Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

      มีคำพูดประโยคหนึ่งบอกว่า ลักษณะการจับไม้กอล์ฟกับการจับไม้กวาดมีท่าทางคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นการเหวี่ยงเพื่อที่จะพัดลูกกอล์ฟให้ลงหลุดหรือเหวี่ยงเพื่อกวาดขยะออกจากบ้าน การ Follow Through เปรียบเหมือนการกวาดขยะ ถ้าส่งปลายไม้กวาดขยะออกไปยาวๆ ขยะก็จะเคลื่อนที่ไปไกล แต่ถ้ายกเร็วก็จะทำให้ขยะเคลื่อนที่ไปได้น้อย แต่ทำไมความรู้สึกตอนเหวี่ยงมันต่างกัน  ทุกครั้งที่จับไม้กวาดเพื่อที่จะกวาดขยะให้บ้านเรือนสะอาดดูเหมือนจะไม่มีเรี่ยวแรงไม่กระฉับกระเฉงเหมือนการจับไม้กอล์ฟเพื่อจะตีลูกกอล์ฟลงหลุม ที่เป็นเช่นนี้เพราะการกำหนดความคิดและความรู้สึกมีผลต่อการกระทำ

        ผู้คนทั่วไปมักคิดว่าการตีกอล์ฟเป็นกีฬาในแวดวงสังคมมีระดับ และถือเป็นการพักผ่อนในตัว ส่วนการกวาดบ้านเป็นการทำงานพื้นๆ ธรรมดาทั่วไป อีกทั้งคุณค่าเชิงประจักษ์สำหรับการตีกอล์ฟกับการกวาดบ้านของแต่ละบุคคลย่อมอาจแตกต่างกันออกไป

      เวลาที่มีปัญหาอะไรสักอย่างหนึ่ง คนเรามักจะหาทางออกหรือมีข้อถกเถียงต่อปัญหานั้นแตกต่างกันหลายประเด็น ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะว่ามันเกิดขึ้นมาจากกรอบความคิดของแต่ละคน ซึ่งตั้งต้นมาบนพื้นฐานไม่เหมือนกันทั้งด้านการศึกษา ความเชื่อ ทัศนคติ สถานะ และเบื้องหลังชีวิตของแต่ละคน

      ที่โปรยไว้อย่างนี้ก็เพื่อนำเข้ามาถึงเหตุการณ์วิกฤติที่เมืองไทยเราเพิ่งประสบมา ปัจจัยสำคัญที่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ก็เพราะมีการคิดแบบแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายแยกสีแยกข้าง นำไปสู่เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองก่อให้เกิดความเสียหายด้านเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศอย่างคาดไม่ถึง

      ต้องยอมรับว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นต่อสังคมไทยมาจากฐานคิด ความเชื่อ ความชื่นชมในนโยบายประชานิยมและตัวบุคคล กอปรกับการรับรู้ขบวนการทางสังคมในลักษณะสองมาตรฐาน อีกด้านหนึ่งเป็นการตกผลึกด้านผลประโยชน์ที่บางส่วนยังแคลงใจว่ามุ่งเพื่อส่วนรวมหรือผลประโยชน์เฉพาะตัว  เฉพาะกลุ่ม จึงเกิดขบวนร่วมกันเรียกร้องในสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นธรรม น่าปรารถนา เมื่อไม่ประสบผลตามแนวคิดจึงเกิดเหตุแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์ขึ้น

      ปรากฏการณ์ทางสังคมที่เพิ่งผ่านมา ได้ก่อปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองทั้งที่เป็นเงื่อนไขจากภายในและภายนอก ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤต ขณะเดียวกันสังคมไทยมีความแตกแยกและความขัดแย้งที่มีความรุนแรงมากที่สุดในรอบศตวรรษ เนื่องจากความเห็นที่แตกต่างกันในทางการเมือง การดำเนินโครงการพัฒนาประเทศในเรื่องต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ส่งผลเชิงลบต่อขวัญกำลังใจและภาวะความเป็นอยู่ของประชาชน รวมทั้งความเชื่อมั่นของนักลงทุน

