Skip to main content
sharethis

วันนี้ (23 พ.ค.) เวลา 09.00 น.  ณ  ศาลากิตติสุข  กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี  กล่าวกับพี่น้องประชาชนในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เป็นครั้งที่ 69 ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย  และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ดังนี้  

ช่วงที่ 1

พี่น้องประชาชนที่เคารพรักทุกท่านครับ  เช้าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ซึ่งขณะนี้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้สงบลง และเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ณ ขณะนี้ผมทราบว่าทางกรุงเทพมหานครได้มีการเชิญชวนพี่น้องประชาชน ซึ่งได้สนใจอยากที่จะเข้ามาร่วมกันฟื้นฟูบ้านเมืองของเรา  โดยเริ่มต้นจากการที่ได้เข้าไปดำเนินการในการทำความสะอาดในพื้นที่บริเวณราชประสงค์ ซึ่งเป็นพื้นที่ซึ่งขณะนี้ได้มีการส่งมอบให้กับทางกรุงเทพมหานคร เข้าไปดำเนินการเรียบร้อยแล้ว และจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในเรื่องของการจราจร และในการเปิดทำการต่าง ๆ ในวันพรุ่งนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันพรุ่งนี้นั้นจะเป็นวันที่มีการเปิดการทำการในเรื่องของราชการและโรงเรียน หลังจากที่ได้มีการหยุดราชการและมีการเลื่อนการเปิดเทอมมาเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์  

สำหรับการดำเนินการของรัฐบาลต่อ ๆ ไปนั้นในช่วงที่ 2 ของรายการจะได้มีการพูดคุยกับพิธีกรรับเชิญในเรื่องของแผนปรองดอง ในเรื่องของการฟื้นฟูบ้านเมืองของเราต่อไป  แต่ในช่วงต้นนั้นผมอยากจะขอใช้โอกาสนี้พูดคุยกับพี่น้องประชาชนเพื่อทำความเข้าใจลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น  เพราะว่าในช่วงสัปดาห์เศษ ๆ ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้น  ซึ่งนำไปสู่ความสูญเสียทั้งในเรื่องของชีวิตและทรัพย์สินอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความไม่เข้าใจกัน จะได้รับทราบถึงแนวทางการดำเนินการของรัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มาโดยลำดับ

ผมอยากเท้าความอย่างนี้ครับว่าประมาณ 10 กว่าวันที่แล้วหลังจากที่ผมได้เสนอแผนปรองดอง 5 ข้อ เสนอให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน คือในช่วงปลายปี ถ้าหากว่ามีการคลี่คลายสถานการณ์ และเชิญชวนทุกฝ่ายเข้ามาร่วมกระบวนการปรองดอง แล้วประสบผลสำเร็จ และบ้านเมืองสงบ ก็ปรากฏว่าในขณะนั้นทางผู้ชุมนุมโดยทางแกนนำนั้นใช้เวลาอยู่ประมาณสัปดาห์กว่า ๆ แสดงท่าทีในการตอบรับที่จะเข้าร่วมกระบวนการปรองดอง แต่ไม่ยอมยุติในเรื่องของการชุมนุม  ซึ่งสุดท้ายการเข้าสู่กระบวนการปรองดองที่เป็นรูปธรรม ซึ่งต้องเริ่มต้นจากการยุติการชุมนุมนั้น  ทางฝ่ายแกนนำนั้นได้ปฏิเสธ แม้ว่ารัฐบาลได้ให้เวลามาเป็นระยะเวลากว่า 1 สัปดาห์  หลังจากที่มีการปฏิเสธการเข้าสู่กระบวนการปรองดองดังกล่าว ทางรัฐบาลก็มีความจำเป็นในการที่จะมาวางแผนหรือวางแนวทางในการคืนความเป็นปกติให้กับสังคม เพราะต้องยอมรับว่าการชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์เป็นระยะเวลาเดือน ๆ กว่า  ถ้านับที่ผ่านฟ้าก็ประมาณ 2 เดือน ก็ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อวิถีชีวิตของพี่น้องประชาชน ทั้งที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ทั้งที่ทำงานอยู่ในบริเวณนั้น หรือต้องสัญจรไปมาผ่านบริเวณนั้นในยามปกติ 

สิ่งที่รัฐบาลและศอฉ.ได้ตั้งโจทย์ก็คือว่าเราจะทำอย่างไรในการที่จะทำให้การชุมนุมนั้นสามารถยุติลงได้โดยให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด เราทราบดีว่าถ้าหากว่ามีการเข้าไปสลายการชุมนุม หรือเข้าไปปราบปรามนั้น การสูญเสียจะเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะประสบการณ์ของวันที่ 10 เมษายน ได้บ่งบอกว่ามีกองกำลังติดอาวุธที่เป็นผู้ก่อการร้ายปะปนอยู่กับการชุมนุม นอกจากนั้นก็มีรายงานมาโดยตลอดว่าอาวุธหรือสิ่งที่สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธตลอดจนเครื่องไม้เครื่องมือที่สามารถก่อวินาศกรรมในพื้นที่ดังกล่าวนั้น ก็มีจำนวนมาก ตรงนี้ล่ะครับคือแนวทางซึ่งทำให้เราได้ใช้ปฏิบัติการที่เรียกว่า การกระชับวงล้อม  หลักคิดก็คือว่าถ้าเราสามารถที่จะเริ่มปิดล้อมพื้นที่การชุมนุมได้ ทำให้ไม่มีการนำเอาคนหรือประชาชนต่าง ๆ เข้ามาสู่ในพื้นที่มีการชุมนุมเพิ่มขึ้น  และก็กดดันให้ลดลงโดยลำดับ  น่าจะนำไปสู่การยุติการชุมนุมได้  โดยมีการสูญเสียน้อยที่สุด  การกระชับวงล้อมก็เกิดขึ้นโดยการให้ทางเจ้าหน้าที่ทหารนั้นเข้าไปตั้งด่านใน 4 ทิศทางที่เข้าสู่พื้นที่การชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์  ซึ่งในการตั้งด่านนั้นก็มีความจำเป็นที่ทางทหารและเจ้าหน้าที่นั้น จะต้องมีการเว้นระยะและจะต้องมีการเตรียมพร้อมในเรื่องของการใช้อาวุธจริง 

เหตุผลก็คือว่านอกเหนือจากการที่มีกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งได้ปฏิบัติการอยู่เป็นระยะ ๆ อยู่แล้ว ดังที่เราจะเห็นว่าทำให้เกิดความสูญเสียก่อนหน้านั้น  ยังมีประเด็นในเรื่องของปัญหาการยิงเอ็ม 79 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยิงออกมาจากพื้นที่การชุมนุมบริเวณหน้าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในบริเวณลานพระบรมรูปที่ติดอยู่กับสวนลุมพินี  ตรงนี้คือสิ่งที่ทำให้จะต้องมีการวางแผนเพื่อให้ทหารนั้นสามารถที่จะตั้งด่าน และปิดล้อมพื้นที่การชุมนุมได้อย่างเข้มแข็ง  ซึ่งเมื่อได้มีการดำเนินการกระชับวงล้อมตรงนี้  สิ่งที่เกิดขึ้นก็ปรากฏว่ามีความพยายามของประชาชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมถึงผู้ที่ติดอาวุธได้พยายามที่จะเข้าโจมตีด่านทั้ง 4 ทิศทางของพื้นที่การชุมนุม เราจะเห็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแดง ไม่ว่าจะเป็นที่บริเวณที่ถัดเข้ามาตรงถนนราชปรารภ ไม่ว่าจะเป็นคลองเตย บ่อนไก่ และพื้นที่อื่น ๆ ช่วงนี้ล่ะครับเป็นช่วงที่เกิดการสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมากพอสมควร ประมาณ 40  กว่าชีวิต

ผมอยากจะขอย้ำครับว่าการสูญเสียที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับพื้นที่การชุมนุมที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์เลย  การชุมนุมที่นั่นก็สามารถที่จะดำเนินการไปได้อย่างปกติ แต่ความสูญเสียนั้นเกิดขึ้นจากการปะทะกันกับกลุ่มคนซึ่งพยายามเข้ามาโจมตีด่านของทหารในบริเวณที่มีการตั้งด่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือในบริเวณถนนพระราม 4 บ่อนไก่ คลองเตย และบริเวณถนนราชปรารภ ดินแดง ซึ่งเหตุการณ์นั้นนำไปสู่ความสูญเสียของพี่น้องประชาชน ทั้งที่เป็นผู้สื่อข่าว ทั้งที่เป็นประชาชนธรรมดา ผมอยากจะกราบเรียนกับพี่น้องประชาชนครับว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เป็นเรื่องของการปกป้องด่านเท่านั้นเองครับ  และก็มีแนวทางในการใช้กำลังอย่างชัดเจนว่าเป็นเรื่องของการป้องกันตัวเท่านั้น  

