Skip to main content
sharethis

ศาลปกครองสูงสุดสั่งอนุญาตชาวบ้านบางสะพาน เข้าเป็นคู่ความในฐานะผู้ร้องสอดในคดีเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน 52 แปลง ในประจวบคีรีขันธ์ หลังอุธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลาง ยืนยันสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร วันนี้ (28 ก.ย.54) เมื่อเวลา 10.00 น. ศาลปกครองสูงสุดนัดฟังคำสั่งชี้ขาดคำร้องอุทธรณ์ กรณีชาวบ้าน อ.บางสะพาน ร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครองกลางที่ไม่อนุญาตให้ร้องสอด คดีกลุ่มบริษัทสหวิริยาฟ้องเพิกถอนคำสั่งและแก้ไขหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดิน (น.ส.3ก.) ของกรมที่ดิน ในที่ดิน 52 แปลง คดีหมายเลขดำที่ 1335/2553 ระหว่าง บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 8 คน ผู้ฟ้องคดี กับ อธิบดีกรมที่ดิน ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ผู้ถูกฟ้องคดี ณ ศาลปกครองกลาง ศาลปกครองสูงสุด ยืนยันสิทธิตามสิทธิชุมชนในการจัดการ การบำรุงรักษา การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้รับรองไว้ โดยมีคำสั่งอนุญาตให้ชาวบ้าน อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เข้าเป็นคู่ความในฐานะผู้ร้องสอดในคดีเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน 52 แปลง ด้วยเหตุที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน คำสั่งศาลปกครองระบุด้วยว่า ผู้ร้องสอดทั้งสามสิบสามคน มีภูมิลำเนา ประกอบอาชีพ และอยู่อาศัย รวมถึงใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ย่อมมีสิทธิที่จะมีส่วนร่วมกับรัฐและชุมชนในการอนุรักษ์ บำรุงรักษา และได้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพและในการคุ้มครองส่งเสริม และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ดำรงชีพอยู่ได้อย่างปกติและต่อเนื่องในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย สวัสดิภาพ หรือคุณภาพของตน อันเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 วรรคหนึ่ง การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำนวน 52 แปลงในบริเวณดังกล่าวจึงกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของผู้ร้องสอดทั้งสามสิบสามคน สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 1 ธ.ค.53 ชาวบ้าน 12 หมู่บ้านใน ต.กำเนิดนพคุณ ต.ธงชัย ต.แม่รำพึง และต.พงษ์ประศาสน์ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 33 คน มอบอำนาจให้ โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) ดำเนินการยื่นคำร้องสอดคดีเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน 52 แปลง ในพื้นที่ ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่มีชื่อบริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) กับบริษัทในเครือเป็นผู้ครอบครอง กลุ่มชาวบ้านให้เหตุผลว่า การออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 52 แปลง อยู่ในเขตป่าคุ้มครองและป่าสงวนแห่งชาติป่าคลองแม่รำพึง โดยพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพเป็นพื้นที่ป่าชายเลน อันเป็นสาธารณะสมบัติดั้งเดิมของชุมชน มีความอุดมสมบูรณ์ และหลากหลายทางชีวภาพ แต่ภายหลังที่กลุ่มบริษัทสหวิริยาได้อ้างเอกสารสิทธิ์เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเพื่อเป็นพื้นที่ก่อสร้างถนนและท่าเรือน้ำลึก อันส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ ต่อมา เมื่อวันที่ 20 ม.ค.54 คำสั่งศาลปกครองกลาง มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ร้องสอด ด้วยเหตุว่า ผู้ร้องสอดเป็นเพียงผู้อยู่ในชุมชนหรือบริเวณใกล้เคียงกับที่พิพาทเท่านั้น ไม่ได้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองทำประโยชน์ใน น.