ยังไม่จบนะครับ เพราะมันไปกันใหญ่แล้วต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ปัญหานี้คือปัญหาสำคัญในทางนิติศาสตร์ในสภาวะบ้านเมืองยุคนี้
จากกรณีศึกษา: คดีกล่าวหานายฐนกร ศิริไพบูลย์ และคนอื่นๆ(ถ้ามี)
"ผู้ต้องหาได้เข้าใช้เฟชบุ๊กส่วนตัวและกด "ถูกใจ"ที่รูปภาพของเฟชบุ๊ก ชื่อว่า.."(...)" ซึ่งมีภาพและเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม...เป็นการดูหมิ่น... ต่อมาผู้ต้องหาได้คัดลอกรูปภาพ 3 ภาพ มาจากทวิตเตอร์ แล้วนำไปเผยแพร่ในเฟชบุ๊กส่วนตัว ซึ่งเป็นภาพมีข้อความประชดเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง..."
- พฤติการณ์ที่กล่าวหาตามคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาว่ากระทำผิดนั้น เป็นการยกเอาข้อกฎหมายที่บัญญัติเป็นฐานความผิด( ม.14 ของพรบ.คอมฯ และป.อ.ม.112) มาบรรยายครอบคลุมตามข้อหาที่ตั้งให้แบบคลุมเครือเคลือบคลุมไม่ชัดเจนว่า พฤติการณ์โดยการ"กดไลค์" หรือ "ถูกใจ" เป็นความผิด ..? (ดูแล้วงง!)
- มือกฎหมายของผู้ถืออำนาจรัฐตอนนี้ที่ดีที่สุด ที่มีส่วนสร้างระบบความคิด มีส่วนรับผิดชอบ และออกมาสร้างความหวาดกลัว สร้างความเครียดให้ประชาชนจนนอนไม่หลับ ช่วยกรุณามานั่งแถลงข่าวหรือ ชี้แจงต่อประชาชนทั้งประเทศและทั้งโลกหน่อยว่า
การกด"ไลค์" หรือ "ถูกใจ" ในเฟซบุ๊กเป็นความผิดตามข้อกฎหมายใด?
เป็นการกระทำที่เข้าองค์ประกอบความผิดข้อใด? และ
ถือว่าการกระทำที่ว่านั้นมีเหตุผลทางกฎหมายสนับสนุนว่าเป็นความผิดได้อย่างไร? (ขอชัดๆนะ)
- ไม่ได้ท้าทาย แต่ความเป็นรัฐ มีเจ้าหน้าที่รัฐใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ ก็ต้องให้ความรู้แก่ประชาชน ทำอะไรให้ตรงไปตรงมา ตามหลักนิติธรรม
- ที่สำคัญ! อย่ามาตอบมั่วๆนะว่า "เจตนาประสงค์ต่อผล"หรือ "ย่อมเล็งเห็นผล" มาพูดสองประโยคนี้แล้วจบ มาตั้งข้อหาว่าการกระทำ "กดไลค์" หรือ "ถูกใจ" การกระทำนี้ย่อมเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรแล้ว อย่างนี้จะเป็นเพียงการตอบลอยๆไม่มีเหตุผลทางกฎหมาย (เด็กเรียนกฎหมายปีหนึ่งก็ตอบได้)
- ถ้าตอบไม่ได้หรือตอบไม่ชัดเจน ก็ควรทบทวนพิจารณาหลักกฎหมายให้ดีเถอะว่า สมควรที่จะตัดพฤติการณ์เช่นนี้ออก การบรรยายหรือเอาพฤติการณ์เพียงเท่านี้แล้วตีความว่าเป็นความผิด ทั้งๆที่ไปไม่ได้ในทางกฎหมายที่มี เพราะมันจะกลายเป็นมาตรฐานในการบังคับใช้กฎหมายที่จะสร้างผลกระทบอย่างมากต่อบริบทสังคมประเทศ และจะส่งผลร้ายได้ต่อผู้บังคับใช้กฎหมายเช่นกัน
นอกจากที่ตั้งคำถามข้างต้นแล้ว ยังมีหลักกฎหมายอีกประการที่เป็น ปัจจัยหลักสำคัญที่มีผลทำให้ผู้กระทำมีความผิดและรับโทษทางอาญาได้นั้น ต้องประกอบด้วยสาระสำคัญ 3 ประการคือ
1. ต้องมีกฎหมายบัญญัติว่าการกระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างใดเป็นความผิด
2. ต้องมีการกระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
3. การกระทำนั้นต้องประกอบด้วยสภาพทางจิตใจ หรือเจตนากระทำความผิด (เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้ กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้กระทำโดย ไม่มีเจตนา)
