กระทรวงศึกษาธิการประชุมคณะกรรมการดำเนินการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่มีมีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย เร่งแก้ไขปัญหาเด็กนักเรียนไร้สัญชาติให้มีข้อมูลที่ชัดเจนและมีสถานะบุคคลตามกฎหมาย
4 พ.ค. 2560 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า สุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา เปิดเผยว่า กระทรวงศึกษาธิการได้มีการจัดตั้งและประชุมคณะกรรมการดำเนินการจัดการศึกษาแก่บุคคลที่มีมีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย เมื่อต้นเดือนเมษายน ที่ประชุมมีมติให้เร่งจัดทำข้อมูลบุคคลที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยที่อยู่ในระบบการศึกษาในทุกหน่วยงาน เพื่อให้มีข้อมูลที่ครบถ้วนในการบริหารจัดการศึกษาให้คนกลุ่มนี้
ตามที่มีระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียนนักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548 และมติคณะรัฐมนตรี 5 กรกฎาคม 2548 ในการให้โอกาสทางการศึกษาแก่บุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย สามารถเข้าเรียนได้โดยไม่จำกัดระดับประเภทหรือพื้นที่การศึกษานั้น ปัจจุบันมีเด็กนักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทย เข้าเรียนในโรงเรียนในสังกัดคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปี 2559 ซึ่งได้รับเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายรายหัวเช่นเดียวกับนักเรียนไทยจำนวน 67,577 คน และกระทรวงมหาดไทยอยู่ระหว่างดำเนินการเรื่องสัญชาติไทยจำนวน 6,800 คน นอกจากนี้มีนักเรียนที่ไม่มีหลักฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยที่เรียนอยู่ในโรงเรียนในสังกัดสำนักการศึกษากรุงเทพมหานครจำนวน 3,679 คน และในสังกัดกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนอีกประมาณ 1,500 คน
สุรพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมได้รับทราบข้อมูลการดำเนินการตามโครงการกำหนดสถานะให้แก่เด็กนักเรียนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ที่รับผิดชอบ 5 อำเภอของจังหวัดตาก ได้แก่ ท่าสองยาง แม่ระมาด แม่สอด พบพระ และอุ้มผาง ได้ดำเนินการช่วยเหลือเด็กนักเรียนให้ได้รับสถานะมีเลข 13 หลัก และมีบัตรเอกสารแสดงตน จำนวน 1,756 คน อยู่ระหว่างดำเนินการจำนวน 1,442 คน และที่ประชุมมีมติตั้งคณะอนุกรรมการจัดการปัญหาสถานะของนักเรียน เพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนในทุกพื้นที่ให้ได้รับการช่วยเหลือกำหนดสถานะที่ถุกต้องและเหมาะสม โดยจะประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยในการดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังมีมติตั้งคณะอนุกรรมการในการปรับปรุงแก้ไขคู่มือการปฏิบัติของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ระเบียบกฎหมายที่ปรับเปลี่ยนไปด้วย