อยากจะขอเรียนพี่น้องประชาชนว่าถ้าท่านติดตามข่าวสารจะพบครับว่าในช่วงนั้นมีการยิงเอ็ม 79 เข้ามาในพื้นที่บริเวณที่มีการตั้งด่านอยู่มากกว่า 100 ครั้ง เพียงแต่ว่าการวางแผนของทางทหารนั้นมีความรัดกุมพอสมควร จึงได้เลือกที่จะตั้งด่านและหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ซึ่งอยู่นอกพิสัยของการยิงเอ็ม 79 เพราะเราพอทราบว่าการยิงเอ็ม 79 นั้นมาจากพื้นที่ใด อันนี้คือจุดที่ทำให้ มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมการปะทะกันในขณะนั้น ความสูญเสียกับเจ้าหน้าที่ไม่เกิดขึ้น เพราะว่ามีการวางแผนมาอย่างรัดกุม ช่วงนั้นที่มีการสูญเสียมากครับ ถ้าพี่น้องจำได้ทางรัฐบาลและศอฉ.ได้เตือนไปแล้วว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายนั้นมีเป้าหมายในการทำร้ายประชาชนด้วยกันเอง มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะเริ่ม ที่จะทำร้ายกลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม เช่น ผู้สื่อข่าวโดยเฉพาะผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เช่น อาสาสมัครที่เข้าไปทำงานในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางด้านสาธารณสุข ทางด้านป้องกันภัย หรือด้านอื่น ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการนำเอาความสูญเสียเหล่านี้มากดดันทางรัฐบาล มากดดันทางเจ้าหน้าที่ ภาพที่เราเห็นต่อมาซึ่งมีหลายคนบันทึกได้จะบ่งบอกถึงความพยายามที่จะทำสิ่งนี้ครับ ที่เศร้าสลดที่สุดก็คือเราได้เห็นรูปของการเอาเด็กเล็กมาอยู่ตรงบังเกอร์ที่มีการตั้งไว้โดยใช้ยาง เสมือนกับว่าต้องการว่าถ้าหากว่ามีการปะทะกันกับเจ้าหน้าที่นั้น เด็กก็อาจจะกลายเป็นโล่ และอาจจะกลายเป็นผู้ที่สูญเสีย  เราสูญเสียชีวิตของเด็กขึ้นมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทางเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด ในระหว่างนั้นการก่อการร้าย การก่อวินาศกรรม การเผายาง แม้กระทั่งการเผาอาคารต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ตรงนี้เป็นความพยายามที่จะเข้ามาโจมตีด่านของทหารที่จะปิดล้อมการชุมนุม

หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้จนถึงประมาณระยะเวลาก็คือเสาร์ อาทิตย์ ที่แล้วต่อเนื่องมาจนวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม ก็มีความพยายามของกลุ่มคนกลางต่าง ๆ ที่อยากจะเรียกร้องให้มีการเจรจากัน และมีการหาแนวทางในการที่จะบริหารจัดการพื้นที่ เช่น มีผู้เสนอให้มีการจัดทำเขตพื้นที่วัดปทุมวนารามฯ เป็นเขตอภัยทาน ผมขอกราบเรียนครับว่าจุดยืนของรัฐบาลและศอฉ.ขณะนั้นชัดเจน เราบอกมาตลอดครับว่าดีที่สุดก็คือทุกคนเข้ามาสู่กระบวนการปรองดอง และดีที่สุดก็คือว่าต้องมีการยุติการชุมนุม เราเห็นชัดเจนครับว่าหากการชุมนุมยืดเยื้อต่อไป มีแต่จะมีการสะสมความสูญเสียมากขึ้นโดยลำดับ และก็เป็นไปไม่ได้ครับที่พี่น้องประชาชนที่เป็นพี่น้องประชาชนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ จะยอมให้มีการยึดพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ไปไม่จบไม่สิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราเริ่มเห็นการหมดความอดทนของพี่น้องประชาชน ซึ่งเริ่มมีความพร้อมที่จะเข้าไปปะทะหรือไปต่อสู้ด้วยตัวเอง ซึ่งจะเป็นอันตรายอย่างยิ่งในแง่ของการที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นระหว่างประชาชนด้วยกันเอง พี่น้องในบางชุมชน เช่น ชุมชนบ่อนไก่ ก็ต้องประสบกับปัญหาอย่างหนักหน่วง เพราะว่าในที่สุดแล้วเมื่อมีเหตุความไม่สงบ ก็มีปัญหาในเรื่องน้ำ ไฟ ซึ่ง เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ และหนักกว่านั้นก็คือว่าแม้กระทั่งเรื่องอาหาร ใครพยายามที่จะเอาอาหารเข้าไปช่วยก็กลับถูกยิงตอบโต้มาโดยกลุ่มกองกำลังผู้ติดอาวุธที่ติดอาวุธหรือที่เราเรียกว่าเป็นผู้ก่อการร้ายนั่นเอง

ตรงนี้ครับคือสิ่งที่ผมได้สื่อสารไปถึงบรรดากลุ่มหรือบุคคลต่างๆ ที่อาสาตัวเข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจา ว่าเอาอย่างนี้ก็แล้วกันขอให้ทางฝ่ายผู้ชุมนุมนั้นได้ยุติการชุมนุม เพราะว่าพี่น้องประชาชนในบริเวณการชุมนุมขณะนั้นไม่ได้เป็นปัญหา และอาจจะไม่ได้ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในบริเวณรอบ ๆ พื้นที่การชุมนุม แต่เมื่อยุติการชุมนุมแล้วทางรัฐบาลก็พร้อมที่จะเดินหน้าตามแผนปรองดอง 5 ข้อ รวมทั้งได้มาปรึกษาหารือกันในทางการเมืองต่อไป  นี่คือข้อเสนอที่ผมได้หยิบยื่นให้กับบรรดาบุคคลที่อาสาตัวเข้ามาเป็นคนกลาง ผมขอเรียนว่าในวันจันทร์ที่ 17 และวันอังคารที่ 18 ก็เป็นจุดยืนที่มีความชัดเจนว่าจะมีการดำเนินการในลักษณะนี้ในส่วนของรัฐบาล  ขณะเดียวกันฝ่ายผู้ชุมนุมนั้นจะใช้คำว่า ขอให้มีการหยุดยิง  ซึ่งเราก็ได้ชี้แจงมาโดยตลอดว่าทางทหารนั้นไม่ได้เข้าไปดำเนินการในการสลายการชุมนุม ขอคืนพื้นที่ หรือปราบปรามพี่น้องประชาชนแต่ประการใด  เป็นเพียงตั้งด่านเพื่อที่จะปิดล้อมการชุมนุมเท่านั้นเอง และการยิงทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงการยิงเพื่อป้องกันตัว ป้องกันชีวิต และตอบโต้ดังที่มีการชี้แจงของศอฉ.อย่างชัดเจน พี่น้องประชาชนที่ติดตามข่าวสารจะจำได้ว่า เราจะเห็นคลิปต่าง ๆ กรณีบุคคลพยายามที่จะเข้าไปจุดไฟเพื่อให้เกิดการระเบิดขึ้นของรถแก๊ส ก็ปรากฏว่าถูกยิง ซึ่งทหารก็ยิงที่ขา เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุเกิดขึ้น อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งการใช้อาวุธทั้งหลายนั้นจึงยึดตามหลักสากลในเรื่องของการที่จะใช้อาวุธจริงในกรณีที่มีการปกป้องตัวเองหรือรักษาชีวิต หรือรักษาความสงบเรียบร้อยเท่านั้นครับ 

ตรงนี้ก็เป็นจุดที่ทำให้มีความแตกต่างกัน ด้านรัฐบาลก็อยากให้ยุติการชุมนุม ด้านผู้ชุมนุมก็เรียกร้องใช้คำว่า หยุดยิง รูปธรรมของการที่พูดคุยเพื่อจะนำไปสู่การพูดคุยกัน และก็มีการเจรจานั้น ผมได้รับการติดต่อ 2 ด้าน ด้านแรกคือจากท่านประธานวุฒิสภา ซึ่งได้มีการแจ้งให้ผมทราบว่ามีสมาชิกวุฒิสภากลุ่มหนึ่ง ซึ่งอยากจะเข้าไปทำหน้าที่ในการพูดคุยกับแกนนำผู้ชุมนุม และพูดคุยกับผม ผมก็ได้กราบเรียนท่านประธานวุฒิสภา ว่าขอให้มีความชัดเจนว่าข้อเสนอในการที่จะนำไปสู่ข้อยุติที่นำไปสู่ความสงบนั้นคืออะไร แต่รัฐบาลขอยืนยันว่าให้ยุติการชุมนุม แล้วมาพูดจากันในเรื่องของแผนการปรองดอง ขณะเดียวกันก็มีสมาชิกวุฒิสภาอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งติดต่อผมมาเช่นเดียวกัน และบอกว่าไม่เห็นด้วยกับการมีการเจรจา ความคิดของคนกลุ่มนี้ก็คล้าย ๆ กับของรัฐบาล คือว่าคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะนำความสงบ และลดความสูญเสีย ก็คือการยุติการชุมนุม  การเจรจานั้นเขาก็กังวลเหมือนที่รัฐบาลกังวลครับ ว่าระหว่างที่พูดคุยกับแกนนำที่อยู่ที่ราชประสงค์นั้นพื้นที่รอบ ๆ นั้นก็จะมีความสูญเสีย มีการยิงเอ็ม 79 มีการส่งกองกำลังเข้ามาโจมตี ปะทะกับทหารอยู่เป็นระยะๆ ที่สำคัญก็คืออาจจะมีการเคลื่อนย้ายทั้งคนทั้งอาวุธ ซึ่งจะทำให้สถานการณ์นั้นมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น 

