“ตั้ง แต่ เป็นสาวเต็มกาย หา ผู้ชาย ถูก ใจ ไม่มี เมื่อ คืน ฝันดี น่าตบ ฝันฝัน ว่าพบ ผู้ชาย ยอด ดี พาไปเที่ยว ดู หนัง พาไปนั่ง จู๋ จี๋” จากเนื้อเพลง “ผู้ชายในฝัน”ขับร้องโดย พุ่มพวง ดวงจันทร์ เพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์เพลงดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นเพลงเอกในการประกอบหนังชีวประวัติของ เธอในชื่อ “พุ่มพวง”ที่กำลังจะเข้าฉายในวันพฤหัสบดีนี้ โดยเนื้อร้องพูดถึงผู้หญิงที่มีความฝันว่าจะพบกับชายในฝันได้ขับกล่อมแฟนๆมา นานกว่า 20 ปี โดยเฉพาะท่อนที่อยู่ในความทรงจำของแฟนๆคือ “เสียบหล่นๆตั้ง 5 – 6 ที” กลายเป็นอะไรที่ชวนตีความได้หลากหลาย และกลายเป็นมุกตลกในวงเหล้า เพลงของพุ่มพวงนั้นหลายๆเพลงมีความแสดงความ “ก๋ากั่น และเจ้าชู้” ในจังหวะสนุกสนาน ถือว่าได้สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการเพลงลูกทุ่งในช่วง 20-30 ปีก่อนเป็นอย่างมาก อยู่ในเพลง เช่น “นัดพบหน้าอำเภอ” ที่กล่าวถึงการพบรักกันโดยบังเอิญและหวังว่าจะพบกับหนุ่มที่เคยหมายตาอีก ครั้ง หรืออย่างเพลง หรืออย่างเพลง “หนูไม่รู้” เพลงที่ผู้หญิงแอบไปปิ๊งกับคนมีเจ้าของ เพลงผู้ชายในฝัน ซึ่งต่อมาได้เป็นแนวทางให้กับลูกทุ่งหญิงรุ่นใหม่อย่าง ยุ้ย ญาติเยอะ ในเพลงสุดเปรี้ยว “เลิกเมียบอกมา” หรือ อาภาพร นคร สววรค์ ในเพลง “เชฟบ๊ะ” หรือ “ชอบมั้ย” ก็มีสีสันฉูดฉาดไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าถ้าเพลงเหล่านี้มาออกในช่วงเวลานี้ ผู้มีอำนาจในกระทรวงวัฒนธรรมอาจจะตีอกชกหัวกันร้องกรี๊ดลั่นเหมือนนางร้าย ละคร 3 ทุ่ม (เวลาที่ละครติดเรทฉาย และคิดว่าเด็กๆนอนไปแล้ว) ภาพพจน์ของกระทรวงวัฒนธรรมหลังจากมีการก่อตั้งมาร่วม 10 ปีในสายตาคนในวงการศิลปะถือว่ามีความ “อนุรักษ์นิยม”ค่อนข้างสูง แทนที่จะมีหน้าที่ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย การกระทำส่วนใหญ่กลับเป็นการ “อนุรักษ์นิยมแบบเกินกว่าอนุรักษ์นิยม” กล่าวคือการอธิบายในหลายๆบริบทนั้นมีความอนุรักษ์นิยมเกินกว่าบริบทและช่วง เวลาที่ผลงานเหล่านั้นได้เริ่มออกสู่สายตาประชาชนครั้งแรก ยกตัวอย่างเช่นในขณะที่กระทรวงวัฒนธรรมบอกว่า เพลง “คันหู” ที่มีเนื้อหาเพลงสองแง่สามง่ามโดยมีเนื้อร้องประกอบท่าเต้นที่ยั่วยวนว่า เพลงคันหู “อู๊ยคันหู ไม่รู้ ว่าเป็นอะไร เอาสำลี มาปั่น ก็ไม่หาย คันจริ๊ง มันคันอยู่ข้างใน คันหูทีไร ขนลุก ทุกที” จากเนื้อเพลง “คันหู” ขับร้องโดย Turbo Music เพลงอาจจะถูกนำเสนอผ่านการเป็นตัวแทนของชนชั้น ในขณะที่คนมีเงินสามารถไปเที่ยวโคโยตี้ ค็อกเทลเล้านจ์ที่มีระดับ ปรนนิบัติโดยสาวๆนุ่งน้อยห่มน้อย แต่คนหาเช้ากินค่ำอาจจะสามารถเข้าถึงกับวีซีดีโคโยตี้ หรือการแสดงสดที่มีความวาบหวิวกับถูกมองจากผู้มีการศึกษาว่า “อนาจาร” อะไรคือเส้นแบ่งระหว่าง “ศิลปะ” “งานบันเทิง” และ “อนาจาร” กลับเลือกอธิบายว่าเพลงลูกทุ่งสมัยก่อนเช่นเพลงของ พุ่มพวง ดวงจันทร์นั้นมีความ “รักนวลสงวนตัว” และ “ไม่ขัดศีลธรรมอันดีงาม” ทั้งๆที่ในช่วงเวลาที่เพลงฮิตของพุ่มพวงออกอากาศนั้นถือว่าเป็นเรื่องฮือฮา