เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ผ่านมา ที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สป.) มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับ "ผลการศึกษาของคณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับกรณีปัญหาเขาพระวิหาร" โดยคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษาเกี่ยวกับกรณีปัญหาเขาพระวิหาร นำโดย ร้อยตรีวิจิตร อยู่สุภาพ ประธานคณะทำงาน นายราชันย์ วีระพันธุ์ สมาชิกคณะทำงานฯ นายสุวันชัย แสงสุขเอี่ยม สมาชิกคณะทำงานฯ นายปริญญา ศิริสารการ สมาชิกคณะทำงานฯ นายธีรวัจน์ นามดวง สมาชิกคณะทำงานฯ
ทั้งนี้ในการแถลงข่าว นายปริญญา เป็นผู้บรรยายเอกสารแถลงข่าวที่คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษาเกี่ยวกับกรณีปัญหาเขาพระวิหาร สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทำความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวการได้รับขึ้นทะเบียนมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร โดยตั้งข้อสังเกตถึงความโปร่งใสของ ICOMOS สากล ในประเมินให้ปราสาทพระวิหารมีคุณค่าสากลที่โดดเด่น (Outstanding Universal Value) ตามเกณฑ์มรดกโลกทางวัฒนธรรมข้อ 1 2 และ 4 โดยไม่ต้องขอจดทะเบียนมรดกโลกร่วมกับไทยในลักษณะข้ามพรมแดน (Transboundary nomination) ทั้งที่พื้นที่บริเวณรอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชายังไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนระหว่างกันได้ และความไม่โปร่งใสของมติคณะกรรมการมรดกโลกที่อนุมัติให้จดทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหาร
ร.ต.วิจิตร อยู่สุภาพ ประธานคณะทำงานฯ กล่าวว่า คณะทำงานฯ จะเสนอเรื่องในการศึกษาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล โดยเฉพาะพื้นที่ทางทะเลในอ่าวไทย เนื่องจากมีพลังงานก๊าซ และน้ำมันเป็นแสนล้านบาท โดยคณะทำงานเป็นห่วงว่าหากไทย จะเกิดเพลี่ยงพล้ำคดีเขาพระวิหาร จะทำให้เราสูญเสียพื้นที่ดังกล่าวไปด้วย ดังนั้นคณะทำงานจะศึกษาว่าเรื่องดังกล่าวมีใครได้และเสียประโยชน์ หรือไปเอื้อให้กลุ่มธุรกิจใด โดยเฉพาะของไทยและคนในพื้นที่ ซึ่งเบื้องต้นเชื่อว่าจะมีคนไทยอยู่เบื้องหลังทั้งในทางนโยบาย การปฏิบัติการและในท้องถิ่น
นายปริญญา กล่าวถึงกรณีที่ประเทศกัมพูชาเสนอให้ประเทศไทยใช้คำเรียกชื่อปราสาท "พระวิหาร" ว่า "เพรียวีเหียะ" ตามประเทศกัมพูชาว่า ตนเชื่อว่าคำว่าเพรียวีเหียะ ไม่ใช่คำศัพท์ของประเทศกัมพูชาแต่เป็นศัพท์ที่ประเทศฝรั่งเศสใช้ ต่อมาสากลก็ใช้ทับศัพท์ด้วย ซึ่งเราน่าจะแย้งไปแม้จะเป็นศัพท์ที่ใช้มานานแล้ว เราน่าจะพิจารณาว่าสากลจะเปลี่ยนตามเราไหม
"เอกสารทุกฉบับที่เราศึกษา แม้แต่รายงานของคณะทำงาน เราก็ยืนยันเรียกว่าปราสาทพระวิหาร ดังนั้นเชื่อว่ารัฐบาลไทยก็คงต้องยืนยันใช้คำภาษาไทยว่า ปราสาทพระวิหาร" นายปริญญากล่าว
ด้านนายสุวันชัย แสงสุขเอี่ยม สมาชิกคณะทำงานฯ กล่าวว่า ประเทศไทยถือว่าปราสาทพระวิหารเป็นของไทย ดังนั้นโดยข้อเท็จจริงเราควรเรียกว่าปราสาทพระวิหารเพราะถือเป็นของไทย ถ้าเราไปยอมรับว่าเรียก"เพรียวีเหียะ" ก็เท่ากับยอมรับว่าเป็นของกัมพูชาแล้วเรียกตามเขา ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่า เอกสารต่างๆ ที่กระทรวงการต่างประเทศของไทยใช้ติดต่อกับกัมพูชาจะใช้คำว่า "พระวิหาร" แต่เมื่อกัมพูชาติดต่อกับไทยจะใช้คำว่า "เพรียวีเหียะ"