อย่างไรก็ตามเมื่อผมติดต่อกับท่านประธานวุฒิสภา ครั้งสุดท้ายนั้นท่านประธานวุฒิสภาได้แจ้งกับผมว่า เพื่อที่แสดงออกถึงความชัดเจนว่าจะมีการเข้าสู่กระบวนการเจรจาจริง  ทางฝ่ายผู้ชุมนุมได้บอกผ่านทางท่าน ส.ว.มายังท่านประธานว่าหลังจาก 18.00 น. คือหลังจากหกโมงเย็น จะเห็นชัดเจนว่ามีการหยุดยิงจากฝ่ายที่เป็นมวลชนที่เข้ามาปะทะกับเจ้าหน้าที่ ผมก็ได้กราบเรียนท่านประธานไปครับว่า ผมอยากจะเห็นว่าหลังหกโมงเย็นไปแล้ว นอกเหนือจากใช้คำว่า หยุดยิง นั้น ขออย่าให้มีการปฏิบัติการใด ๆ ทั้งสิ้น ของกองกำลังของมวลชนในบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ และก็ขอคืนความเป็นปกติให้กับพื้นที่ อย่างเช่น บ่อนไก่ คลองเตย ราชปรารภ และดินแดง ท่านประธานท่านก็บอกว่าท่านก็จะสื่อสารข้อความนี้ไปยังทางกลุ่ม ส.ว. ซึ่งทำงานทางด้านนี้ หลังจากนั้นผมไม่ได้รับการติดต่อครับ และสิ่งที่ชัดเจนก็คือว่าหลังหกโมงเย็นของวันที่ 18 นั้นก็ยังปรากฏว่ามีการยิงเอ็ม 79 ยังมีปฏิบัติการของมวลชนต่าง ๆ บริเวณรอบนอกเหมือนเดิม ดังนั้นผมจึงเข้าใจครับว่าการเจรจานั้นไม่ประสบผลสำเร็จ  ต่อมาผมมาทราบว่าในช่วงค่ำประมาณทุ่มสองทุ่ม ทางกลุ่ม ส.ว.เองได้เข้าไปพบกับกลุ่มแกนนำ แต่ก็ชัดเจนเช่นเดียวกันครับว่ายังไม่มีข้อยุติ  และที่สำคัญคือปฏิกิริยาของมวลชนที่ชุมนุมอยู่ที่ราชประสงค์นั้นก็ยังไม่ได้ตอบรับแนวทางของทางกลุ่ม ส.ว.ใด ๆ ทั้งสิ้น

ผมได้รับการติดต่อจากกลุ่มองค์กรเอกชนอีกกลุ่มหนึ่งครับ ในเย็นหรือค่ำวันเดียวกัน  ซึ่งก็พูดเช่นเดียวกันว่าจะไปนำข้อเสนอของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) มาให้ผมได้รับทราบ ข้อเสนอซึ่งส่งมาถึงผมเป็นลายลักษณ์อักษร  ส่งมาทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์นั้น ปรากฏว่าบอกว่าจะขอให้ทางทหารถอนกำลังออกไปก่อน แล้วจะมีการเรียกมวลชนจากพื้นที่ต่าง ๆ เข้ามาที่ราชประสงค์  ผมก็ได้เรียนกลับไปว่าข้อเสนอนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาของบ้านเมืองได้ เพราะทำให้การแก้ปัญหาของการชุมนุมที่ราชประสงค์นั้นยากขึ้นไปอีก เพราะจะมีคนกลับเข้าไปชุมนุมมากขึ้น  หลังจากที่รัฐบาลหรือศอฉ.ได้ปิดล้อม และทำให้การชุมนุมนั้นเบาบางลงแล้ว  จึงได้ปฏิเสธไป  นั่นเป็นการบ่งบอกครับว่าเมื่อคืนของวันที่ 18 นั้น ช่องทางของการพูดคุยของการเจรจา รัฐบาลได้ตอบไปอย่างชัดเจนแล้วว่า คงไม่สามารถดำเนินการได้ เว้นเสียแต่ว่าผู้ชุมนุมประกาศยุติการชุมนุม ซึ่งก็ไม่ได้เกิดขึ้น 

สิ่งที่ ศอฉ.ได้ดำเนินการต่อไปแล้วก็จึงนำไปสู่ปฏิบัติการในช่วงเช้าของวันพุธ ก็คือการเข้าไปแก้ไขปัญหาพื้นที่สวนลุมฯ ที่ต้องเข้าไปแก้ปัญหาพื้นที่สวนลุมฯ ลานพระรูป และบริเวณที่ติดกับโรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะว่าเป็นที่ชัดเจนว่าบริเวณนั้นคือจุดซึ่งมีการยิงเอ็ม 79 ออกมามากมาย มีเรื่องของอาวุธ และก็เป็นเงื่อนไขของความรุนแรง รวมไปถึงมีเส้นทางที่เชื่อมโยงออกจากพื้นที่นั้น ที่มีการลำเลียงทั้งคนและอาวุธไปยังพื้นที่บริเวณบ่อนไก่ ดังนั้นเช้าตรู่ของวันพุธ  จึงมีปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการกระชับวงล้อมเข้าไป โดยมีเป้าหมายที่จะไปหยุดอยู่ที่แยกสารสิน พูดง่าย ๆ ก็คือว่าเป็นการปิดล้อม กระชับวงล้อมให้แคบลงสำหรับพื้นที่การชุมนุมในราชประสงค์เพื่อกดดันให้มีการยุติการชุมนุม  เช้าวันนั้นก็ต้องขอเรียนครับว่าปฏิบัติการโดยรวมนั้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย หลายคนเคยคาดการณ์ว่าปฏิบัติการเช่นนี้จะต้องนำไปสู่การสูญเสียเป็นจำนวนมาก ที่สุดในขณะนี้เท่าที่มีการตรวจสอบมานั้น ก็ปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตจากปฏิบัติการ 6 ราย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าเสียใจ  ใน 6 รายนั้นก็เป็นทหาร 1 นาย และเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศ 1 ราย ซึ่งสาเหตุ รายละเอียดต่าง ๆ ก็ต้องมีการตรวจสอบต่อไป แต่กรณีของทหารและกรณีของผู้สื่อข่าวต่างประเทศซึ่งอยู่ด้วยกันนั้น โดนทั้งเอ็ม 79 และโดนยิง  ซึ่งผมขอย้ำอีกครั้งว่าการใช้เอ็ม 79 นั้นเป็นการใช้โดยฝ่ายกองกำลังติดอาวุธอย่างเดียว เพราะว่ากองกำลังทหาร หรือเจ้าหน้าที่ของเรานั้น ไม่มีการใช้เอ็ม 79  

นี่คือจุดที่นำไปสู่การกดดันที่ให้ผู้ที่เป็นแกนนำของการชุมนุมนั้นประกาศยุติการชุมนุมในเวลาประมาณบ่ายโมง ถ้าผมจำไม่ผิด การประกาศยุติการชุมนุมนั้น ก็เป็นเรื่องที่ดีครับ เพราะว่าเป็นการที่จะยุติไม่ให้เกิดความสูญเสียเพิ่มเติม และผมคิดว่าก็เป็นผลมาจากเรื่องของการกดดันที่มีการเข้าสู่พื้นที่ในบริเวณแยกสารสินได้  เมื่อมีการยุติการชุมนุม บรรดาแกนนำนั้นก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยการเข้ามอบตัว แต่ว่าทันทีที่มีการมอบตัวนั้น ก็ปรากฏว่าแทนที่มวลชนจะกลับบ้านตามที่ได้มีการประกาศ และประสานกับทางเจ้าหน้าที่ไว้ ก็คือเดินไปสู่สนามกีฬาศุภชลาศัย ซึ่งมีการจัดรถเพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนที่มีชุมนุมกลับบ้านได้นั้น กลับปรากฏว่าพี่น้องประชาชนจำนวนหนึ่งนั้นไม่สามารถ หรือยังไม่เดินทางไปที่สนามศุภชลาศัย ส่วนหนึ่งก็เข้าไปพักพิงที่วัดปทุมฯ ส่วนหนึ่งก็เข้าไปอยู่บริเวณอัมรินทร์ ส่วนหนึ่งก็เข้าไปอยู่ในบริเวณของโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งก็เข้าใจได้ครับ เพราะว่าหลายคนยังมีความไม่มั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยในด้านต่าง ๆ 

