28 ส.ค.52 ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ เปิดเผยผลสำรวจเรื่อง พ.ร.บ.ความมั่นคงกับการชุมนุมของกลุ่ม นปช. พบว่า 1.สิ่งที่ต้องการให้นายกฯ ทำมากที่สุดคือ เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน ร้อยละ 28.8 ยุบสภา ร้อยละ 22.2 แก้ปัญหาความขัดแย้งในรัฐบาล ร้อยละ 19.3 ส่วนการเปรียบเทียบผลดีผลเสียในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงนั้น ประชาชนเชื่อว่าจะส่งผลเสียมากกว่า ร้อยละ37.8 เชื่อว่าจะส่งผลดีมากกว่า ร้อยละ 21.7 ไม่แน่ใจ ร้อยละ 40.5 ขณะที่เรื่องที่ประชาชนเป็นห่วงมากที่สุดจากการนัดชุมนุมของกลุ่ม นปช. และการประกาศใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคงฯ คือ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของไทย ร้อยละ 36 การฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์โดยผู้ไม่หวังดี ร้อยละ 28.3 การจราจรติดขัด ร้อยละ 16.2 การใช้อำนาจเกินขอบเขตของเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุม ร้อยละ 15.9
รายละเอียดมีดังต่อไปนี้
จากการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรในพื้นที่เขตดุสิตระหว่างวันที่ 29 ส.ค. – 1 ก.ย. 2552 ซึ่งเป็นช่วงการนัดชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นำมาซึ่งเสียงวิจารณ์ที่หลากหลายโดยมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในเรื่องดังกล่าวขึ้น โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 1,027 คน เป็นเพศชายร้อยละ 49.9 และเพศหญิงร้อยละ 50.1 เมื่อวันที่ 26-27 สิงหาคม 2552 สรุปผลได้ดังนี้
1. ความรู้สึกต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยในปัจจุบัน
- น่าเป็นห่วงมาก ร้อยละ 48.4
- น่าเป็นห่วงค่อนข้างมาก ร้อยละ 35.4
- ไม่ค่อยน่าเป็นห่วง ร้อยละ 12.2
- ไม่น่าเป็นห่วงเลย ร้อยละ 4.0
2. เปรียบเทียบผลดีและผลเสียจากการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคงฯ ในพื้นที่เขตดุสิต ในช่วงการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ระหว่างวันที่ 29 ส.ค. – 1 ก.ย. 52 พบว่า
- เชื่อว่าจะส่งผลเสียมากกว่า ร้อยละ 37.8
- เชื่อว่าจะส่งผลดีมากกว่า ร้อยละ 21.7
- ไม่แน่ใจ ร้อยละ 40.5
3.เรื่องที่ประชาชนเป็นห่วงมากที่สุดจากการนัดชุมนุมของกลุ่ม นปช. และการประกาศใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคงฯ ในครั้งนี้ คือ
- ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนของไทย ร้อยละ 36.0
- การฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์โดยผู้ไม่หวังดี ร้อยละ 28.3
- การจราจรติดขัด ร้อยละ 16.2
- การใช้อำนาจเกินขอบเขตของเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุม ร้อยละ 15.9
- อื่นๆ อาทิ การลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน
และการเสียเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกัน ฯลฯ ร้อยละ 3.6
4. ความเชื่อมั่นต่อความสามารถของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการควบคุมสถานการณ์
การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ไม่ให้ยืดเยื้อบานปลาย
- เชื่อว่าจะสามารถควบคุมได้ ร้อยละ 35.8
- ไม่เชื่อว่าจะสามารถควบคุมได้ ร้อยละ 31.7
- ไม่แน่ใจ ร้อยละ 32.5
5. สิ่งที่ต้องการให้นายกฯ อภิสิทธิ์ ทำมากที่สุดในขณะนี้ คือ
- เดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจและปากท้องของประชาชน ร้อยละ 28.8
- ยุบสภา ร้อยละ 22.2
- แก้ปัญหาความขัดแย้งในรัฐบาล ร้อยละ 19.3
- แก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น ร้อยละ 12.9
- แก้เกม พ.ต.ท. ทักษิณ และกลุ่ม นปช. ร้อยละ 7.1
- ปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 3.3
- อื่นๆ อาทิ สร้างความสามัคคีของคนในชาติ
แก้ปัญหาภาคใต้ แก้ปัญหาเยาวชน ฯลฯ ร้อยละ 6.4
6. สำหรับความเชื่อมั่นเกี่ยวกับระยะเวลาในการอยู่บริหารประเทศของรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธ์ พบว่า
- เชื่อว่ารัฐบาลจะอยู่ได้เกิน 1 ปี ร้อยละ 58.2
(ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาพบว่าความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะอยู่ได้เกิน 1 ปีลดลงร้อยละ 6.3)
- เชื่อว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ครบ 1 ปี ร้อยละ 41.8
(ในจำนวนนี้เชื่อว่าสาเหตุที่จะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ครบ 1 ปี เนื่องจาก
- ผลงานไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชน ร้อยละ 12.9
- ความขัดแย้งกับพรรคร่วมรัฐบาล ร้อยละ 9.6
- ความขัดแย้งภายในพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 6.6
- การชุมนุมเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. ร้อยละ 5.9
- ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ร้อยละ 5.5
- อื่นๆ อาทิ นายกฯ ไม่เด็ดขาด ฯลฯ ร้อยละ 1.3
รายละเอียดในการสำรวจ
วัตถุประสงค์ในการสำรวจ
เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรในพื้นที่เขตดุสิตระหว่างวันที่ 29 ส.ค. – 1 ก.ย. 2552 ซึ่งเป็นช่วงการนัดชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทั้งนี้เพื่อสะท้อนให้สังคมและแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้เพื่อประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมต่อไป
ระเบียบวิธีการสำรวจ
การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปและอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) โดยการสุ่มเขตการปกครองทั้งเขตชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นใน จำนวนทั้งสิ้น 26 เขต จากนั้นจึงสุ่มถนนและประชากรเป้าหมายที่จะสัมภาษณ์อย่างเป็นระบบ และใช้วิธีเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบพบตัว ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 1,027 คน เป็นเพศชายร้อยละ 49.9 และเพศหญิงร้อยละ 50.1
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error)
ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน ± 4% ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
วิธีการรวบรวมข้อมูล
ใช้การสัมภาษณ์แบบพบตัว โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอน โดยเป็นข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นคณะนักวิจัยได้นำแบบสอบถามทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล : 26-27 สิงหาคม 2552
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ : 28 สิงหาคม 2552
ข้อมูลประชากรศาสตร์
|
จำนวน
|
ร้อยละ
|
เพศ
|
|
|
ชาย
|
512
|
49.9
|
หญิง
|
515
|
50.1
|
รวม
|
1,027
|
100.0
|
อายุ
|
|
|
18 - 25 ปี
|
261
|
25.4
|
26 - 35 ปี
|
282
|
27.5
|
36 - 45 ปี
|
234
|
22.8
|
46 ปีขึ้นไป
|
250
|
24.3
|
รวม
|
1,027
|
100.0
|
การศึกษา
|
|
|
ต่ำกว่าปริญญาตรี
|
593
|
57.7
|
ปริญญาตรี
|
389
|
37.9
|
สูงกว่าปริญญาตรี
|
45
|
4.4
|
รวม
|
1,027
|
100.0
|
อาชีพ
|
|
|
ข้าราชาร / พนักงานรัฐวิสาหกิจ
|
113
|
10.9
|
พนักงาน / ลูกจ้าง บริษัทเอกชน
|
273
|
26.7
|
ค้าขาย / ประกอบอาชีพส่วนตัว
|
298
|
29.0
|
รับจ้างทั่วไป
|
114
|
11.1
|
พ่อบ้าน แม่บ้าน เกษียณอายุ
|
61
|
5.9
|
อื่นๆ อาทิ นักศึกษา อาชีพอิสระ ว่างงาน เป็นต้น
|
168
|
16.4
|
รวม
|
1,027
|
100.0
|
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)