*** ดังนั้น จากหลักนี้ "เจตนาในการกระทำความผิด" จึงเป็นเรื่องเว้นเสียมิได้ หากจะบุคคลต้องรับผิดในทางอาญา
การกระทำที่จะเป็นความผิดนั้น ต้องประกอบด้วยสภาพทางจิตใจ หรือมีเจตนากระทำความผิด เว้นแต่บางกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ดังที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคแรกที่บัญญัติไว้ว่า “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้ กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำ โดยไม่มีเจตนา”
การกระทำแม้จะโดยเจตนาหรือกระทำโดยไม่เจตนาก็ตาม ต่างก็เป็นสภาพทางจิตใจทั้งสิ้น และถือเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบภายในของความผิดด้วย ดังนั้น เหตุผลทางกฎหมายที่จะนำพฤติการณ์ของการกระทำ มูลเหตุจูงใจ พยานหลักฐานทุกประเภทจากการสอบสวนของพนักงานสอบสวน การสอบสวนที่ถูกต้องเป็นธรรม ยึดหลักกฎหมายจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องกระทำในทางสอบสวนและเป็นประเด็นสำคัญที่จะเตรียมข้อเท็จจริงเข้าสำนวนสอบสวนเพื่อเข้าสู่การพิจาณาของศาล (กรณีคดีในยุคนี้คือศาลทหารที่อยู่ภายใต้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินโดยกระทรวงกลาโหม)
การให้อำนาจศาลทหาร พิจารณาคดีพลเรือน (1)
ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 37/2557 และประกาศฉบับที่ 38/2557 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 ทั้งสองฉบับดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อข้อความตามมาตรา 4 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ที่บัญญัติให้ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคบรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับความคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณี ระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้ กล่าวคือ
1) ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีของ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ International Covenant on Civil and Political Rights หรือเรียกโดยย่อว่า ICCPR โดยการภาคยานุวัติ (accession) เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2539 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2540 อันถือเป็นพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วตามมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ICCPR ถือเป็นกฎหมายระหว่างประเทศตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนตามหลักการที่ได้ประกาศไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ บทบัญญัติที่เกี่ยวกับสิทธิในการพิจารณาคดีอาญานั้น ICCPR มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ประกอบด้วย
1.1) สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย และเป็นธรรมด้วยคณะตุลาการที่มีความเป็นอิสระและเป็นกลาง อันเป็นไปตามมาตรา 14.1 ของ ICCPR ที่บัญญัติว่า “ All person shall be equal before the courts and tribunals. In the determination of any charge against him, or his rights and obligations in a suit at law, everyone shall be entitled to a fair and public hearing by a competent, independent and impartial tribunal established by law.”