      จากผลกระทบทั้งภายในและภายนอกประเทศ เริ่มมีมุมมองว่าปัจจุบันคนไทยนอกจากเก่งในการคิดแยกส่วน ยังมักชอบยกตัวอย่างแยกส่วน ยกเหตุการณ์แยกส่วน  ยกเหตุผลแยกส่วนมาเพื่อให้ฝ่ายตนได้ประโยชน์และได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม โดยไม่สนใจว่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบมีที่มาที่ไปอย่างไร

      สังคมไทยในอดีตเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน มีอาชีพหลักทางการเกษตร เป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ลักษณะของสังคมเกษตรได้หล่อหลอมชีวิตจิตใจของคนไทยให้รักอิสระอยู่อย่างเรียบง่าย มีจิตใจอ่อนโยนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เกื้อกูลกันและกัน

      แม้วิถีชีวิตในปัจจุบันจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  มีการแข่งขันกันในทางธุรกิจมากขึ้น แต่จากการที่สังคมไทยเป็นสังคมชาวพุทธ ทำให้สมาชิกในสังคมสามารถปรับตัวเข้าหากันได้อย่างสงบสุข ไม่มีปัญหาการขัดแย้งกันเหมือนในสังคมประเทศอื่นๆ บางประเทศ

      สังคมไทยเป็นสังคมที่ให้ความสำคัญในเรื่องอาวุโส ให้เกียรติยกย่องผู้ใหญ่ เป็นสังคมครอบครัวใหญ่มีพ่อแม่ ลูก หลาน ปู่ ย่า ตา ยาย หรือญาติอื่นๆ รวมอยู่ด้วย เป็นสายสัมพันธ์ทางระบบเครือญาติ เกิดความผูกพันห่วงใยดูแลทุกข์สุขกัน เป็นสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่ต้องอุปการะเกื้อกูลกัน กตัญญูต่อผู้มีพระคุณและญาติผู้ใหญ่ เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ เนื่องจากมีการปกครองในระบอบกษัตริย์มาตั้งแต่โบราณ สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นมิ่งขวัญและศูนย์รวมแห่งความสามัคคีของคนในชาติ ได้รับการยกย่องเทิดทูนอย่างสูงในสังคมไทย วาทะกรรมเหล่านี้มีอยู่จริงและฝังลึกมาช้านาน แทบไม่ต้องพิสูจน์ในเชิงประจักษ์  แม้จะมีบางสิ่งมากระทบก็ยังไม่อาจบั่นทอดให้คลอนแคลนได้

      อย่างไรก็ตาม  วิกฤติที่เกิดขึ้นยากที่จะเยียวยาหรือลบเลือนได้ในระยะเวลาอันสั้น  และหากจะผ่าวิกฤตินี้ไปและสร้างภูมิคุ้มกันที่ยั่งยืนได้ เราต้องร่วมกันพลิกฟื้นฐานคิดที่เป็นต้นทุนทางสังคมของเราให้กลับมา พร้อมสรุปบทเรียนให้ความรู้แก่อนุชนรุ่นหลัง ให้มีวิธีคิดและความรู้ที่ถูกต้อง

      เพราะวิธีคิดและความรู้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง อภิเชตเคยมีประสบการณ์ของตัวเองตอนไปซื้อของที่ตลาด แล้วบอกแม่ค้าว่าไม่ต้องใส่ถุงพลาสติก แม่ค้าบอกว่าไม่เป็นไร เอาไปเถอะ แม่ค้าไม่ขี้เหนียวหรอก อันนี้คือวิธีคิดของเขาที่ประกอบด้วยความไม่รู้และเอาสะดวกเข้าว่า แม่ค้าไม่รู้ว่าถุงพลาสติกนั้นส่งผลอะไรให้กับธรรมชาติบ้าง เหมือนกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาคงไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดบานปลายรุนแรงถึงเพียงนี้

