Skip to main content
sharethis

"กรุงเทพโพล์" สำรวจนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 52.7 เห็นว่างบประมาณปี 54 ควรขาดดุลน้อยกว่านี้  พร้อมหนุนรัฐบาลเดินหน้าจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมรดก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคม

วันนี้ (17 ส.ค.) ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 24 แห่ง เรื่อง “พรบ.งบประมาณปี 54 : หนี้สิน VS รัฐสวัสดิการ” โดยเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 5-9 ส.ค. ที่ผ่านมา

โดยกลุ่มตัวอย่างที่กรุงเทพโพลล์สำรวจ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่สำเร็จการศึกษาทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาเศรษฐศาสตร์ (กรณีสำเร็จการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์เฉพาะปริญญาตรี หรือปริญญาโท หรือปริญญาเอก  อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องมีประสบการณ์ในการทำงานด้านวิเคราะห์/วิจัย/หรืองานที่เกี่ยวข้องที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านเศรษฐศาสตร์อย่างน้อย 5 ปี)

กลุ่มตัวอย่างที่กรุงเทพโพลล์สำรวจ ทำงานอยู่ในหน่วยงานด้านการวิเคราะห์ วิจัยเศรษฐกิจระดับชั้นนำของประเทศ จำนวน 24  แห่ง  ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย  สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม  สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย บริษัททริสเรทติ้ง จำกัด ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารกรุงไทย บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร  บริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส บริษัทหลักทรัพย์เคจีไอ บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน บริษัทหลักทรัพย์พัฒนสิน คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยทักษิณ คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  คณะเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยประจำศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ   

โดยผลสำรวจพบว่า นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 85.1 เห็นด้วยที่รัฐบาลจะดำเนินนโยบายงบประมาณแบบขาดดุล  แต่ในจำนวนนี้ร้อยละ 52.7 เห็นว่าระดับการขาดดุลต่อ GDP ควรน้อยกว่าร้อยละ 4.1 ต่อ GDP (ซึ่งเป็นระดับที่รัฐบาลเสนอให้สภาฯ พิจารณา)  ส่วนความเห็นเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษี  นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 50 เชื่อว่ารัฐบาลจะจัดเก็บได้ตามเป้าหมายที่วางไว้  ขณะที่อีกร้อยละ  21.6  เชื่อว่าจะจัดเก็บได้น้อยกว่าเป้าหมายที่วางไว้

ส่วนประเด็นเรื่องระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับร้อยละ  42.6 ของ GDP นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 58.1 เชื่อว่ายังเป็นระดับไม่น่าเป็นห่วงและสามารถบริหารจัดการได้  และเมื่อถามความเห็นเกี่ยวกับนโยบายงบประมาณของรัฐบาล  นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ  35.1 เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถดำเนินนโยบายงบประมาณแบบสมดุลได้ภายใน 5 ปี (ภายในปี 2558) ขณะที่ร้อยละ  33.8  เชื่อว่าจะสามารถดำเนินนโยบายงบประมาณแบบสมดุลได้ภายใน 5-10  ปี (ช่วงปี 2559-2563) 

สำหรับประเด็น การวางแผนจัดหารายได้เพื่อรองรับกับสังคมผู้สูงอายุซึ่งเป็นสังคมที่รัฐบาลจะต้องมีรายจ่ายด้านสวัสดิการต่างๆ สำหรับคนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้นั้น  นักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 71.6  มองว่ารัฐบาลยังขาดการเตรียมพร้อมในเรื่องดังกล่าว  นอกจากนี้   ยังได้เสนอแนะแนวทางในการปรับเพิ่มการจัดเก็บรายได้เพื่อรองรับการนำแนวทางรัฐสวัสดิการมาใช้  โดยนักเศรษฐศาสตร์ร้อยละ 38.1  สนับสนุนให้รัฐบาลเดินหน้าจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง  ภาษีมรดก  เพื่อลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม  ร้อยละ 20.5 เสนอให้ขยายฐานภาษีให้ครอบคลุมทุกคน โดยเฉพาะเกษตรกร  คนใช้แรงงาน  โดยเสนอให้รัฐนำสวัสดิการที่ประชาชนจะได้รับมาเป็นสิ่งจูงใจให้คนเข้ามาอยู่ในระบบภาษีมากขึ้น  ร้อยละ  18.2  เสนอให้เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี  ระบบการจัดเก็บภาษี  รวมไปถึงการใช้จ่ายเงินภาษีที่รัฐบาลควรดำเนินการโดยคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาลไปพร้อมๆ กัน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net