นายธีรวัจน์ นามดวง สมาชิกคณะทำงานฯ กล่าวว่า การเสนอเรื่องคำเรียกชื่อปราสาทให้เรียกตามกัมพูชานั้นเป็นการเล่นการเมืองเชิงรุกของกัมพูชาที่ต้องการสร้างให้เกิดความสับสน ดังนั้นประเทศไทยไม่ควรจะไปหลงกลวิ่งตามกัมพูชา
นายปริญญากล่าวถึงกรณีภรรยาของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินทางมาทอดกฐินในเขตไทย ว่า กระทรวงการต่างประเทศควรจะยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาเข้ามาทอดกฐินในเขตไทยไม่ได้
เมื่อซักว่ากรณีดังกล่าวกระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำการประท้วงกัมพูชาไปแล้ว ดังนั้น ทหารควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อการลุกล้ำเข้ามาของกัมพูชาหรือไม่ นายปริญญา กล่าวว่าทหารและกระทรวงการต่างประเทศรู้ดี แต่ภาคการเมืองของเราอ่อนแอ ทำให้ภาคปฏิบัติซึ่งต้องทำตามนโยบายอึดอัดมากเพราะไม่มีการสั่งการมา ทั้งนี้ ฝ่ายไทยต้องไม่ถอนกำลังทหาร เพราะเรายืนยันว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย แต่คนไทยกลับเข้าไปไม่ได้ ขณะที่ชาวกัมพูชากลับมาสร้างวัดและชุมชน
นายธีรวัจน์ นามดวง กล่าวว่า เราไม่ตำหนิทหารที่อยู่ในพื้นที่ เพราะปัญหาอยู่ที่รัฐบาลไม่ดำเนินนโยบายที่ชัดเจน เราต้องตำหนิฝ่ายที่ต้องดูแลด้านนโยบายที่ไม่ออกคำสั่ง
นายราชันย์ วีระพันธุ์ คณะทำงานฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะทำงานได้ศึกษาตามกรอบการทำงานที่จะสรุปเสนอให้รัฐบาลถึงมาตราการที่เร่งด่วนในการทำความเข้าใจกับประชาชนและประเทศกัมพูชา และหลังจากนี้คณะทำงานจะศึกษาต่อในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนในเขตแดนที่ยังเป็นข้อพิพาท ทั้งนี้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา มีความต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2515 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งต้องยอมรับว่าการบริหารบ้านเมืองของไทยเป็นความอ่อนด้อยของรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัญหาด้านชายแดน เขาพระวิหาร ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งดำเนินการชี้แจงบนเวทีโลกอย่างจริง และเวทีในภูมภาคเอเชียนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพรมแดนที่ใช้ตามหลักสากลว่าอยู่ตรงไหน และทำความเข้าใจกับประชาชนให้เข้าใจถึงข้อเท็จจริง ขอเรียกร้องให้รัฐบาล ข้าราชการประจำ เจ้าหน้าที่ต้องสนใจปัญหานี้อย่างจริงจังเพื่อนำสู่การแก้ปัญหาต่อไป โดยต้องดำเนินการให้ทันเกมรัฐบาลกัมพูชา รัฐบาลต้องกล้าประกาศ เพราะเราต้องการเห็นความอ่อนโยนในการเจรจา แต่ไม่ใช่อ่อนแอ โดยต้องทำด้วยเหตุผลไม่ใช้อารมณ์ ดำเนินนโยบายด้วยความเข้มแข็งแต่ไม่ใช่แข็งกร้าว นอกจากนี้จะขออนุมัติจากสภาที่ปรึกษาฯ เพื่อขอศึกษาผลพวงจากชายแดนพื้นที่เขาพระวิหารว่าจะมีผลกระทบต่อพื้นที่ทับซ้อนในทางทะเลหรือไม่ เพราะในพื้นที่ดังกล่าวมีทรัพยากรณ์ธรรมชาติอย่างมากมาย
นายราชันย์ กล่าวอีกว่า ต้องยอมรับว่าจากการศึกษาตั้งแต่ศาลโลกมีคำพิพากษา 5 ก.ค. 2545 เป็นเวลา 45 ปีแล้ว ที่ในทางปฏิบัติรัฐบาลทุกสมัยได้ปล่อยปละละเลย โดยเฉพาะพื้นที่ของไทยบริเวณเขาพระวิหาร ซึ่งทำให้กัมพูชาเข้ามาทำประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อน และในพื้นที่ของไทย แม้จะมีการทำเอกสารชี้แจงให้รัฐบาลกัมพูชาผลักดันคนของเขาออกไป แต่ก็ได้รับการเพิกเฉย จนทำให้เกิดเหตุบานปลายถึงขณะนี้