      เหตุการณ์วิกฤตินี้  หากเราตั้งสติให้ดีจะเป็นการ  “สร้างภูมิคุ้มกัน” ให้สังคมในระยะยาว ทำให้สมาชิกในสังคมสามรถมองปรากฏการณ์ทางสังคมในภาพกว้างไม่มองแบบแบ่งแยก มองออกว่าอะไรเป็นอะไร ใครจะมา “ล้างสมอง” ไม่ได้  ที่สำคัญสร้างความโปร่งใสไม่ให้มีเหตุที่จะทำสมาชิกในสังคมแคลงใจในมาตรฐานการปฏิบัติต่อกรณีต่างๆ ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันแก้ปัญหา ทั้งนี้การจะแก้ปัญหาได้ จะต้องรู้สภาพปัญหา เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสาเหตุของปัญหา  สร้างองค์ความรู้ให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพอย่างทัดเทียมกัน ให้รู้ว่าปัญหาต่างๆ สามารถขจัดปัดเป่าให้หมดไปได้และร่วมกันลงมือแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤติเช่นนี้อีกในอนาคต

      พระพุทธเจ้าเมื่อยังทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงเบื่อหน่ายการเวียนว่ายตายเกิด เบื้องแรกทรงรู้ตัวปัญหาและสาเหตุของปัญหา แต่ยังไม่ทรงทราบวิธีแก้ปัญหา ทรงคิดว่าการบำเพ็ญตบะทรมานตนเองให้ลำบากคือทางแก้ปัญหา ทรงอดอาหารถึงขั้นไม่เสวยอะไรเลยจนร่างกายผ่ายผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก

      ต่อมาพระองค์ทรง “ได้คิด” ว่าทางแก้ปัญหาไม่ใช่การอดอาหาร เพราะกิเลสเป็นเรื่องจิตใจ การจะหลุดพ้นเครื่องรึงรัดจิตใจโดยการทรามานกายย่อมเป็นไปไม่ได้  จึงทรงค้นพ้น “ความพอดีของแนวคิด” และปฏิบัติทางสายกลางไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง ในที่สุดก็ทรงแก้ปัญหาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดได้ เรียกว่า “บรรลุพระนิพพาน”

      การกลายกลับฉับพลันจากเจ้าชายสิทธัตถะไปเป็นพระพุทธเจ้า หรือการกลายจากคนธรรมดาไปเป็นพระเยซู มีความแตกต่างกับการกลายจากดักแด้ไปเป็นผีเสื้อ เพราะเป็นความสำเร็จของ “วิธีคิด” ที่ยกตัวอย่างวิธีคิดและวิธีแก้ปัญหาของพระพุทธเจ้าก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ท่านเป็นถึงพระโพธิสัตย์ยังพลาดได้ในตอนแรก ประสาอะไรกับมนุษย์อย่างเราๆ ถ้าจะผิดพลาดบ้างเป็นครั้งคราว ขอเพียงแต่สมาชิกในสังคมรู้ปัญหาและรู้สาเหตุของปัญหา มีความมุ่งมั่นร่วมไม้ร่วมมือกันที่จะแก้ไขให้ผ่านพ้นไป

      ประเทศญี่ปุ่นเคยพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นหา “มุมคิด” หันมาเอาดีด้านเศรษฐกิจเร่งสร้างความร่วมมือพัฒนาประเทศจนกลายเป็นมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน ต่างจากสหภาพโซเวียตประเทศผู้ชนะสงคราม ที่มุ่งแต่จะสร้างแสนยานุภาพทางทหารจนลืมพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ในที่สุดไม่สามารถรักษาความเป็นมหาอำนาจไว้ได้ แม้แต่ความเป็นประเทศสหภาพโซเวียตก็สูญสลาย