ส.3ก. จำนวน 52 แปลงที่พิพาท อ่านรายละเอียดคำสั่งเพิ่มเติม: www.enlawthai.org เรียบเรียงข้อมูลจาก : โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม (EnLAW) ​ หนังสือชี้​แจงข้อ​เท็จจริง​ความคืบหน้า กรณีที่ดินของ​เครือสหวิริยาจำนวน 52 ​แปลง ถูกกรมที่ดิน​เพิกถอนสิทธิ นาย​ไพ​โรจน์ มกร์ดารา ​ผู้อำนวย​การฝ่าย​โครง​การพิ​เศษ ​เครือสหวิริยา ขอ​เรียนชี้​แจงว่า จาก​เหตุ​การณ์ที่​เครือสหวิริยา ​ได้ถูกกรมที่ดิน​เพิกถอนสิทธิ​ในที่ดินจำนวน 52 ​แปลง คิด​เป็นพื้นที่กว่า 800 ​ไร่ ที่อำ​เภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ​เมื่อต้นปี 2553 นั้น ​เครือสหวิริยา​ได้ชี้​แจงข้อ​เท็จจริงอย่างต่อ​เนื่อง​ให้กับ​ผู้ที่​เกี่ยวข้อง ​โดย​เฉพาะประชาชน​ในพื้นที่บางสะพาน ​โดยมีข้อ​เท็จจริงตามลำดับ​เหตุ​การณ์ดังนี้ ตั้ง​แต่ปี 2534: บริษัท​ใน​เครือสหวิริยา​ได้ถือครองที่ดินดังกล่าว — จำนวน 52 ​แปลง จำนวนที่ดิน​ทั้งหมดกว่า 800 ​ไร่ ​โดยบริษัท​ได้​ทำ​การซื้อที่ดินจากคน​ในชุมชนที่นำมาขาย ​ซึ่งมี​การครอบครอง​ทำประ​โยชน์มาตั้ง​แต่​เริ่ม​แรก ​เครือสหวิริยา​ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวมา​โดยสุจริต ​เสียค่าตอบ​แทน มี​การจดทะ​เบียนกับหน่วยงานของรัฐ ​และมี​เอกสารที่ถือครองอยู่ออก​โดยหน่วยงานของรัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ปี 2550: กลุ่มอนุรักษ์​แม่รำพึง​ได้ร้อง​เรียน​ให้กรมที่ดินมาตรวจสอบพื้นที่ 52 ​แปลงดังกล่าว ปี 2550-2553: กรมที่ดิน​ได้รับ​เรื่อง​และตั้งคณะกรรม​การตรวจสอบกันมาระยะหนึ่ง ​และ​เมื่อต้นปี 2553 กรมที่ดิน​ได้มี​การออกหนังสือ​แจ้งมายัง​เครือสหวิริยาว่า จะดำ​เนิน​การ​เพิกถอนสิทธิ​และขอ​แก้​ไข​เอกสารสิทธิบางส่วนที่บริษัทถือครองอยู่ 29 มกราคม 2553: ​เครือสหวิริยา​ได้​ทำ​การอุทธรณ์คำสั่งที่กรมที่ดิน​ใน​การ​เพิกถอน ​และ​แก้​ไข​เอกสารที่ดินบางส่วนของ​เครือสหวิริยา 8 มิถุนายน 2553: ​เครือสหวิริยา​ได้รับหนังสือ​แจ้งผล​การพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งทางปกครอง ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 ว่า รองปลัดกระทรวงมหาด​ไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจ​การ​ความมั่นคงภาย​ใน ​ได้พิจารณาคำอุทธรณ์ของ​เครือสหวิริยา​แล้ว​เห็นว่า คำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน​ให้​เพิกถอน​และ​แก้​ไข น.ส.3ก. จำนวนประมาณ 52 ​แปลง ​ซึ่งมีชื่อบริษัท​ใน​เครือสหวิริยาถือสิทธิครอบครองดังกล่าว​เป็น​การชอบ​แล้ว ​และ​ได้ยกอุทธรณ์ของ​เครือสหวิริยา 1 กันยายน 2553: ​เครือสหวิริยา​ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง ภาย​ในระยะ​เวลา 90 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด​ในรายละ​เอียดดังนี้ 1.ขอ​ให้​เพิกถอนคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่​ให้​เพิกถอน น.ส.3ก. ​และขอ​ให้​เพิกถอนคำวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของรองปลัด มท.(คดีดำที่ 1335/53) 2.ยื่นคำร้องขอทุ​เลา​การบังคับตามคำสั่งทางปกครอง 3.ยื่นคำร้องขอ​ให้กำหนดวิธี​การ​หรือมาตร​การ​เยียวยาก่อนศาลมีคำพิพากษา ​โดยศาลประทับรับคำฟ้อง​เรียบร้อย ​และ​ได้มี​การ​ไต่สวน​เพื่อพิจารณา​เกี่ยวกับคำขอทุ​เลา​การบังคับตามคำสั่งทางปกครอง ​เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2553 ​และศาลพร้อมดำ​เนิน​การ​ในขั้นตอนที่​เกี่ยวข้องต่อ​ไป ​เครือสหวิริยา ​ใคร่ขอ​เรียนว่า กรณีดังกล่าว​เป็น​การ​เข้าซื้อที่ดิน ที่มี น.ส.3ก. ​หรือมี​เอกสารสิทธิมา​โดยชอบตั้ง​แต่ปี 2534 ​แล้ว ​จึง​เข้า​ใช้ประ​โยชน์ที่ดินต่อ​เนื่องกันมาจน​ถึงปัจจุบัน ​การที่กรมที่ดิน​เพิกถอน น.ส.3ก. จำนวน 52 ​แปลง ​เครือสหวิริยา ​ได้​เรียนยืนยันมา​โดยตลอด​เวลาว่า มี​การซื้อที่ดินดังกล่าวมา​โดยสุจริต ​เสียค่าตอบ​แทน มี​การจดทะ​เบียนกับหน่วยงานของรัฐ ​และ​เอกสารที่ถือครองอยู่​ได้ออก​โดยหน่วยงานของรัฐ ​จึง​ไม่มี​เจตนาบุกรุกที่ดินของรัฐ​แต่ประ​การ​ใด ​และกรณี​การถูก​เพิกถอน​เอกสารสิทธิ น.ส.3ก. ​เครือสหวิริยา ​ได้ฟ้องร้องขอ​ความ​เป็นธรรม ตลอดจนพึ่งบารมีศาลปกครอง​ไปภาย​ในระยะ​เวลาที่กรมที่ดินกำหนด​ให้​แล้ว ​เครือสหวิริยา ​จึงขอย้ำว่า จากนี้​ไปจะ​ไม่ขอชี้​แจง​เพิ่ม​เติม​ในประ​เด็นนี้อีก ​เพราะ​เรื่องอยู่​ในกระบวน​การพิจารณาของศาลปกครอง​แล้ว ขอ​ให้ศาลสถิตย์ยุติธรรมท่านพิจารณาตัดสินชี้ผิดถูก ​ซึ่ง​เครือสหวิริยา​ก็พร้อมจะน้อมรับทุกประ​การ สอบถามข้อมูล​เพิ่ม​เติม: ​ทีมสื่อสาร​เครือสหวิริยา โทร.0 2285 3101 - 10 # 601-603 ที่มา: เว็บไซต์ RYT9

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net