นายสุวันชัย แสงสุขเอี่ยม กล่าวว่า ในอนาคตหากมีการเลือกตั้ง ฝ่ายการเมืองของไทย โดยพรรคการเมืองต่างๆ ต้องนำเรื่องพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทพระวิหารมาเป็นนโยบายหาเสียงเพื่อเรียกร้องดินแดนซึ่งเป็นสิทธิประเทศไทยคืนมาและเชื่อว่า ประชาชนชาวไทยจะให้ความสนใจ เหมือนที่รัฐบาลกัมพูชาเคยนำเรื่องปราสาทพระวิหารในการหาเสียงเลือกตั้ง แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว ขั้นตอนในการอ้างสิทธิดินแดนไทยคืนต้องใช้ตามหลักสากลและความถูกต้อง
นายธีรวัจน์ นามดวง กล่าวว่า หากฝ่ายกัมพูชายังยึดถือเอาแผนที่ของฝรั่งเศสอยู่ ตามความคาดการณ์ เชื่อว่ากัมพูชาจะผนวกพื้นที่ทับซ้อน อุบล สุรินทร์ เป็นจำนวน 1.5 ล้านไร่ เพื่อนำไปเป็นส่วนหนึ่งของการจดทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ดังนั้นรัฐบาล ต้องเร่งทำความเข้าใจ และยกเลิกแผนที่ดังกล่าวแล้วให้มายึดแผนที่ตามหลักสากลโดยยึดแนวสันปันน้ำ มิเช่นนั้นในอนาคตหากปล่อยปละละเลยไว้เราจะถูกกลืนดินแดนดังกล่าวไปโดยอัตโนมัติ ทั้งนี้สถาบันไทยคดศึกษาได้จุดประเด็นพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา ที่จ.อุบลราชธานี 1.5 แสนตารางกิโลเมตร โดยระบุว่า มีความพยายามจะเสนอให้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันถือเป็นสิ่งใหม่ไม่เคยปรากฎเป็นการดึงทรัพยากรธรรมชาติมาเป็นข้ออ้างหรือไม่
การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน กรณีศึกษาปัญหาเขาพระวิหาร โดย คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษาเกี่ยวกับกรณีปัญหาเขาพระวิหาร สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ วันที่ 17 พ.ย. 2551 จากการดำเนินการศึกษาจนถึงปัจจุบัน คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษาเกี่ยวกับกรณีปัญหาเขาพระวิหาร สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความเห็นในเรื่องที่เกี่ยวการได้รับขึ้นทะเบียนมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร ดังนี้ 1. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2505 ในเรื่องการกำหนดบริเวณปราสาทพระวิหารเพื่อที่กัมพูชาจักได้มีอำนาจอธิปไตยตามคำพิพากษาของศาลโลก รัฐบาลต้องถือว่าเขตที่กั้นรั้วลวดหนามตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นเพียงเขตที่กำหนดสำหรับการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อที่กัมพูชาจักได้มีอำนาจอธิปไตยต่อปราสาทพระวิหารตามคำพิพากษาโลกเท่านั้น ไม่ใช่เขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา นอกจากนี้รัฐบาลต้องประกาศ ประชาสัมพันธ์ และสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ทั่วถึงทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานราชการต่างๆ ที่ปัจจุบันได้ยึดถือว่าเขตที่กั้นรั้วลวดหนามดังกล่าวเป็นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา 2. แผนที่ภาคผนวก 1 (Annex I map) ต่อท้ายคำฟ้องคดีปราสาทพระวิหารของกัมพูชาต่อศาลโลก รัฐบาลไทยต้องไม่รับรองแผนที่ดังกล่าว รวมทั้งไม่ใช้อ้างอิงอ้างเป็นทางการในการเจรจาใดๆ กับกัมพูชา แต่ต้องเจรจาโดยใช้เส้นสันปันน้ำตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 13 ก.พ. ร.ศ. 122 (ค.ศ. 1904) และหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มี.ค. ร.ศ. 125 (ค.ศ. 1907) 3. คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Communiqué) ฉบับลงวันที่ 18 มิ.