      เกาหลีใต้เคยโดนล่าอาณานิคมถูกปกครองโดยญี่ปุ่นกว่า 35 ปี พอได้รับอิสรภาพชาวเกาหลีใต้สร้าง “มุมคิดปลุกชาตินิยม” มุ่งพัฒนาด้านการศึกษา เทคโนโลยี เปลี่ยนแปลงประเทศจนก้าวนำเป็นประเทศแถวหน้าอย่างรวดเร็ว

      วิธีคิดก็เปรียบเสมือนเส้นทางเดิน สังคมไทยผ่านร้อนผ่านหนาวมานานัปการ เราต้องสรุปเป็นบทเรียนให้รู้ว่าทางของเรามีอะไร ควรไปทิศทางไหน เราได้เห็นทางของคนอื่น เห็นเขาปลูกต้นไม้ สวย ต้นไม้ผลิดอกออกผลสมบูรณ์ เราจะไปขุดเอาต้นไม้ของเขามาปลูกบนบ้านของเรา ก็คงไม่ดี เพราะพันธุ์ไม้อาจไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมในบ้านเรา อีกทั้งก็จะได้ชื่อไปเอาของคนอื่นมา

      เราจะต้องรู้จักคิดว่าเราจะปลูกต้นไม้อย่างไรให้ได้เหมือนอย่างเขาหรือให้ดีกว่าเขา วิธีการปลูกของเราจะปลูกอย่างไร จะใช้น้ำแบบไหนรด จะพรวนดิน ตัดหญ้า ให้ปุ๋ยอย่างไร และวางแผนที่จะทำ ประโยชน์จากลำต้น จากดอก จากผล จากเมล็ดให้คุ้มค่าอย่างไร ที่สำคัญพันธุ์ไม้ที่เราจะนำมาปลูกต้องเหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ของเรา ซึ่งเราได้เรียนรู้มาจากประสบการณ์ของตนเอง ไม่ถึงกับต้องไปเลียนแบบเขาทั้งหมด ให้เรารู้จักเลือกรับเลือกเอาว่าสิ่งไหนมันเหมาะกับเรามากที่สุด ให้เข้าถึงวิธีคิดที่ยึดถือ “คุณค่าของความจริง คุณค่าของความงาม และคุณค่าความความดี” ที่จะทำให้ก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน

      ควรที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันหา “วิธีคิด” เพื่อพัฒนาประเทศให้เจริญด้านเศรษฐกิจ ควบคู่กับเร่งสร้างความเชื่อมั่นและฟื้นฟูภาพลักษณ์ของประเทศไทยในระดับนานาชาติ และสร้างความสมานฉันท์ในสังคมไทย 

      การจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้  ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวความแตกแยกที่เกิดขึ้นครั้งนี้ สรุปเหตุการณ์บันทึกเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของประเทศไทย โดยจะต้องวิเคราะห์และแยกแยะสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด เพื่อให้ลูกหลานได้ศึกษาและเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น นอกจากนั้นระบบการศึกษายังต้องสอนให้เด็กไทยคิดอย่างมีเหตุมีผล ให้ยึดถือทั้งคุณค่าของความจริง คุณค่าของความดี และคุณค่าของความงาม เข้าใจเหตุการณ์บ้านเมืองอย่างภาพรวมเป็นระบบ ไม่หลงเชื่อใครง่ายๆ ขณะเดียวกันก็รักความยุติธรรมไม่เพิกเฉยดูดายต่อมาตรฐานการปฏิบัติทางสังคม

      เหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมาเราอย่ามัวแต่รำพันร่ำไห้ ต้องพลิกวิกฤติให้เป็นบทเรียน หาวิธีนำพาประเทศไปข้างหน้า จะเป็นทางแก้ปัญหาระยะยาวที่จะไม่ทำให้เกิดความแตกแยก ไม่เกิดมิคสัญญีให้คนร่วมชาติต้องสะเทือนขวัญ และไม่เกิดการเผาบ้านเผาเมืองอีกในอนาคต

 

สแกน QR Code เพื่อร่วมบริจาคเงินให้กับประชาไท

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net