ภาพจาก : กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน
28 ก.พ. 56 เครือข่ายภาคประชาชนจาก 28 องค์กร ราว 300-400 คน นัดหมายชุมนุม และมีการเดินเท้าจากลานพระบรมรูปทรงม้ามายังทำเนียบรัฐบาลเพื่อแสดงความห่วงใยต่อกรณีที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะเจรจาความตกลงการค้าเสรีระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (อียู) จะเดินทางไปกรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยียม เพื่อเริ่มต้นเปิดการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ในวันที่ 6-7 มี.ค.นี้ โดยรัฐบาลกำหนดจะเร่งกระบวนการเจรจา เพียง 10 รอบ ใช้เวลา 1 ปีครึ่งเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการเห็นชอบของรัฐสภาให้ทันการต่อสิทธิพิเศษทางการค้า (จีพีเอส) ระหว่างไทยกับยุโรปที่จะสิ้นสุดในปี 2557
ทางเครือข่ายได้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลและคณะเจรจาฯ แสดงจุดยืนต่อข้อเรียกร้อง 5 ประการของทางเครือข่าย
- ต้องไม่ยอมรับเนื้อหาการเจรจาที่เกินไปกว่าข้อตกลงด้านทรัพย์สินทางปัญญาของ WTO (ไม่ยอมรับทริปส์พลัส) โดยเฉพาะในประเด็น การขยายเวลาการคุ้มครองสิทธิบัตร, การผูกขาดข้อมูลทางยา, มาตรการ ณ จุดผ่านแดน และไม่ยอมรับการแก้ไขกฎหมายระบบการคุ้มครองพันธุ์พืชที่ประเทศไทยใช้บังคับอยู่ ซึ่งเป็นไปตามความตกลงทริปส์และสอดคล้องกับอนุสัญญาความหลากหลายทางชีวภาพ
- การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐและเอกชนในบทว่าด้วยการลงทุน ต้องไม่มีผลให้มีการนำข้อพิพาทที่เกี่ยวกับการลงทุนสาธารณะ, การออกนโยบายหรือมาตรการเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์สาธารณะ, การคุ้มครองสิ่งแวดล้อม, ด้านสาธารณสุข, สาธารณูปโภคพื้นฐาน และความมั่นคง เข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการ
- ไม่เปิดเสรีการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ การทำนา ทำสวน ทำไร่ การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การปลูกป่า การเพาะและขยายพันธุ์พืช ตลอดจนการลงทุนที่สร้างผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร
- ถอนสินค้าเหล้า บุหรี่ ออกจากการเจรจาสินค้า
- ให้มีการจัดหารือผู้มีส่วนได้เสียครบทุกภาคส่วนทั้งก่อนและหลังการเจรจาในแต่ละรอบ โดยให้มีการชี้แจงท่าทีของคณะเจรจา รายงานความคืบหน้า พร้อมรับฟังและดำเนินการตามข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล
ภายหลังการหารือระหว่างตัวแทนเครือข่ายประชาชนกับนายโอฬาร ไชยประวัติ หัวหน้าคณะเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู ทำให้ได้ข้อสรุปที่ยอมรับกันเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติได้แก่
- หลังจากที่มีการเจรจาความตกลงดังกล่าวในแต่ละรอบ จะมีการเปิดเผยข้อมูลการเจรจาและเปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งในปีนี้จะมีการเจรจากัน 3 รอบ
- จะมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตาม โดยจะให้มีตัวแทนจากภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม
- ประเด็นที่ภาคประชาชนห่วงใยเป็นพิเศษ เรื่องทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิบัตรยา หรือสิทธิบัตรในทรัพยากรชีวภาพ (เช่น การใช้ประโยชน์จากจุลินทรีย์) เรื่องสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพแอลกอฮอล์และยาสูบ เรื่องนักลงทุนต่างชาติสามารถฟ้องรัฐผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้ โดยจะให้มีคณะทำงานซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือตัวแทนภาคประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมกับทีมเจรจา
ภาพจาก : กรรณิการ์ กิจติเวชกุล
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)