แต่ขณะเดียวกันครับทันทีที่มีการยุติการชุมนุม ก็มีกลุ่มก่อการร้ายส่วนหนึ่งเดินหน้าในการก่อวินาศกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือการเผาเพลิงทันที  ซึ่งจะเห็นได้ว่าการวางเพลิง ไม่ว่าจะเป็นกรณีเซ็นทรัลเวิลด์ จะเป็นกรณีของสยามสแควร์ ลุกลามไปจนถึงพื้นที่อย่างเช่น ช่อง 3 และพื้นที่อื่น ๆ ในกรุงเทพมหานคร และในจังหวัดต่าง ๆ ที่มีศาลากลาง และมีการเคลื่อนไหววางเพลิงเช่นเดียวกัน จะเป็นขอนแก่น อุดรธานี และอุบลราชธานี นั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เกิดขึ้นโดยมีการเตรียมการมีการจัดการด้วย ซึ่งในหลายพื้นที่นั้น เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถที่จะเข้าไประงับเหตุ เข้าไปแก้ไขสถานการณ์ได้ เพราะมีกองกำลังติดอาวุธหรือผู้ก่อการร้ายนั้นใช้อาวุธยิงตอบโต้มาโดยตลอด อันนี้เกิดขึ้นทั้งในบริเวณเซ็นทรัลเวิลด์ ทั้งในบริเวณสยามสแควร์ ในส่วนของช่อง 3 และพื้นที่อื่น ๆ ที่มีปัญหาในลักษณะนี้เกิดขึ้น 

ในส่วนของเจ้าหน้าที่ทหารนั้นได้หยุดปฏิบัติการในการกระชับวงล้อม เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนที่อยู่ในที่ชุมนุมนั้นสามารถกลับบ้านได้ด้วยความมั่นใจ ดังนั้นสิ่งที่น่าจะชัดเจนคือว่าการชุมนุมนั้นยุติตั้งแต่บ่ายโมง  ทางเจ้าหน้าที่ทหารนั้นจะเข้าไปในพื้นที่ซึ่งไม่มีประเด็นปัญหาที่จะนำไปสู่การปะทะกับผู้ชุมนุมใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเราถือว่าการชุมนุมนั้นได้ยุติลงแล้ว จะเห็นได้ว่าทางกองกำลังซึ่งเข้ามาจากศาลาแดงก็จะหยุดอยู่ที่ประมาณบริเวณสารสิน ที่เข้ามาทางเพลินจิตก็เช่นเดียวกันครับ กว่าจะเดินเข้ามาสู่จุดที่สี่แยกราชประสงค์โดยประมาณ  ก็เป็นช่วงค่ำหรือช่วงดึกแล้วด้วยซ้ำ และก็ยังไม่เรียบร้อย เพราะว่ายังมีปัญหาในเรื่องของการที่จะต้องตรวจตราอาวุธต่างๆ ที่มีการเก็บอยู่  มีการต้องระวังป้องกันอยู่ตลอดเวลา เพราะยังมีกลุ่มบุคคลชุดดำตามอาคารต่าง ๆ ซึ่งมีการใช้อาวุธ มีการตอบโต้อยู่ตลอดเวลา อันนี้คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาของวันที่ 19 

เหตุการณ์ ๆ หนึ่งซึ่งสร้างความสะเทือนใจอย่างมากก็คือ ปัญหาของการสูญเสียชีวิตที่เกิดขึ้นที่วัดปทุมฯ หรือบริเวณใกล้เคียง  เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในช่วงค่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่การชุมนุมได้ยุติลงแล้ว และไม่ได้มีปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเหตุการณ์นี้จะต้องมีการหาข้อเท็จจริงต่อไป และขณะนี้เราได้ข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้นจากการชันสูตรศพ ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย เพราะว่าบริเวณวัดปทุมฯ นั้น ได้มีการเสนออยู่ตลอดเวลาว่า จากองค์กรเอกชน และเป็นความเจตนาดีขององค์กรต่าง ๆ อย่างเช่น กาชาด กทม. ที่จะเข้าไปดูแลเด็ก ผู้หญิง คนชรา ที่อยู่ในพื้นที่การชุมนุม และต้องการที่จะมาพักพิงที่วัดปทุมฯ แต่ว่าสถานการณ์ในวันที่ 19 นั้น ปรากฏว่านอกเหนือจากเด็ก ผู้หญิง และคนชรา แล้ว มีผู้ชุมนุมที่เข้าไปอยู่ในบริเวณวัดปทุมฯ อีกเป็นจำนวนมาก  ซึ่งรวมไปถึงบุคคลต่าง ๆ ที่มีอาวุธ และใช้อาวุธ  ดังนั้นสถานการณ์ตรงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการรับฟังจากพยานต่าง ๆ ว่าการสูญเสียชีวิต น่าจะเกิดขึ้นในช่วงประมาณใกล้ ๆ ค่ำ อาจจะหกโมงเย็น หนึ่งทุ่ม หรือหลังจากนั้น  เป็นเรื่องที่จะต้องมีการแสวงหาข้อเท็จจริง เพื่อให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนต่อไป  ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของงานของคณะกรรมการสอบสวนอิสระซึ่งจะได้มีการจัดตั้งขึ้น อันนี้คือสถานการณ์ที่ได้เกิดขึ้นในส่วนของการที่มีการชุมนุม และการยุติการชุมนุม และการวางเพลิง การก่อวินาศกรรมหลังจากนั้น 

ในที่สุดรัฐบาลก็ได้ควบคุมสถานการณ์มากขึ้นได้โดยลำดับ เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปในพื้นที่ต่าง ๆ จนในที่สุดสามารถที่จะดูแลว่าพื้นที่ต่าง ๆ นั้นสามารถที่จะส่งมอบให้กับกทม.ได้ในเช้าวันนี้  ซึ่งในการเข้าไปในพื้นที่นั้น เมื่อวานนี้ใครที่ได้ติดตามข่าวสารจะทราบครับว่าอาวุธต่าง ๆ ที่มีอยู่ในพื้นที่การชุมนุม ที่มีการตรวจพบยึดได้มีเป็นจำนวนมาก ทั้งระเบิดขว้าง เอ็ม 79 กระสุนปืนประเภทต่าง ๆ ระเบิดเพลิง ซึ่งมีการดัดแปลงต่าง ๆทำให้เกิดความร้ายแรง มีการใช้น้ำกรด มีการใช้เศษแก้ว ตะปู  ที่ไปใช้กับเรื่องของการยิงบั้งไฟอะไรต่าง ๆ รวม ไป ถึงการที่เราได้พบรถยนต์หรือรถกระบะ หรือรถบรรทุกที่ถูกดัดแปลงมา ที่มีการติดระเบิดแสวงเครื่องหรือที่เรียกว่าคาร์บอมบ์นั่นเอง ทั้งหมดนี้คือการเข้าปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่หลังจากการที่การชุมนุมได้ยุติลง ซึ่งขณะนี้ได้มีการส่งมอบพื้นที่ อย่างไรก็ตามการดูแลป้องกันเหตุการณ์สาธารณภัย รวมไปถึงการก่อวินาศกรรมต่าง ๆ นั้นรัฐบาลจึงได้ออกมาตรการในเรื่องของเคอร์ฟิวส์ และมีการจัดชุดลาดตระเวนร่วมซึ่งเป็นการสนธิกำลังกันระหว่างทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ของกรุงเทพมหานคร และอาสาสมัครต่าง ๆ ซึ่งปฏิบัติการทั้งหมดนั้นขณะนี้กลับเข้าสู่ความเป็นปกติ และความเรียบร้อยได้พอสมควร

ผมขอถือโอกาสนี้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ซึ่งได้เข้าทำหน้าที่ ไม่ใช่เฉพาะทางด้านฝ่ายความมั่นคง แต่ว่าในส่วนของกรุงเทพมหานครเอง กาชาด องค์กรเอกชนต่าง ๆ อาสาสมัคร ซึ่งหลายคนเสี่ยงชีวิตในการทำหน้าที่ในช่วงระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องขอแสดงความชื่นชมในความกล้าหาญในความสำนึกในการปฏิบัติหน้าที่   

สำหรับการดำเนินคดีและการจับกุมนั้น ขอเรียนครับว่าพี่น้องประชาชนที่มีการชุมนุมกันนั้น เราได้ส่งกลับภูมิลำเนา โดยได้มีการบันทึกประวัติเอาไว้  ขณะเดียวกันสำหรับกลุ่มคนซึ่งมีอาวุธต่อสู้เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายก็ได้มีการจับกุมได้ส่วนหนึ่ง และมีการดำเนินคดี ส่วนกรณีของแกนนำได้ถูกควบคุมตัวตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ตรงนี้ก็กลายเป็นประเด็นขึ้นมาในช่วงวันสองวันที่ผ่านมา อยากจะขอทำความเข้าใจอย่างนี้ครับ วิธีการดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มแกนนำผู้ชุมนุมที่มอบตัว ก็คือว่าเราได้ใช้หมายการควบคุมตัวตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งในกฎหมายนี้กำหนดเอาไว้ว่าการควบคุมตัวนั้น  ต้องไม่เป็นการควบคุมตัวที่สถานีตำรวจ ที่คุมขัง หรือทัณฑสถาน  ตอนที่เราประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเมื่อต้นเดือนเมษายน  ได้มีการกำหนดพื้นที่ที่จะควบคุมตัวบุคคลที่จะมีการควบคุมตัวตามพระราชกำหนดนี้เอาไว้ 6 แห่ง ซึ่ง 1 ในนั้นก็คือค่ายนเรศวร ที่ชะอำอย่างที่พี่น้องประชาชนทราบกัน การตัดสินใจให้กลุ่มแกนนำไปที่ชะอำนั้น ก็เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานว่า พื้นที่ตรงนั้นน่าจะง่ายที่สุดต่อการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุที่อาจจะแทรกซ้อนขึ้นมาได้ในแง่ของมวลชน เมื่อมีการทราบว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นควบคุมตัวแกนนำอยู่  ตรงนี้คือสิ่งที่เป็นเหตุผลว่าทำไมแกนนำนั้นจึงถูกนำไปที่ค่ายนเรศวรที่ชะอำ 