ย. 2551 ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสอง และเพื่อประโยชน์ของประเทศและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดภายหน้า รัฐบาลต้องประกาศยกเลิกคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ดังกล่าวอย่างเป็นทางการโดยเร็วต่อกัมพูชา และต้องแจ้งให้นานาชาติรวมทั้ง UNESCO และคณะกรรมการมรดกโลก ได้รับทราบถึงการประกาศยกเลิกดังกล่าวอย่างเป็นทางการด้วย พร้อมทั้งแจ้งเหตุผลของการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในการออกคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ดังกล่าว 4. การจัดการให้ชุมชนกัมพูชาออกจากเขตไทยและเขตพื้นที่พิพาทบริเวณเขาพระวิหาร รัฐบาลต้องเร่งเจรจากับกัมพูชาให้ชุมชนของกัมพูชาที่ตั้งร้านค้าบริเวณทางขึ้นปราสาทพระวิหารในเขตไทย และที่ตั้งถิ่นฐานในเขตพื้นที่พิพาทบริเวณเขาพระวิหาร ออกจากเขตดังกล่าวโดยเร็วและไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ต้องไม่ปรับลดกำลังทหารในเขตดังกล่าวหากชุมชนกัมพูชายังไม่ย้ายออกไป โดยหากการเจรจาไม่ได้ผลให้รัฐบาลพิจารณาใช้มาตราการที่แข็งขึ้นเพื่อกดดันให้ชุมชนกัมพูชาออกไปจากเขตดังกล่าว 5. การดำเนินการต่อการได้รับขึ้นทะเบียนมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร รัฐบาลต้องดำเนินการดังต่อไปนี้ 5.1 เปิดเผยให้นานาชาติได้รับรู้ถึงความไม่โปร่งใสของ ICOMOS สากล ในประเมินให้ปราสาทพระวิหารมีคุณค่าสากลที่โดดเด่น (Outstanding Universal Value) ตามเกณฑ์มรดกโลกทางวัฒนธรรมข้อ 1 2 และ 4 โดยไม่ต้องขอจดทะเบียนมรดกโลกร่วมกับไทยในลักษณะข้ามพรมแดน (Transboundary nomination) ทั้งที่พื้นที่บริเวณรอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชายังไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนระหว่างกันได้ ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ทาง ICOMOS ประเทศไทย ได้ทำข้อโต้แย้งทางวิชาการต่อการประเมินของ ICOMOS สากล ไปยังประธาน ICOMOS สากล โดยข้อโต้แย้งทางวิชาการดังกล่าวมีความชัดเจนตามหลักวิชาการและไม่อาจจะปฏิเสธข้อโต้แย้งดังกล่าวได้ แต่ทาง ICOMOS สากล ไม่ได้ทบทวนการประเมินดังกล่าวแต่อย่างใด 5.2 เปิดเผยให้นานาชาติได้รับรู้ถึงความไม่โปร่งใสของมติคณะกรรมการมรดกโลกที่อนุมัติให้จดทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ในประเด็นสำคัญดังนี้ 1) มีการยกเว้นให้กัมพูชาส่งเอกสารเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคม 2551 ได้ ทั้งที่ใน Operational Guidelines for the Implementation of World Heritage Convention กำหนดตามข้อ 148 h) ว่าเอกสารที่ส่งหลังจากวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 จะไม่นำมาพิจารณาในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก และกำหนดเวลาดังกล่าวควรถือปฏิบัติอย่างเคร่งคัด 2) คณะกรรมการมรดกโลกมีมติอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารได้โดยที่กัมพูชายังไม่มีการกำหนดเขตกันชน (Buffer Zone) และแผนจัดการพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่คำนึงว่าเขตกันชนที่จะต้องถูกกำหนดขึ้นจะอยู่ในพื้นที่พิพาทที่ไทยและกัมพูชายังไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนระหว่างกันได้ ซึ่งเป็นการขัดอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ ในมาตรา 11 ข้อ 3. ที่กำหนดว่าการบรรจุสิ่งใดในทะเบียนมรดกโลกต้องได้รับการยินยอมจากรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีการสู้รบกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาในพื้นที่พิพาทดังกล่าว ทำให้ทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิต ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความขัดแย้งในพื้นที่พิพาทที่มีอยู่ 