และแปลกใหม่ไม่น้อยในแนวที่เรียกว่า “ลูกทุ่งสตริง” โดยเนื้อหาที่ผู้หญิงจะมาพูดถึงความรักแบบเปิดเผยตรงไปตรงมามากขึ้น หรือแม้กระทั่งไปรักคนมีเจ้าของแล้ว (หรือเพลง “ฉันเปล่านะเขามาเอง” ที่พูดถึงมีหนุ่มมาดักรอสาวนักร้องขี้เหงาตอนผับเลิก ไม่ต่างอะไรกับปัจจุบัน) หรือการยกตัวอย่างว่าเพลงสุนทราภรณ์นั้น มีความถูกต้องตามขนบธรรมเนียมเพลงไทย มีเนื้อร้อง ทำนองที่ไพเราะด้วยอักขระวิธีประพันธ์ และเนื้อหาละเมียดละไม แต่ถ้าเราไปค้นจริงๆเนื้อหาของเพลงมีลักษณะที่ “วาบหวาม”มากกว่าเสียด้วยยกตัวอย่างเช่น เพลง “ขอให้เหมือนเดิม” ที่เรียกได้ว่าบรรยายโดยไม่ต้องจินตนาการเพราะเห็นภาพชัดเจน “ก่อนจากกัน คืนนั้นสองเรา แนบซบเนาเคล้าคลอพ้อพรอดภิรมย์ หวานล้ำบำเรอ เธอให้ชิดชม ฉันกอดเล้าโลม ชื่นใจ จูบแก้มนวล ช่างยวนเย้าตรึง” จากเนื้อเพลง “ขอให้เหมือนเดิม” ขับร้องโดย สุนทราภรณ์ ยิ่งแล้วใหญ่หากจะยกไปเทียบกับบทพระราชนิพนธ์ “ลิลิตพระลอ”ที่มีความสวยงามในแง่ของวรรณศิลป์ก็ยังแฝงฉากอัศจรรย์ที่แทบจะ หลุดออกมาจากหนังสือปกขาวให้ได้ครางฮือ เช่นฉากที่หลังจากร่วมรักในน้ำเสร็จก็มาต่อบทรักรอบต่อไปบนบกต่อ ที่ว่า “สรงสนุกน้ำแล้วกลับ…………..สนุกบก เล่านา สองร่วมใจกันยก…………………..ย่างขึ้น ขึ้นพลางกอดกับอก………………..พลางจูบ สนุกดินฟ้าฟื้น……………………….เฟื่องฟุ้งฟองกาม” จาก “ลิลิตพระลอ” การทำเรื่องเพศ ให้กลายเป็นสินค้า (commodofication) นั้นมีมาอยู่ทุกสมัยอย่างยาวนาน เรียกได้ว่าเรื่องเพศนั้นเป็นความบันเทิงของคนทุกระดับชั้นไม่ว่าจะเป็นเจ้า นาย ขี้ข้า ไพร่ หรืออำมาตย์ ย่อมไม่ห่างหายจากเรื่องเพศ ทั้งในวงเหล้าข้างทางหรือในรั้วในวัง เรื่องเพศคาวโลกีย์นั้นย่อมเป็นความสุขของมนุษย์ปุถุชนสะท้อนผ่านจิตรกรรมฝา ผนัง หรือ เพลงพื้นบ้านต่างๆ ปัญหาก็คือเราควรจะมองวัฒนธรรมเป็นลักษณะพลวัตร(dynamic) ไม่ใช้แข็งตัว(stable) หรือการสร้างกรอบศีลธรรมอันดีงามขึ้นมาเพื่ออธิบายบริบทสังคมโลกที่มัน เปลี่ยนไปแล้ว การอนุรักษ์คือการเปิดใจรับศิลปะร่วมสมัย มิใช่การใช้กรอบอนุรักษ์นิยมในแบบที่อนุรักษ์นิยมเกินงานประพันธ์ในระยะเวลา นั้นซึ่งน่าแปลกใจว่ายิ่งสังคมพัฒนาไปข้างหน้า ความเป็นอนุรักษ์นิยมก็ยิ่งเข้มข้นและเข้มงวด ทุกอย่างยังคงตั้งอยู่บนมิติประวัติศาสตร์แบบ”ราชาชาตินิยม”มาอธิบายในบริบท ต่างๆ ซึ่งวัฒนธรรมส่วนใหญ่ติดกรอบความคิดแบบ “วัดๆวังๆ”อยู่ตลอดเวลา ผิดไปจากนี้ดูเหมือนจะเลวทรามต่ำช้าทั้งที่เป็นการนำเสนอตัวแทนของคนกลุ่ม น้อยในสังคม ถ้าเป็นอย่างนั้นสิ่งแรกๆที่เราควรจะทำในรัฐบาลใหม่ ก็คือการทบทวนบทบาทของกระทรวงวัฒนธรรมและปรับปรุงเสียใหม่ เราจะเป็น Creative Economy ได้อย่างไรถ้าหากเรายังมองวัฒนธรรมทุกอย่างหยุดนิ่ง กระทรวงวัฒนธรรมสุดท้ายก็จะไม่พ้นเป็นขี้ปากให้คนทุกหมู่เหล่าล้อเลียนในวง ข้าวและวงเหล้าต่อไป เผยแพร่ครั้งแรกที่ http://www.siamintelligence.com/culture-should-to-be-dynamic/
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)