อย่างไรก็ตามครับมาตรฐานของการควบคุมตัวตามพระราชกำหนดนั้น แม้กฎหมายจะเขียนเอาไว้ว่าจะไม่ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับผู้ที่ถือได้แล้วว่ากระทำความผิด แต่ก็ไม่ควรที่จะให้มีการสื่อสารกัน มีการใช้เครื่องมือสื่อสาร เพราะเป็นการควบคุมตัวเพื่อที่จะได้มีการสืบสวนสอบสวนขยายผล ดังนั้นเมื่อปรากฏข่าวออกมาว่า บุคคลเหล่านี้อยู่ด้วยกัน  มีการสื่อสารทั้งกันเอง และกับโลกภายนอกนั้น ผมก็ได้กำชับไปทันทีครับว่าการควบคุมตัวนั้นต้องเป็นไปตามเจตนารมณ์และมาตรฐานของการควบคุมตัวตามพระราชกำหนด เช่นเดียวกับที่ได้ปฏิบัติมาในอดีต  ต่อมาได้มีการยืนยันว่าได้มีการแยกควบคุมตัวบุคคลเหล่านี้ อย่างไรก็ตามครับกลับปรากฏอีกว่าภาพที่ออกมานั้น พูดง่าย ๆ ก็คือว่าพี่น้องประชาชนที่ติดตามข่าวสารเห็นว่ามีพิรุธ มีความผิดปกติ ว่าสรุปเป็นการแยกขังจริงหรือไม่ หรือแยกควบคุมตัวจริงหรือไม่ เนื่องจากว่ารูปภาพที่ออกมานั้น เสมือนกับว่าผู้ที่ถูกควบคุมนั้นหลายคนอยู่ในห้องเดียวกัน หรือใช้เตียงเดียวกัน เพียงแต่มีการสลับในการถ่ายภาพออกมา ซึ่งขณะนี้ได้กำชับไปอีกให้มีการแก้ไขสถานการณ์ และขณะนี้ได้ให้ทางรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  

ผมขอเรียนครับว่าการปฏิบัติต่อแกนนำผู้ชุมนุมนั้นขณะนี้เมื่อมีการแยกควบคุมตัวถูกต้อง ก็จะต้องมีกระบวนการต่อเนื่องในการสอบสวนเพื่อขยายผลในคดีหลัก ก็คือคดีก่อการร้าย ซึ่งเมื่อการขยายผลตรงนี้ ทำไปซึ่งขณะนี้ใกล้จะพร้อมแล้ว ก็จะมีการนำส่ง พูดง่าย ๆ คือส่งไม้ต่อ ขณะนี้คนที่เข้าไปสอบสวนคือกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เมื่อดีเอสไอได้ข้อมูลและคิดว่าเพียงพอพร้อม ก็จะมีการนำส่งเพื่อขอหมายจับจากศาลในการดำเนินคดีหลักคือการก่อการร้าย  นั่นล่ะครับจะเข้าสู่กระบวนการปกติในเรื่องของคดีอาญา ซึ่งถ้าหากว่าศาลไม่ให้ประกันต่อจากนี้การควบคุมตัวก็จะเป็นการควบคุมตัวตามกฎหมายอาญาได้ อันนี้ก็อยากจะเรียนทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน สิ่งใดถ้าหากว่าเกิดขึ้น และไม่ถูกต้องนั้น ขณะนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว และการปฏิบัติต่อบุคคลเหล่านี้ก็ต้องเป็นการปฏิบัติเหมือนกับบุคคลอื่น ๆ อันนี้เป็นนโยบายชัดเจน และผมก็ได้กำชับทุกครั้งเมื่อปรากฏข้อมูลหรือข้อเท็จจริงที่บ่งบอกว่า มิได้ปฏิบัติการในลักษณะนี้ เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็คือการดำเนินการที่เกี่ยวข้องทางกฎหมาย เกี่ยวข้องกับการนำบ้านเมืองกลับเข้าสู่ความเป็นปกติ ขณะเดียวกันกระบวนการฟื้นฟูเยียวยาและแผนปรองดองนั้น เดี๋ยวอีกสักครู่ก็จะได้มีการพูดคุยกัน

ผมขอเรียนสุดท้ายครับก่อนที่จะพักในช่วงนี้ว่าสำหรับการดูแลความปลอดภัยนั้น พี่น้องประชาชนก็มีความห่วงใยว่าสถานการณ์ต่าง ๆ นั้นอาจจะยังไม่สงบนิ่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังมีการให้ข่าวจากทางฝ่ายการเมืองบ้าง  ฝ่ายที่เป็นแนวร่วมกับผู้ชุมนุมบ้าง ว่าจะยังมีการต่อสู้ต่อไป  เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็จะใช้วิธีการในการทบทวนมาตรการต่าง ๆ ที่ใช้อยู่ตามพระราชกำหนดนั้นเป็นระยะ ๆ การประกาศเคอร์ฟิวส์ซึ่งสิ้นสุดลงไปเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะนี้เราก็จะทบทวนดูว่าหาความพอดี ระหว่างการให้พี่น้องประชาชนมีความเชื่อมั่นในความปลอดภัย กับการที่จะไม่ให้มาตรการดังกล่าวนั้นสร้างความเดือดร้อนกับพี่น้องประชาชนที่ประกอบอาชีพโดยสุจริต ดังนั้นในชั้นนี้สำหรับคืนวันนี้และคืนวันพรุ่งนี้  จะยังมีการประกาศเคอร์ฟิวส์  แต่จะมีการปรับเวลา ให้เป็นในช่วงตั้งแต่ประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน ศอฉ.กำลังประชุมอยู่ จนถึงตีห้าหรือตีสี่  กำลังดูตรงนี้ครับขยับกันอยู่  คือพูดง่าย ๆ ว่าจะไม่เริ่มสามทุ่ม แต่ขอให้รอประกาศในช่วงบ่ายวันนี้ว่าจะเป็นห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน และจะสิ้นสุดลงตีสี่หรือตีห้า ก็จะเป็นการผ่อนคลายโดยลำดับ จะประกาศ 2 วันก่อนครับ และจะมีการมาทบทวนเป็นระยะ ๆ 

ขณะเดียวกันนั้นเมื่อทางเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะทางทหารได้ปฏิบัติภารกิจลุล่วงไปแล้วในเรื่องของการคืนพื้นที่ราชประสงค์ ก็จะเข้ามาทำงานร่วมกับทางตำรวจ กับกทม. กับอาสาต่าง ๆ ซึ่งได้กรุณาเข้ามาร่วมกับเจ้าหน้าที่ของภาครัฐในการทำหน้าที่ในการตั้งด่านตรวจตรา เพื่อให้เกิดความมั่นใจในความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนในภาพรวม ช่วงนี้เราพักกันสักครู่นะครับ  เดี๋ยวมาคุยกันว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นขณะนี้ทางภาครัฐและฝ่ายต่าง ๆกำลังดำเนินการอย่างไรในการที่จะเยียวยาฟื้นฟูแก้ไขปัญหา และเราจะเดินหน้าประเทศไทยกันอย่างไร เดี๋ยวมาพบกับพิธีกรรับเชิญ ในช่วงการสนทนาต่อไปครับ 

ช่วงที่ 2

ผู้ดำเนินรายการ สวัสดีครับคุณผู้ชมครับ ผมสมโภชน์ โตรักษา ครับ วันนี้ได้รับเกียรติให้มาพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับปัญหาของบ้านเมืองครับว่า ผลที่เกิดสืบเนื่องจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น ความสูญเสีย รวมไปถึงในเรื่องของความรู้สึกของพี่น้องคนไทย รัฐบาลจะเยียวยาแก้ไขปัญหาให้กับพวกเขาอย่างไร รวมไปถึงการฟื้นฟูประเทศนะครับ ขณะนี้ผมอยู่กับท่านนายกรัฐมนตรี สวัสดีครับ

นายกรัฐมนตรี สวัสดีครับ

ผู้ดำเนินรายการ ก่อนอื่นต้องขอบพระคุณท่านนายกฯ มากครับ สิ่งหนึ่งที่ต้องถามท่านนายกฯ ก็คือว่า นับจากนี้ต่อไป อนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไรกับความรู้สึกของคนไทยที่ปฏิเสธไม่ได้นะครับ เกิดความในเรื่องของความสูญเสีย ความหดหู่ รวมไปถึงในเรื่องของความเกลียดชังที่มีกันในสังคม รัฐบาลกำหนดทิศทางและนโยบายอย่างไรครับ