3) คณะกรรมการมรดกโลกมีมติร้องขอให้กัมพูชาโดยความร่วมมือกับ UNESCO จัดประชุมคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ (International Coordinating Committee) เพื่อการดูแลคุ้มครองและการพัฒนาปราสาทพระวิหารใม่ช้ากว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2552 โดยเชิญรัฐบาลไทย และผู้มีส่วนในระดับนานาชาติ (International partners) อื่นๆ ที่เหมาะสมอีกไม่เกิน 7 ชาติ ซึ่งไม่เคยมีมรดกโลกแห่งใดเลยที่ใช้กลไกเช่นนี้เพื่อการอนุรักษ์ และการใช้กลไกเช่นนี้จะยังผลให้ผู้มีส่วนในระดับนานาชาติดังกล่าวสามารถเข้าแทรกแซงปกป้องกัมพูชา และกดดันไทยเพื่อใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทยที่ต้องใช้เป็นเขตกันชน 5.3 ไม่เข้าร่วมในคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ และไม่ให้ความร่วมมือกับกัมพูชาในการจัดทำเขตการกันชนและแผนจัดการพื้นที่ จนกว่าจะมีการตกลงเรื่องเขตแดนบริเวณเขาพระวิหารได้ เหตุผลและข้อเท็จจริงประกอบความเห็น คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อศึกษาเกี่ยวกับกรณีปัญหาเขาพระวิหาร สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสัวคมแห่งชาติ มีเหตุผลและข้อเท็จจริงประกอบความเห็นดังนี้ 1. มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2505 ในเรื่องการกำหนดบริเวณปราสาทพระวิหารเพื่อที่กัมพูชาจักได้มีอำนาจอธิปไตยตามคำพิพากษาของศาลโลก รัฐบาลต้องถือว่าเขตที่กั้นรั้วลวดหนามตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นเพียงเขตที่กำหนดสำหรับการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อที่กัมพูชาจักได้มีอำนาจอธิปไตยต่อปราสาทพระวิหารตามคำพิพากษาโลกเท่านั้น ไม่ใช่เขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา นอกจากนี้รัฐบาลต้องประกาศ ประชาสัมพันธ์ และสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ทั่วถึงทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและต่างประทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานราชการต่างๆ ที่ปัจจุบันได้ยึดถือว่าเขตที่กั้นรั้วลวดหนามดังกล่าวเป็นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา เหตุผลและข้อเท็จจริง: มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2505 ได้มีการกำหนดบริเวณซึ่งมีเนื้อที่บริเวณปราสาทพระวิหารประมาณ 0.25 ตารางกิโลเมตรและทำรั้วลวดหนามกั้นเขต หากพิจารณาจากข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้จะเกิดความชัดเจนว่า เขตที่กั้นรั้วลวดหนามตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นเพียงเขตที่กำหนดสำหรับการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อที่กัมพูชาจักได้มีอำนาจอธิปไตยต่อปราสาทพระวิหารตามคำพิพากษาโลกเท่านั้น ไม่ใช่เขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา 1) คำปราศรัยของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายรัฐมนตรีในขณะนั้น ทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2505 มีข้อความในคำปราศรัยดังกล่าวตอนหนึ่งว่า "แม้ว่ากัมพูชาจะได้ปราสาทพระวิหารนี้ไป ก็คงได้ไปแต่ซากสลักหักพังและแผ่นดินเฉพาะที่รองรับพระวิหารนี้เท่านั้น" 2) หนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีของ จอมพลประภาส จารุเสถียร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้น เรื่องการปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหาร ลงวันที่ 6 ก.