าที่รัฐเองก็ยินยอมพร้อมใจเป็นมือเป็นไม้ให้ด้วย ทั้งนี้เพื่อ
1) ทดแทนบุญคุณที่เคยช่วยเหลือกันมาในอดีต
2) สร้างบุญคุณไว้เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ หากต้องการก้าวหน้าในอนาคต
3) ขอฝากตัวเป็นส่วนหนึ่งของระบบอุปถัมภ์
ถึงแม้ทุกคนจะรับรู้ถึงปัญหาเหล่านี้ดีแต่ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไร จึงเกิดพฤติกรรมและวัฒนธรรมกินตามน้ำเพื่อความอยู่รอด โดยยึดหลักที่ว่า “รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง” ในกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น การตัดสินใจของภาครัฐที่ทำตามกรอบระเบียบกฎหมายแต่มีผลลัพธ์เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นกรณีพิเศษแล้ว สังคมก็ไม่สามารถตรวจสอบได้เลย หรือเมื่อหน่วยงานปราบทุจริตเข้ามาตรวจสอบพอเป็นพิธี หลังจากนั้นก็รับรองความถูกต้องว่าเป็นไปตามระเบียบการจัดซื้อจัดจ้าง ยกตัวอย่าง การถูกกระแสสังคมกดดันให้รื้อฟื้นตรวจสอบโครงการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดจีที 200 และเรือเหาะตรวจการณ์ของกองทัพบกขึ้นมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่มีรายงานข้อสรุปและปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปตามกาลเวลา , ส.ต.ง. รับรองว่าไม่พบสิ่งผิดปกติในโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน , การเลื่อนสืบพยานโจทก์คดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมปิดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อปี 2551 เป็นต้น แต่ถ้าเป็นคดีความของฝ่ายตรงข้ามมักจะเกิดการเลือกปฏิบัติ โดยตัดสินอย่างเคร่งครัดตามตัวบทกฎหมาย เช่น คดีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายโครงการรับจำนำข้าว มีการตีความว่า เป็นพฤติการณ์ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และส่อแสดงเจตนาแสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริตจากโครงการ รวมถึงเร่งรัดการสืบพยานและพิจารณาคดีอย่างรวดเร็วโดยเปรียบเทียบ เป็นต้น
ปัจจุบันมีองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นจำนวนมาก ได้แก่ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (ผู้ตรวจการฯ) , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) , สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (ส.ต.ง.) , สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในส่วนกระบวนการยุติธรรม ก็มีการจัดตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย แต่ก็เกิดคำถามตามมาจากสังคมว่า 1) องค์กรเหล่านี้ทำงานอย่างสุจริต เที่ยงตรง และเป็นธรรมใช่หรือไม่ 2) มีการปฏิบัติต่อทุกคดีด้วยมาตรฐานเดียวกันใช่หรือไม่ 3) เป็นกลไกทางการเมืองเพื่อกำจัดพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามใช่หรือไม่ 4) ทำไมอัตราการคอร์รัปชั่นจึงยังไม่มีแนวโน้มลดลงทั้งๆ ที่มีองค์กรอิสระจำนวนมากเช่นนี้ เมื่อพิจารณาข้อมูลจากองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ปรากฎว่า คะแนนและอันดับความโปร่งใสของประเทศไทยลดลงมาเรื่อยๆ หลังจากรัฐประหาร ปี 2557
หากพิจารณางานวิจัยของ ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ ตามกรอบแนวคิดเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมและเศรษฐศาสตร์สถาบันแล้ว ได้บทสรุปว่า สถาบันทางสังคม เช่น บ้าน , วัด , โรงเรียน ได้หล่อหลอมพฤติกรรม วิธีคิด และทัศนคติเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น ทำให้พฤติกรรมการทุจริตฝักรากลึกอยู่ในดีเอ็นเอแบบไม่รู้ตัว คุ้นเคยและชาชิน พร้อมทั้งรับมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตโดยปริยาย
จากงานวิจัยพบว่า คนไทยให้ความหมายและคุณค่าความดีและคนดีแตกต่างกัน ความดี (ความซื่อสัตย์สุจริต , ไม่คดโกง) เป็นเรื่องผลประโยชน์สาธารณะ แต่คนดี (กตัญญู , เชื่อฟังพ่อแม่และผู้ใหญ่) เป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวหรือคนใกล้ชิด สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้แนวคิดนี้ก็คือ ความรู้สึกเป็นครอบครัวหรือเครือญาติเดียวกัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวพันทางสายเลือดก็ได้ เป็นความผูกพันในลักษณะเพื่อนร่วมสถาบันการศึกษา , รุ่นพี่รุ่นน้องที่นับถือ , เป็นคนจังหวัดเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน , ทำงานในวิชาชีพเดียวกัน หรือผู้ใหญ่ที่มีบุญคุณที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ทำให้คนๆ นั้นมีความเอนเอียงที่จะเลือกปฏิบัติ , ย่อหย่อนกฎเกณฑ์ , ผ่อนหนักเป็นเบา หรืออะลุ้มอล่วยช่วยเหลือกัน สุดท้ายแล้วเป็นการทุจริตในความรู้สึกที่ยอมรับกันได้แบบหยวนๆ ว่า ไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรม และกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน
ความแตกต่างของชุดคุณธรรมที่มีการสอนกันระหว่างประเทศพัฒนาแล้วกับประเทศไทย
สังคมที่พัฒนาแล้วจะสอนให้ประชาชนมองออกไปข้างนอก คิดถึงผู้อื่นเป็นลำดับแรก โดยเน้นย้ำเรื่องสิทธิและหน้าที่เป็นสำคัญ ยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างซึ่งเป็นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
สังคมไทยสอนให้ประชาชนมองเข้ามาข้างในหรือเน้นความสัมพันธ์ส่วนตัว เช่น เชิดชูตัวบุคคลเป็นหลัก , ยึดกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย , แยกไม่ออกระหว่างส่วนรวมกับส่วนตัว , ขาดจิตสาธารณะ , มองคนไม่เท่าเทียมกัน , มีลำดับชั้นความสัมพันธ์สูงต่ำ , ยึดมั่นระบบอาวุโส , ไม่กล้าคิดแตกต่าง จึงเป็นสาเหตุให้ระบบอุปถัมภ์อยู่คู่กับสังคมไทยเรื่อยมา
ถ้ามองผิวเผินแบบฉาบฉวยแล้ว การตราหน้าว่านักการเมืองเป็นต้นเหตุสำคัญของการทุจริตคอร์รัปชั่นแต่เพียงฝ่ายเดียว ก็ดูเหมือนเป็นการป้ายสีและจงใจทำให้สังคมเข้าใจผิดและหลงประเด็น จนไม่ต้องสืบหาสาเหตุที่แท้จริงเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบ ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว คนทุกคนในสังคมล้วนมีส่วนร่วมไม่มากก็น้อยในการสนับสนุนส่งเสริมการทุจริตคอร์รัปชั่นให้ดำรงอยู่ได้โดยปราศจากการตรวจสอบและตั้งคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นสูงหรือผู้มีอำนาจรัฐที่เป็นต้นตอของปัญหาทั้งมวลที่อยู่บนสุดในโครงสร้างระบบอุปถัมภ์ ซึ่งไม่มีใครกล้ากล่าวถึงมาก่อน และถึงแม้สังคมจะมองเห็นปัญหาแต่ก็ทำเมินเฉยมาตลอด ชนชั้นสูงเป็นกลุ่มคนอนุรักษ์นิยมที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบอุปถัมภ์แต่อย่างใด เพราะความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นนี้ เปรียบเสมือนน้ำหล่อเลี้ยงให้ชนชั้นสูงมีสถานะที่แตะต้องไม่ได้ ดำรงความศักดิ์สิทธิ์ และมีสิทธิพิเศษหรืออภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎกติกาบ้านเมือง
ทางออกที่ดีที่สุดในการลดระดับการทุจริตคอร์รัปชั่นนั้น อย่างแรกที่ต้องทำให้เกิดเป็นรูปธรรมก็คือ การสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่ส่งผลในทางปฏิบัติ ต้องสร้างให้คนรู้จักสิทธิและหน้าที่ของตนเอง รวมทั้งไม่ไปละเมิดสิทธิและหน้าที่ของคนอื่นด้วย ทั้งนี้ต้องเปิดกว้างให้คนทุกชนชั้นได้เข้ามาแบ่งปันอำนาจการบริหารและจัดการทรัพยากรร่วมกัน พร้อมทั้งสร้างระบบตรวจสอบถ่วงดุลโดยให้ภาคธุรกิจ ภาคสังคม และสื่อมวลชนเข้ามาร่วมด้วยช่วยกัน โดยสร้างพื้นฐานการเมืองแบบเปิดให้มีความเป็นธรรมและมีมาตรฐานเดียวกันโดยไม่เลือกปฏิบัติ เพียงเท่านี้ก็เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการสร้างสังคมที่มีความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส และมีธรรมาภิบาล เพื่อขจัดระบบอุปถัมภ์แบบศักดินาสวามิภักดิ์ให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว โดยมีเป้าหมายสุดท้ายก็คือ การสร้างสังคมให้มีสันติสุขต่อคนทุกชนชั้น
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)