นายกรัฐมนตรี แน่นอนที่สุดนะครับ เหตุการณ์ซึ่งมันยืดเยื้อมาเป็นเวลาหลายเดือน และนำมาสู่ความสูญเสีย ความขัดแย้งในสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าทุกคนมีความกังวลใจ แต่ผมยังมีความเชื่อในพื้นฐานของคนไทยด้วยกันนะครับว่า เราเป็นคนที่มีอัธยาศัยไมตรี เป็นคนที่รักความสงบ เราต้องดึงพื้นฐานของความเป็นไทยซึ่งไม่ใช่เฉพาะคนไทยด้วยกันเอง แต่ชาวโลกรู้จักมาเป็นเวลาช้านานนี้กลับออกมาให้ได้ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเมื่อประมาณสองวันที่แล้วนี้ เมื่อเหตุการณ์เริ่มเข้าสู่ภาวะที่มีความเป็นปกติมากขึ้น ผมก็ได้บอกว่าขณะนี้เราต้องตระหนักอยู่เสมอว่า เราอยู่ในบ้านเดียวกัน เราอาจจะมีความเห็นแตกต่างกันว่าบ้านควรจะหน้าตาเป็นอย่างไร จะอยู่ด้วยกันอย่างไร แต่ว่าเราต้องถือว่าเราอยู่บ้านเดียวกัน ส่วนคนที่คิดจะมาเผาบ้าน พูดง่าย ๆ นี้คือกลุ่มผู้ก่อการร้ายอะไรต่าง ๆ เรากำลังดำเนินคดีจัดการกับเขาอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ที่มาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายนะครับ เป็นคนในบ้าน เราก็ต้องมาใช้วิธีในการที่จะช่วยกันฟื้นฟูบ้านหลังนี้ แล้วก็สร้างต่อเติมบ้านหลังนี้ให้มันน่าอยู่และอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งผมก็ได้ยึดเอาแนวทางของแผนปรองดอง 5 ข้อ ซึ่งอาจจะต้องมีการขยายเพิ่มเติม แต่หัวใจสำคัญที่สุดขณะนี้ครับ ก็คือทุกฝ่ายต้องเปิดใจกว้างในการรับฟังข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ

ผมยกตัวอย่างง่าย ๆ นะครับว่า กรณีของพี่น้องประชาชนที่มาชุมนุม โดยเฉพาะจากภูมิภาคและเดินทางกลับภูมิลำเนาไปนี้ ตลอดระยะเวลาสองเดือนนี้ บุคคลเหล่านี้ไม่ได้รับข่าวสารอะไรเลยนอกจากจากเวทีการชุมนุม แม้กระทั่งที่ผมเล่าเมื่อสักครู่นี้ ว่าอะไรเกิดขึ้นที่บ่อนไก่ ที่คลองเตย ที่ดินแดง บุคคลเหล่านี้อาจจะไม่ทราบเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะฉะนั้นผมก็เรียนว่าแน่นอนครับบุคคลเหล่านี้ก็มีความคิดความเชื่อในทางการเมืองหรือในด้านต่าง ๆ แต่ก็ต้องช่วยกันทำความเข้าใจ ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐก็อาจจะยังตกหล่นข้อมูลก็ได้ นั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมจะต้องมีการเปิดใจกว้างรับฟังข้อมูลตรวจสอบกัน ผมก็คิดว่าขณะนี้การตรวจสอบจะต้องเกิดขึ้น นอกเหนือจากที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเขาได้ดำเนินการไปแล้ว ผมอยู่ในระหว่างการทาบทามบุคคลนอก ซึ่งจะมาทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงต่าง ๆ นะครับ อันนี้เป็นเรื่องที่กำลังดำเนินการอยู่ ในส่วนของภาครัฐเอง ผู้ปฏิบัติทุกคนพร้อมในเรื่องการตรวจสอบ เพราะว่าผมติดตาม ยืนยันแล้วก็ขอย้ำเลยครับว่า ทุกคนได้ปฏิบัติตามกฎหมายและตามหลักสากล ซึ่งก็จะต้องมีการชี้แจงทั้งในนประเทศ ต่างประเทศต่อไปนะครับ ขณะเดียวกันผมก็ได้ข่าวว่าฝ่ายค้านจะยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ คาดว่าจะยื่นวันจันทร์ ก็เป็นเรื่องที่จะทำให้ขบวนการสภาฯ เข้ามาตรวจสอบได้ด้วย เพราะเข้าใจว่าอย่างไรก็ต้องไม่ไว้วางใจผม และก็ต้องมีการอภิปรายเรื่องนี้

ผู้ดำเนินรายการ ท่านนายกฯ พร้อมชี้แจงในช่วงของเปิดสมัยประชุมวิสามัญ

นายกรัฐมนตรี พร้อมชี้แจงครับ ถ้ามีการยื่นญัตติเข้ามาก็ต้องมีการอภิปราย ก็พร้อมชี้แจง เพราะฉะนั้นก็จะเป็นโอกาสที่จะทำให้บรรดาข้อมูลต่าง ๆ เข้ามาสู่เวทีซึ่งจะเผยแพร่ให้คนทั่วประเทศรับรู้รับทราบ ผมคิดว่าก็เป็นเรื่องที่ดีครับเพราะว่าขณะนี้บางทีก็มีข่าวลือ มีความสับสนเอารูปเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์นี้ออกมา แล้วก็คาดเดา หรือบางทีก็จินตนาการ แล้วก็ไปพูดต่าง ๆ นานา

ผู้ดำเนินรายการ มีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนที่รัฐบาลจะใช้เวทีของสภาฯ อย่างตามมาตรา 179 ที่จะเปิดสองสภาฯ ให้วุฒิเข้ามาร่วมแก้ปัญหาบ้านเมืองด้วย

นายกรัฐมนตรี ผมคิดว่าจริง ๆ แล้วการอภิปรายในวุฒิสภาต่อเหตุการณ์ แม้ว่าจะเกิดขึ้นก่อนวันที่ 19 นี้ก็ได้ดำเนินการไปแล้ว ถ้ามีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผมก็คิดว่ามันก็เป็นเวทีซึ่งจะสามารถที่จะนำเอาเรื่องนี้มาพูดจาได้นะครับ บังเอิญจริง ๆ แล้วปิดสมัยประชุมไปแล้ว ที่เป็นสมัยประชุมสามัญ แต่เรากำลังเปิดวิสามัญเพราะว่าจะต้องผ่านกฎหมายงบประมาณ คิดว่าจะใช้เวทีในช่วงของวิสามัญ ถ้ามีการยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ใช้ขบวนการของสภาฯ ส่วนต่างประเทศผมขอถือโอกาสเรียนเลยนะครับว่า ก็มีความพยายามในการที่จะสื่อสารทำความเข้าใจมาโดยตลอด เมื่อวานนี้ความจริงก็มีการพูดถึงเรื่องของอาวุธต่าง ๆ ที่ยึดได้ แต่ผมขอเรียนนะครับ มีรายงานข่าวในสื่อไทยบางฉบับไม่ค่อยตรงครับ ผมติดตามปฏิกิริยาของต่างประเทศมาโดยตลอด จะเป็นของอาเซียน จะเป็นของ EU (สหภาพยุโรป) จะเป็นของประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา จริง ๆ แล้วทุกคนเข้าใจสถานการณ์ค่อนข้างดี แน่นอนไม่มีประเทศไหนต้องการเห็นความรุนแรง ไม่มีประเทศไหนไม่อยากให้มีกระบวนการที่จะนำไปสู่ข้อยุติแบบสันติ แต่ทุกประเทศที่ผมเห็นนะครับ จะ EU ออกแถลงการณ์มา สหรัฐฯ ออกแถลงการณ์มา ที่อาเซียนออกแถลงการณ์มานี้ 1. สนับสนุนกระบวนการปรองดองตามแผนปรองดองที่ผมเสนอ เขาเขียนชัดขนาดนั้นด้วยนะครับ กรณีของผู้แทนระดับสูงของ EU 2. เขาเรียกร้องนะครับว่า ทางนักการเมืองฝ่ายค้านและทางกลุ่มแกนนำของนปช. ให้ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้มีปัญหาการก่อวินาศกรรม วางเพลิง หรือการใช้ความรุนแรง และ 3. ที่เขาก็ต้องการความชัดเจนคือว่าการใช้อาวุธของทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักสากล ซึ่งในการแถลงการณ์บางฉบับเขาก็เขียนย้ำด้วยซ้ำครับว่า อันนี้เป็นนนนโยบายที่ชัดอยู่แล้วของทางรัฐบาลกับกองทัพ

ผู้ดำเนินรายการ ท่านนายกฯ ครับมีข้อสังสัยอยู่ประเด็นหนึ่งครับ ในแง่ของอาวุธที่ทางเจ้าหน้าที่ยึดมาได้แต่ว่าในแง่ของตัวบุคคล รัฐบาลเองก็จะพยายามชี้แจงตลอดในแง่ว่า มีกองกำลังติดอาวุธ แต่ไม่ทราบว่ามีกองกำลังจากต่างชาติด้วยหรือเปล่า และในเรื่องของบุคคลที่เป็นผู้ก่อเหตุนี้เมื่อไรเราจะจับกุมบุคคลเหล่านี้ได้