ค. 2505 มีข้อความในหนังสือดังกล่าวตอนหนึ่งว่า "เพื่อพิจารณาปรึกษากำหนดแนวเขตบริเวณปราสาทพระวิหาร ที่ฝ่ายไทยมีพันธะจะต้องถอนกำลังตำรวจ คนเฝ้า หรือยามรักษาการณ์ให้พ้นจากบริเวณปราสาทพระวิหาร โดยยึดหลักการที่จะให้กัมพูชาได้ไปซึ่งซากปราสาทพระวิหาร และพื้นที่รองรับปราสาทเท่านั้น" 3) คณะรัฐมนตรีไม่มีอำนาจทางกฏหมายที่จะมีมติเปลี่ยนแปลงเขตแดนของประเทศได้ แต่ปัจจุบันหน่วยงานราชการต่างๆ ได้ยึดถือว่าเขตที่กั้นโดยรั้วลวดหนามดังกล่าวเป็นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาดังปรากฏในแผนที่มาตรา 1: 50,000 ลำดับชุด L 7017 ของกรมแผนที่ทหาร และแผนที่ที่ตีพิมพ์ใน Foreign Affairs Bulletin ของกระทรวงการต่างประเทศ ตามข้อเท็จจริงที่กล่าวข้างต้นเขตที่กั้นโดยรั้วลวดหนามดังกล่าวเป็นเพียงเขตที่กำหนดสำหรับการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อที่กัมพูชาจักได้มีอำนาจอธิปไตยต่อปราสาทพระวิหารตามคำพิพากษาโลกเท่านั้น ไม่ใช่เขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ดังนั้นรัฐบาลควรประกาศ ประชาสัมพันธ์ และสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ทั่วถึงทั้งในประเทศและต่างประทศ 2. แผนที่ภาคผนวก 1 (Annex I map) ต่อท้ายคำฟ้องคดีปราสาทพระวิหารของกัมพูชาต่อศาลโลก รัฐบาลไทยต้องไม่รับรองแผนที่ดังกล่าว รวมทั้งไม่ใช้อ้างอิงอ้างเป็นทางการในการเจรจาใดๆ กับกัมพูชา แต่ต้องเจรจาโดยใช้เส้นสันปันน้ำตามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 13 ก.พ. ร.ศ. 122 (ค.ศ. 1904) และหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่ 23 มี.ค. ร.ศ. 125 (ค.ศ. 1907) เหตุผลและข้อเท็จจริง: เนื่องจากแผนที่ดังกล่าวเป็นแผนที่ที่ประเทศฝรั่งเศสทำขึ้นฝ่ายเดียว ถึงแม้นว่าฝ่ายไทยในคณะกรรมการผสมปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนได้เป็นผู้ร้องขอให้ฝ่ายฝรั่งเศสจัดทำแผนที่ดังกล่าว ด้วยเหตุที่ฝ่ายไทยมีข้อจำกัดของความรู้และเครื่องมือเครื่องใช้ที่จะร่วมจัดทำแผนที่ แต่ในรายงานการประชุมคณะกรรมการผสมชุดดังกล่าวในวันที่ 7 ก.พ. 2448 (ค.ศ. 1905) ปรากฎว่า พันตรีแบร์นาร์ด ประธานฝ่ายฝรั่งเศส ได้เตือนให้ พลเอกหม่อมชาติเดชอุดม ประธานฝ่ายไทย ระลึกถึงวิธีการดำเนินการซึ่งกำหนดขึ้นในการประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2448 (ค.ศ. 1905) โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า "เมื่อได้มีการตกลงกัน จะถือว่าได้มีการกำหนดเส้นเขตแดนขึ้นแน่นอน เมื่อได้ให้สมาชิกคณะกรรมการทั้งสองฝ่ายลงนามในแผนที่ที่แสดงเส้นเขตแดนนั้นแล้ว" เนื่องจากคณะกรรมการผสมปักปันเขตแดนระหว่างสยามและอินโดจีนไม่เคยให้ความเห็นชอบและลงนามในแผนที่หรือแม้นกระทั้งได้เห็นแผนที่ดังกล่าวในการประชุมใดๆ ของคณะกรรมการผสมดังกล่าว นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสยังดำเนินการเองแต่โดยลำพังในการพิมพ์แผนที่ดังกล่าวเผยแพร่ และแจกจ่ายแผนที่โดยมิได้ขอความเห็นหรือความเห็นชอบด้วยจากฝ่ายไทย ยิ่งไปกว่านั้นแผนที่ดังกล่าวยังสามารถถูกพิสูจน์ได้ว่าไม่ถูกต้องตามภูมิประเทศของพื้นที่จริง เส้นเขตแดนที่ลากในแผนที่ดังกล่าวได้หันเหเป็นอย่างมากจากเส้นสันปันน้ำจริงเนื่องจากข้อผิดพลาดที่เกิดจากการกำหนดที่ตั้งอย่างผิดๆ ของแม่น้ำโอตาเซม ส่งผลให้เส้นเขตแดนที่แสดงผิดและออกไปนอกแนวเส้นสันปันน้ำจริง โดยทำให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนกัมพูชา 3. คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Communiqué) ฉบับลงวันที่ 18 มิ.