Skip to main content
sharethis
ตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบสต๊อกข้าว เผยญี่ปุ่นเชื่อมั่นไม่ถอนการลงทุน เตรียมนัดประชุมองค์กรอิสระ 7 องค์กร รับทราบผลกระทบต่างๆ เพื่อหาทางออกร่วมกัน 6 มิ.ย.นี้
 
5 มิ.ย. 2557 ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า ที่กองบัญชาการกองทัพบก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมเพื่อติดตามสถานการณ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร เลขาธิการ คสช. เป็นประธานการประชุมเพื่อติดตามการทำงานในแต่ละส่วนงาน ซึ่งได้มีการชี้แจงผลการปฏิบัติงานในส่วนต่างๆ
 
ทั้งนี้ พล.อ.อุดมเดช ได้กล่าวเน้นย้ำในที่ประชุมหลายเรื่อง อาทิ ในส่วนของกระทรวงไอซีที ขอให้มีการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจอันดีให้เกิดขึ้นในหมู่พี่น้องประชาชนให้มากขึ้น รวมทั้งในส่วนกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นในกลุ่มธุรกิจต่างๆ
 
พล.อ.อุดมเดช กล่าวว่า ที่ผ่านมา หัวหน้า คสช. ได้พบปะหารือร่วมกับกลุ่มนักลงทุนประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นนั้น ถือเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการลงทุนในประเทศไทยมากที่สุดเกินกว่าร้อยละ 50 ซึ่งสามารถเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนี้คืนมาได้เป็นอย่างดี
 
อีกทั้งในส่วนงานฝ่ายสังคมจิตวิทยา ยังได้มีการพูดถึงเรื่องของการให้ความสำคัญที่จะใช้มิติทางด้านวัฒนธรรมแก้ไขปัญหาความมั่นคงในชาติ การเร่งสร้างเครือข่ายทางวัฒนธรรม รวมทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันทางวัฒนธรรมให้เข้มแข็ง ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสามัคคีปรองดอง ให้เกิดขึ้นในชาติได้เป็นอย่างดี
 
พล.อ.อุดมเดช กล่าวถึงงานด้านเศรษฐกิจด้วยว่า ได้มีการกำชับให้เจ้าหน้าที่ทหารในทุกกองทัพภาค เตรียมกำลังพลให้พร้อม เพราะทันทีที่มีการตั้งคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการตรวจสอบสต๊อกข้าวเสร็จสิ้น งานต่อไปก็คือการลงพื้นที่ตรวจสอบสต๊อกข้าวทั่วประเทศ
 
นอกจากนี้ในส่วนงานฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมช่วงบ่ายจะมีการเชิญหัวหน้าส่วนราชการกระทรวงยุติธรรมเข้ามาชี้แจงงบประมาณในปี เพื่อเสนอต่อ คสช.อีกทั้งจะได้มีการเตรียมนัดหมายเพื่อประชุมองค์กรอิสระ 7 องค์กร เพื่อรับทราบผลกระทบต่างๆ เพื่อหาทางออกร่วมกันโดยจะมีขึ้นในวันที่ 6 มิ.ย.นี้
 
 
ทีดีอาร์ไอ แนะ คสช.ตรวจสต๊อกข้าวทั้งประเทศ ทำลายข้าวเน่า-หยุดส่งออกดันราคาข้าว
 
ก่อนหน้านี้ โพสต์ทูเดย์ รายงานเมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2557 ว่า นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า โจทย์ใหญ่ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และ ธ.ก.ส.จะต้องหาทางแก้ปัญหาคือ ข้าวนาปีที่ผลผลิตกำลังจะออกมากว่า 20 ล้านตัน โดยผลผลิตราว 80% จะออกมาในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค.นี้ ถ้าไม่มีมาตรการอะไรมาพยุงราคาอาจส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร
 
นอกจากนี้ หากมีการเร่งระบายข้าวเก่าจะยิ่งทำให้ข้าวนาปีที่ออกมาราคาตก โดย คสช.ให้นโยบาย ธ.ก.ส.ในการดูแลเกษตรกรที่ปลูกข้าวว่า นโยบายจะต้องสอดคล้องให้กลไกตลาดทำงานได้เต็มที่ ไม่บิดเบือนราคา การทำโครงการจะต้องไม่เป็นภาระทางการคลัง จนสาธารณชนรับไม่ได้ และไม่ทำนโยบายประชานิยมเพิ่ม รวมถึงต้องเป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดความยั่งยืน อยู่บนรากฐานให้ชาวนาอยู่ได้ด้วยตัวเอง
 
นายนิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า หาก คสช.ต้องการจะยกระดับราคาข้าวในขณะนี้จะต้องประกาศให้ตลาดรับรู้ว่าจะหยุดขายข้าวส่งออกไปถึงสิ้นปีนี้ จากนั้นต้องตรวจเช็กสต๊อกข้าวทั้งหมดเพื่อทำบัญชีรวมทั้งประเทศใหม่ โดยจ้างบริษัทเซอร์เวเยอร์มืออาชีพมาตรวจสต๊อกและให้เจ้าหน้าที่ทหารเข้าคุมโกดังข้าวทุกแห่ง เพื่อให้ทราบว่าข้าวเก่าก่อนโครงการรับจำนำมีปริมาณเท่าไหร่ และข้าวในโครงการรับจำนำที่มี 16 ล้านตันนั้น เป็นข้าวเน่า ข้าวหาย และข้าวปกติ ปริมาณเท่าไหร่ จากนั้นก็ทำลายข้าวเน่าทั้งหมด
 
“หลังตรวจแล้วปริมาณสต๊อกข้าวที่แท้จริงในมือรัฐบาลหลังจากหักข้าวเน่าและข้าวหายแล้ว อาจเหลือเพียง 9-10 ล้านตันก็ได้ ถ้าทำได้เชื่อว่าราคาข้าวในตลาดจะปรับตัวสูงขึ้น โดยจำเป็นต้องรับจำนำข้าวหรือประกันราคาข้าวมาช่วยเหลือเกษตรกร”นายนิพนธ์ กล่าว
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net