นายกรัฐมนตรี จริง ๆ ขณะนี้ก็มีการจับกุมได้บางส่วนแล้วนะครับ อยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดี ซึ่งก็เข้าใจว่าเมื่อคดีมีความคืบหน้าก็จะสามารถเปิดเผยได้โดยลำดับ

ผู้ดำเนินรายการ ใช่ครับ

นายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้นจริง ๆ บางทีบางคนบอกว่า เอ๊ะ รัฐบาลพูดเรื่องการใช้อาวุธสงครามเอ็ม 79 การยิงอะไรไม่เห็นจับได้ จริง ๆ จับได้หลายคนแล้วนะครับ และความจริงศอฉ. ก็พยายามแถลงมาอยู่เป็นระยะ ๆ นะครับ กลุ่มการ์ดบ้าง กลุ่มชุดดำบ้าง มีการจับกุมได้ ก็จะมีการดำเนินการไป

ผู้ดำเนินรายการ เป็นอาวุธจากภายในหรือว่าจากภายนอกด้วย

นายกรัฐมนตรี อันนี้คงต้องไปตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้งนะครับ ส่วนถามว่ามีชาวต่างชาติบ้างไหมนี้ เท่าที่ผมทราบขณะนี้จะมีการไปจับกุมชาวต่างชาติได้ 1 คนที่เตรียมวางเพลิงนะครับ น่าจะเป็นคืน 19 ก็ 20 นะครับ แต่ก็กำลังมีการตรวจสอบและขยายผลอยู่ครับ

ผู้ดำเนินรายการ มาถึงเรื่องของการเยียวยาผลกระทบให้กับทางชาวบ้านหรือแม้แต่ผู้ประกอบการ ท่านนายกฯ จัดลำดับความสำคัญของการเยียวยาและการฟื้นฟูโดยเฉพาะในเรื่องของจิตใจอย่างไรครับ

นายกรัฐมนตรี คงแยกสองส่วนนะครับ เรื่องจิตใจเป็นเรื่องใหญ่มาก และจะต้องมีการดำเนินการทั้งประเทศไม่ใช่เฉพาะกรุงเทพฯ ซึ่งจะอิงอยู่กับแผนปรองดองนะครับ ถ้าพูดตรงนี้ผมก็บอกว่าเราได้เตรียมไว้หลายเรื่องนะครับ สมัชชาประชาชนที่พูดเอาไว้ ก็กำลังจะเดินหน้า ต้องหยุดไปเพราะว่าวันที่ 20 นี้การเดินทางก็ไม่สะดวก แต่ว่าก็กำลังเดินหน้าอยู่นะครับ ที่ปรึกษาผม คุณหญิงสุพัตรา รับผิดชอบในเรื่องนี้ ท่านที่ปรึกษาอภิรักษ์ โกษะโยธิน จริง ๆ ได้ทำงานอยู่หลายเรื่องเลยนะครับ ขณะนี้ ก็กำลังจะจัดทำโครงการสำคัญคือการสำรวจความต้องการของพี่น้องประชาชน ที่เป็นการสำรวจแบบวงกว้างมาก จะเรียกได้ว่าจะอิงกับเรื่องการทำสำมะโนซึ่งจะต้องทำอยู่แล้วด้วย อันนี้ก็จะเป็นการดึงเอาความต้องการ ความเดือดร้อน ความทุกข์ ความรู้สึกของทุกฝ่ายมา เพื่อสามารถขับเคลื่อนแผนปรองดองอื่น ๆ ได้อย่างตรงเป้าหมาย อันนี้ก็คือเรื่องของการฟื้นฟูนะครับ เราขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายนะครับ ทางหน่วยงานราชการทุกหน่วยงาน ผมได้ประชุม และครม. ได้เชิญปลัดกระทรวงทุกกระทรวงมาประชุมแล้ว ว่าขอให้ได้ยึดเอาแผนปรองดองเพื่อนำไปสู่การขยายผลนะครับ การบริหารจัดการเรื่องสื่อผมประชุมกับกทช. แล้ว และเรื่องของปัญหาทางการเมืองขณะนี้กำลังทาบทามองค์กรทางวิชาการเข้ามาดูแลอยู่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างจะเคลื่อนไปข้างหน้าในลักษณะนี้ ทุกคนมีบทบาทได้ทั้งสิ้นครับ หน่วยงานราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่ว่าเรามีเครือข่ายของประชาชนจำนวนมาก ท้องถิ่นเครือข่ายใหญ่ กำนันผู้ใหญ่บ้านกลไกสำคัญ อสม. ข้าราชการครู กลุ่มบุคคลเหล่านี้ครับล้วนแล้วแต่ช่วยได้ทั้งสิ้นในการที่จะเยียวยาในเรื่องของจิตใจของประชาชน

ส่วนเรื่องของผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นการเฉพาะ เดือดร้อนทางธุรกิจ เดิมเรามีคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องผู้ประกอบการราชประสงค์กับผ่านฟ้า และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ตอนนั้นเรามุ่งไปที่ลูกจ้างที่ตกงาน กับผู้ประกอบการรายย่อย ซึ่งมีปัญหาเรื่องการเสียค่าเช่าค้าขายไม่ได้ พอเกิดเหตุการณ์วันที่ 19 - 20 ขณะนี้สองวันที่ผ่านมา ศอฉ. ได้จัดให้มีการขึ้นทะเบียน ซึ่งมีผู้ประกอบการจากสยามสแควร์ จากประตูน้ำนะครับ สยามสแควร์นั้นทำผ่านทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยด้วยนะครับ ซึ่งต้องขอบคุณทางจุฬาฯ ที่ได้มีความรวดเร็วมากในการทำเรื่องนี้ เบื้องต้นมาแล้วมาขึ้นทะเบียนแล้วประมาณ 1,000 กว่าราย ความเสียหายก็ประเมินกันคร่าว ๆ ว่าอาจจะเป็นพันล้านนะครับ เร่งด่วนที่สุดก็คือเรื่องจัดหาเงินทุน คือการช่วยเหลือตามเกณฑ์ก็จะเร่งรัดทันทีนะครับ กทม. ก็ดี ป้องกันสาธารณภัยก็ดี จะจ่ายเงินได้เลย อันนี้ก็จะเร่งรัดให้เกิดขึ้น 1 - 2 วันนี้ แล้วสองก็คือว่า จัดที่ขายให้เขาครับ ทางจุฬาฯ ผมเข้าใจว่ามีที่เยอะ แล้วก็เริ่มจะมาพิจารณากันแล้วว่าจะอำนวยความสะดวกตรงนี้ได้อย่างไร แต่ว่าการจัดที่ขายนี้ ผมก็ได้ให้นโยบายไปว่าขอให้เป็นพื้นที่ซึ่งมันใกล้เคียงที่อยู่เดิม หรือเป็นพื้นที่ซึ่งเขามีความมั่นใจว่าคนจะไปซื้อของ คงจะไม่ไปจัดที่ไกล ๆ จัดที่ไกล ๆ ก็ไม่เป็นประโยชน์นะครับ เพราะฉะนั้นก็จะต้องดูว่าตรงนั้นจะบริหารพื้นที่กันอย่างไร มีกลุ่มเดียวครับขณะนี้ซึ่งยังไม่ได้มาขึ้นทะเบียนได้อย่างมากนัก แต่เราจะทำงานผ่านตัวเจ้าของอาคาร ก็คือกรณีของเซ็นเตอร์วัน ที่อนุสาวรีย์ฯ เซ็นทรัลเวิลด์นั้นความจริงเนื่องจากมีการสำรวจในเรื่องการช่วยเหลือก่อนหน้านี้แล้ว มันมีฐานข้อมูลอยู่ เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเข้าใจว่าในส่วนของอนุสาวรีย์ชัยฯ เซ็นเตอร์วันก็จะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่จะต้องเร่งเข้าไปดู

ผู้ดำเนินรายการ ในแง่การเยียวยากับทางประชาชนที่อยู่ในกทม. รวมถึงผู้ประกอบการนี้คนจะไม่ค่อยห่วง แต่ในเรื่องของประชาชนที่มาชุมนุมโดยความสุจริตใจ และก็กลับไปต่างจังหวัดนี้ รัฐบาลเองจะลงไปในพื้นที่หรือจะให้ทางเจ้าหน้าที่ลงไปเยียวยาทำความเข้าใจอย่างไร ในขณะที่ชาวบ้านเองก็ยังมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับทางรัฐบาลครับท่านนายกฯ

นายกรัฐมนตรี ผมคิดว่าเขาต้องเป็นการดำเนินการหลาย ๆ ฝ่าย ผมจึงต้องขอความร่วมมือโดยตลอดจากสังคมทั้งสังคม ไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชน และเครือข่ายที่ผมได้เรียนไปเมื่อสักครู่ ท้องถิ่น ท้องที่ ในส่วนของกลุ่มอาสาสมัครต่าง ๆ นะครับ ที่สำคัญที่สุดก็คือจริง ๆ แล้วญาติพี่น้องซึ่งสามารถติดตามข่าวสารได้จากนอกพื้นที่การชุมนุมก็จะมีความสำคัญ ผมคิดว่าต้องใช้เวลา และต้องพิสูจน์กันด้วยความจริงใจในการทำงานในหลาย ๆ เรื่องที่จะตอบสนองความต้องการหรือที่เป็นความเดือดร้อนที่แท้จริงของประชาชนกลุ่มนี้