ย. 2551 ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาดังกล่าวเป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสอง และเพื่อประโยชน์ของประเทศและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดภายหน้า รัฐบาลต้องประกาศยกเลิกคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ดังกล่าวอย่างเป็นทางการโดยเร็วต่อกัมพูชา และต้องแจ้งให้นานาชาติรวมทั้ง UNESCO และคณะกรรมการมรดกโลก ได้รับทราบถึงการประกาศยกเลิกดังกล่าวอย่างเป็นทางการด้วย พร้อมทั้งแจ้งเหตุผลของการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในการออกคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ดังกล่าว เหตุผลและข้อเท็จจริง: ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยชี้ขาดเมื่อวันที่ 8 ก.ค. 2551 ว่า คำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา หรือ Joint Communiqué ฉบับลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 เป็นหนังสือสัญญาที่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตของประเทศ ทั้งยังมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางสังคมของประเทศอย่างกว้างขวางอีกด้วย ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสอง ถึงแม้นในการประชุมที่เมืองเสียมราฐ วันที่ 28 ก.ค. 2551 ระหว่างรับประทานอาหารเที่ยง นายฮอ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ได้กล่าวกับ นายเตช บุนนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยในขณะนั้นว่า กัมพูชาไม่ถือว่าคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาดังกล่าวเป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ สภาวการณ์หลังการลงนาม และข้อจำกัดที่เป็นผลตามมา ทำให้คำแถลงการณ์ร่วมเองนั้นเป็นเอกสารที่สิ้นผลแล้ว โดยนายเตช บุนนาค ได้ทำหนังสือถึงนายฮอ นัมฮง ลงวันที่ 25 ส.ค. 2551 เพื่อยืนยันคำกล่าวดังกล่าวของนายฮอ นัมฮง และนายฮอ นัมฮง ได้มีหนังสือตอบ ลงวันที่ 1 ก.ย. 2551 โดยได้ยืนยันคำกล่าวนั้น แต่เพื่อประโยชน์ของประเทศและป้องกันปัญหาหรือข้อโต้แย้งที่อาจเกิดภายหน้า รัฐบาลต้องประกาศยกเลิกคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ดังกล่าวอย่างเป็นทางการโดยเร็วต่อกัมพูชา และแจ้งให้นานาชาติรวมทั้ง UNESCO และคณะกรรมการมรดกโลก ได้รับทราบถึงการประกาศยกเลิกดังกล่าวอย่างเป็นทางการด้วย พร้อมทั้งแจ้งเหตุผลของการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยในการออกคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ดังกล่าว 4. การจัดการให้ชุมชนกัมพูชาออกจากเขตไทยและเขตพื้นที่พิพาทบริเวณเขาพระวิหาร รัฐบาลต้องเร่งเจรจากับกัมพูชาให้ชุมชนของกัมพูชาที่ตั้งร้านค้าบริเวณทางขึ้นปราสาทพระวิหารในเขตไทย และที่ตั้งถิ่นฐานในเขตพื้นที่พิพาทบริเวณเขาพระวิหาร ออกจากเขตดังกล่าวโดยเร็วและไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ต้องไม่ปรับลดกำลังทหารในเขตดังกล่าวหากชุมชนกัมพูชายังไม่ย้ายออกไป โดยหากการเจรจาไม่ได้ผลให้รัฐบาลพิจารณาใช้มาตราการที่แข็งขึ้นเพื่อกดดันให้ชุมชนกัมพูชาออกไปจากเขตดังกล่าว เหตุผลและข้อเท็จจริง: ตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา ได้มีชุมชนกัมพูชามาตั้งร้านค้าและแผงลอยบริเวณทางขึ้นปราสาทพระวิหารในเขตไทยเพื่อขายสินค้าให้แก่นักท่องเที่ยว จนถึงปัจจุบันมีร้านค้าและแผงลอยประมาณ 40 ร้าน ในปี 2542 กัมพูชาได้สร้างวัดบริเวณฝั่งตะวันตกของปราสาทพระวิหารซึ่งอยู่นอกเขตที่กั้นรั้วลวดหนามตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 ก.