1.2) สิทธิที่จะอุทธรณ์ไปยังคณะตุลาการในระดับที่สูงขึ้น อันเป็นไปตามมาตรา 14.5 ของ ICCPR ที่บัญญัติว่า “Everyone convicted of a crime shall have the right to his conviction or sentence being reviewed by a higher tribunal according to law.” ปรากฏตาม ICCPR
2) ศาลทหารกรุงเทพ หรือศาลทหารมณฑลทหารบกต่างๆ หาได้มีความเป็นอิสระดังเช่นศาลพลเรือนทั่วไปไม่ เพราะยังคงสังกัดอยู่ในกระทรวงกลาโหมอันเป็นส่วนราชการของฝ่ายบริหาร นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยังมีอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนตุลาการ ทำให้ตุลาการขาดความเป็นอิสระ ดังที่บัญญัติไว้ตั้งแต่มาตรา 5 ถึงมาตรา 12 อันเป็นบททั่วไปแห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 จึงขัดกับหลักการตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 14.1 ของ ICCPR ที่ศาลต้องมีความเป็นอิสระไม่สังกัดหรือขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหาร
3) ศาลทหารกรุงเทพที่พิจารณาพิพากษาคดีนี้ เป็นศาลทหารในเวลาที่ได้ประกาศกฎอัยการศึกอันถือเป็นศาลทหารในเวลาไม่ปกติตามความในมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ ต้องห้ามมิให้มีการอุทธรณ์และฎีกาตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติในมาตรา 14.5 ของ ICCPR
ข้อสังเกตุจากผลกระทบที่ให้อำนาจศาลทหารพิจารณาคดี เฉพาะกรณีคดีของนายฐนกร ศิริไพบูลย์ และกรณีอื่นที่คล้ายกัน
ก. จับ-สืบ-สอบ-ตัดสิน โดยทหาร
การสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นก่อนการกล่าวหาอย่างเป็นทางการ กระทำโดยเจ้าหน้าที่ทหารซึ่งประกอบด้วยนายทหารพระธรรมนูญ เป็นนายทหารที่มีความรู้กฎหมาย เจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อย (ข้าราชการทหาร) ต่อมาส่งเรื่องให้ตำรวจเพราะมีประสบการณ์ในการทำสำนวนคดีอาญามากกว่า ทั้งมีหน่วยงานในสังกัด สตช.หลายหน่วยร่วมทำงาน เพื่อให้สะดวกคล่องตัวในการทำคดี แนวทางและรูปคดีจึงเป็นอย่างสอดคล้องกันตั้งแต่ต้น เมื่อสอบสวนเสร็จ แม้ในหลายคดีที่พบเห็นและได้ศึกษาจะทำได้อย่างน่ากังวลเพราะมาตรฐานการสอบสวนและพิจารณาสำนวนเป็นไปอย่างเคลือบแคลงสงสัยในทุกคดี
ท้ายสุดคดีเหล่านั้นก็ถูกนำสู่อำนาจศาลทหาร ตั้งแต่การออกหมายจับ ฝากขัง การคุมขัง การพิจารณาปล่อยชั่วคราว การพิจารณาคดี จนกระทั่งการพิพากษา ซึ่งในบางคดีมีข้อมูลว่าพิพากษาคดีโดยที่จำเลยยังไม่ได้ปรึกษาและได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายอย่างที่ควรจะได้ ทั้งหมดจึงจบด้วยเส้นทางที่ผมเคยเรียกว่า "กระบวนการยุติธรรมลายพราง"
ข. ผู้ต้องหาหรือจำเลย ถูกริดรอนและไม่ได้รับโอกาสอย่างผู้บริสุทธิ์ก่อนการตัดสินว่ามีความผิดเป็นที่สุด
จากคดีที่ยกขึ้นเป็นกรณีศึกษานี้ มิใช่คดีแรกที่เกิดขึ้น หากแต่เป็นเสมือนตรายางของการดำเนินคดีที่มีสัญญาณบอกว่า หากเป็นคดีความมั่นคงฯ ก็อย่าได้หวังว่าจะได้รับโอกาสการปล่อยตัวชั่วคราว เพราะเมื่อถูกตั้งข้อหาหนักที่เกี่ยวกับความผิดต่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร อาทิ ม.112 ,116, 135/1-135/4 ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน ม.210,215 , ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ รวมทั้งความผิดที่ระบุไว้ ข้อ 3. ของคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 เป็นต้น เหล่านี้คือต้นเหตุของผลที่จะไม่ได้รับสิทธิในการปล่อยชั่วคราว ซึ่งทั้งหมดพิจารณาโดยศาลทหารแทบทั้งสิ้น
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น เป็นเพียงกรณีปัญหาการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมของ คสช. ที่ไม่ได้เป็นผลงานของรัฐบาล และ คสช. เท่าใดนัก ประชาชนจะต้องอยู่ในความสุ่มเสี่ยงได้รับการปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่รัฐที่บังคับใช้กฎหมายที่ดูเป็นปัญหาเช่นนี้อีกนานเท่าใด แล้วความสุขที่จะคืนให้นั้น สุดท้ายแล้วมันอยู่ที่ไหน และโปรดอย่าลืมว่า "สิ่งแรกที่จำเป็นของอารยธรรมที่เจริญ คือความยุติธรรม"
อ้างอิง
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)