ผู้ดำเนินรายการ พูดถึงแผนปรองดองที่ท่านนายกฯ บอก 5 ข้อนี้ หลายคนเองก็ค่อนข้างกังวลกับในข้อที่ 5 ซึ่งเป็นปัจจัยทางด้านการเมือง โดยเฉพาะในเรื่องของประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สังคมห่วงว่านี่คือชนวนที่จะนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมอีก ถ้าต้องเลือกระหว่างไม้ค้ำยันให้กับทางรัฐบาล กับผลกระทบในเรื่องของความแตกแยกทางสังคม ท่านนายกฯ จะตัดสินใจเลือกอย่างไร

นายกรัฐมนตรี คือผมได้เรียนไปแล้วนะครับว่า จริง ๆ แล้วปัญหานี้ก็เป็นปมปัญหามา 2 - 3 ปีแล้วนะครับ แล้วเราก็มีฐานอยู่ ฐานที่เรามีอยู่ก็คือคณะกรรมการของสภาฯ ซึ่งเคยศึกษาไว้ แต่ทีนี้คณะกรรมการที่ศึกษาไว้มันมี 6 ประเด็น ใน 6 ประเด็นนี้หลายคนก็ยังไม่พอใจ หลายคนในที่นี้ก็บอกว่ามันเป็นเรื่องนักการเมือง เพราะฉะนั้นกระบวนการต่อไป ผมนี่เคยเสนอว่าดีที่สุดคือทำประชามติ แต่ก็ปรากฏว่ายังไม่สามารถโน้มน้าวให้ฝ่ายต่าง ๆ ยอมรับกระบวนการการทำประชามติได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นผมบอกว่าก็ต้องมีองค์กรซึ่งไม่ใช่ฝ่ายการเมืองมาช่วย พูดง่าย ๆ เหมือนกับ กรองอีกครั้งหนึ่งได้ไหม ว่าใน 6 ประเด็นนี้อะไรบ้างซึ่งมันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง อะไรบ้างที่มันน่าจะเดินได้แล้วเป็นที่พอใจของหลาย ๆ ฝ่าย ฉะนั้นช่วงนี้อย่างที่เรียนไปเมื่อสักครู่ว่ากำลังทาบทามองค์กรทางวิชาการที่มาทำงานทางด้านนี้อยู่

ผู้ดำเนินรายการ มีการพูดถึงความต่อเนื่องในการฟื้นฟูประเทศ อายุของรัฐบาลก็เป็นปัจจัยสำคัญ ณ ขณะนี้ยังคิดถึงเรื่องของการยุบสภาก่อนครบวาระไหมครับ

นายกรัฐมนตรี คือผมไม่เคยปฏิเสธการยุบสภาก่อนครบวาระ เพราะมันคือกระบวนการปกติตามระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เสนอแผนปรองดอง มันมีวันที่ 14 พฤศจิกายน ซึ่งถูกกำหนดไว้อยู่ ในวันที่ 14 นั้นก็อยู่บนพื้นฐานของความตั้งใจที่ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมกระบวนการ และทำให้เหตุการณ์สงบ คือเป้าหมายก็คือว่าการเลือกตั้งหรือการยุบสภานี้ควรจะเป็นการเลือกตั้งที่สุจริตเที่ยงธรรม แข่งขันกันได้อย่างเสรี และที่สำคัญก็คือว่าเลือกตั้งกันอย่างสันติ ไม่ใช่การเลือกตั้งที่นำไปสู่ความรุนแรง เพราะฉะนั้นผมก็ได้หลังจากที่ทางกลุ่มแกนนำผู้ชุมนุมไม่ยุติการชุมนุม ก็เข้าสู่กระบวนการปรองดองนี้ผมก็ได้บอกแล้วว่า ตอนนี้ก็ต้องกลับมาเป็นดุลพินิจของผม ว่าความเหมาะสมของเลือกตั้งควรจะเป็นอย่างไร วันนี้ไม่มีใครบอกได้หรอกครับ เรายังไม่ทราบเลยว่าเหตุการณ์จากนี้ไปจะเป็นอย่างไร เพราะยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มซึ่งยังพูดถึงการจะต่อสู้ จะมีการชุมนุมอีกเดือนมิถุนายนหรืออะไรนี้นะครับ ยังมีคนพูดอย่างนั้นอยู่ เราก็ว่าไปตามสถาการณ์

ผู้ดำเนินรายการ มีการพูดถึงว่ายุบสภาแล้วเลือกตั้ง ปัญหาอย่างไรก็ไม่จบ มันก็เลยมีแนวคิดเสียงสะท้อนในเรื่องของรัฐบาลแห่งชาติ เพื่อที่มาจัดระเบียบของสังคมไทย ท่านนายกฯ คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ

นายกรัฐมนตรี คือข้อเสนอรัฐบาลแห่งชาตินี้ก็เป็นข้อเสนอซึ่งมักจะมีการพูดกันมาเป็นระยะ ๆ นะครับ แต่ว่ารูปธรรมและวิธีการที่จะนำไปสู่รัฐบาลแห่งชาตินี้ดูจะมองไม่ตรงกัน ผมคิดว่าข้อเสนอใด ๆ ก็ตามทางการเมืองเป็นข้อเสนอซึ่งระบบรัฐสภาจะต้องเป็นผู้พิจารณา แล้วเรื่องนี้กระบวนการรัฐสภาก็คงจะเริ่มต้นจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ผู้ดำเนินรายการ สุดท้ายครับท่านนายกฯ ท่านนายกฯ บอกว่าจะเร่งคืนความปกติให้กับสังคม ณ ปัจจุบันนี้สังคมไทยปกติหรือยัง และการใช้ชีวิตของท่านนายกฯ กลับเข้าสู่ภาวะปกติเหมือนเดิมหรือยังครับ

นายกรัฐมนตรี ยังหรอกครับ ผมต้องยอมรับว่ายังนะครับ พรุ่งนี้ก็จะไปอีกขั้นหนึ่ง พรุ่งนี้โรงเรียนเปิด ราชการเปิด ผมกลับไปทำเนียบ และอาจจะมีการย้ายศอฉ. ไปอยู่บริเวณใกล้เคียงทำเนียบรัฐบาล ก็ปกติระดับหนึ่ง แต่เคอร์ฟิวร่นเวลามาหน่อย พ.ร.ก.ยังใช้อยู่ ก็จะทำไปโดยลำดับ ผมก็คิดว่าสำหรับการเป็นปกติของการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่น่าจะเริ่มชัดเจนขึ้นในสัปดาห์หน้านะครับ สำหรับตัวผมนี้ก็พูดตรง ๆ นะครับว่า ก็คงไม่ง่ายหรอกครับที่จะมีชีวิตอยู่อย่างปกติ เพราะว่าผมก็ทราบว่าเป้าหมายทางการเมืองของหลาย ๆ ฝ่ายคืออะไร ก็เป็นเรื่องที่ผมต้องยอมรับข้อเท็จจริงอันนี้นะครับ เพราะว่าผมเป็นอาสาสมัครที่เข้ามาทำงานการเมืองครับ

ผู้ดำเนินรายการ หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ ครอบครัวเคยขอร้องไหมครับว่าให้เลิกเล่นการเมือง

นายกรัฐมนตรี ครอบครัวผมนี้ไม่ได้อยากให้ผมเล่นการเมืองอยู่แล้ว นี่พูดตรงไปตรงมา แต่ว่าสิ่งหนึ่งซึ่งเขาได้ย้ำและผมประทับใจมากในช่วงเหตุการณ์ก็คือว่า เมื่อเข้ามาแล้ว แม้เขาไม่อยากให้อยู่ ช่วงที่อยู่ ทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นนี้เราก็ต้องยอมรับครับ

ผู้ดำเนินรายการ สุดท้ายครับท่านนายกฯ รัฐบาลและสังคมไทยเรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นายกรัฐมนตรี ผมว่ามีหลายเรื่องที่เราต้องเรียนรู้นะครับ ผมคิดว่าในแผนปรองดอง ในแผนฟื้นฟู สิ่งที่ผมคิดว่าเราจะต้องทำให้ได้มากที่สุดก็คือการมีส่วนร่วม และสร้างกระบวนการเรียนรู้ ผมคิดว่าวันนี้คงไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลจะบอกประชาชน สื่อมวลชนจะบอกกับประชาชนว่าต้องเรียนรู้อย่างนั้นอย่างนี้ ผมคิดว่าเมื่อเราเข้าสู่กระบวนการปรองดอง ทำงานด้วยกัน เราจะเรียนรู้ร่วมกัน

ผู้ดำเนินรายการ ครับ กราบขอบพระคุณท่านนายกฯ ครับคุณผู้ชมครับ และนั่นก็คือมุมมองของท่านนายกรัฐมนตรีนะครับเกี่ยวกับเรื่องของการฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบนะครับ รวมไปถึงการฟื้นฟูประเทศนะครับ รวมไปถึงมุมมองทางการเมืองด้วยครับ วันนี้ผมและท่านนายกฯ ลาไปก่อนครับ สวัสดีครับ
 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net