ค. 2505 และในช่วงปี 2547-2548 มีการขยายตัวของชุมชนกัมพูชา มีการก่อสร้างอาคารถาวรเพื่อเป็นที่ทำการเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของกัมพูชา และมีการสร้างถนนจากบ้านโกมุยของกัมพูชาขึ้นมายังเขาพระวิหาร ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพทางดินแดนของไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ทำหนังสือประท้วงต่อกัมพูชาหลายฉบับ แต่กัมพูชานิ่งเฉยโดยอ้างว่าบริเวณพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกัมพูชา ฝ่ายไทยเองก็ไม่ได้ใช้มาตราการที่เข้มแข็งในการระงับกิจกรรมต่างๆ ของกัมพูชาดังกล่าว ดังนั้นรัฐบาลต้องเร่งเจรจากับกัมพูชาให้ชุมชนของกัมพูชาที่ตั้งร้านค้าบริเวณทางขึ้นปราสาทพระวิหารในเขตไทย และที่ตั้งถิ่นฐานในเขตพื้นที่พิพาทบริเวณเขาพระวิหาร ออกจากเขตดังกล่าวโดยเร็วและไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้ต้องไม่ปรับลดกำลังทหารในเขตดังกล่าวหากชุมชนกัมพูชายังไม่ย้ายออกไป โดยหากการเจรจาไม่ได้ผลให้รัฐบาลพิจารณาใช้มาตราการที่แข็งขึ้นเพื่อกดดันให้ชุมชนกัมพูชาออกไปจากเขตดังกล่าว 5. การดำเนินการต่อการได้รับขึ้นทะเบียนมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร รัฐบาลต้องดำเนินการดังต่อไปนี้ 5.1 เปิดเผยให้นานาชาติได้รับรู้ถึงความไม่โปร่งใสของ ICOMOS สากล ในประเมินให้ปราสาทพระวิหารมีคุณค่าสากลที่โดดเด่น (Outstanding Universal Value) ตามเกณฑ์มรดกโลกทางวัฒนธรรมข้อ 1 2 และ 4 โดยไม่ต้องขอจดทะเบียนมรดกโลกร่วมกับไทยในลักษณะข้ามพรมแดน (Transboundary nomination) ทั้งที่พื้นที่บริเวณรอบตัวปราสาทพระวิหารเป็นพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชายังไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนระหว่างกันได้ ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ทาง ICOMOS ประเทศไทย ได้ทำข้อโต้แย้งทางวิชาการต่อการประเมินของ ICOMOS สากล ไปยังประธาน ICOMOS สากล โดยข้อโต้แย้งทางวิชาการดังกล่าวมีความชัดเจนตามหลักวิชาการและไม่อาจจะปฏิเสธข้อโต้แย้งดังกล่าวได้ แต่ทาง ICOMOS สากล ไม่ได้ทบทวนการประเมินดังกล่าวแต่อย่างใด 5.2 เปิดเผยให้นานาชาติได้รับรู้ถึงความไม่โปร่งใสของมติคณะกรรมการมรดกโลกที่อนุมัติให้จดทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหาร ในประเด็นสำคัญดังนี้ 1) มีการยกเว้นให้กัมพูชาส่งเอกสารเพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคม 2551 ได้ ทั้งที่ใน Operational Guidelines for the Implementation of World Heritage Convention กำหนดตามข้อ 148 h) ว่าเอกสารที่ส่งหลังจากวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 จะไม่นำมาพิจารณาในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก และกำหนดเวลาดังกล่าวควรถือปฏิบัติอย่างเคร่งคัด 2) คณะกรรมการมรดกโลกมีมติอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารได้โดยที่กัมพูชายังไม่มีการกำหนดเขตกันชน (Buffer Zone) และแผนจัดการพื้นที่ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่คำนึงว่าเขตกันชนที่จะต้องถูกกำหนดขึ้นจะอยู่ในพื้นที่พิพาทที่ไทยและกัมพูชายังไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนระหว่างกันได้ ซึ่งเป็นการขัดอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ ในมาตรา 11 ข้อ 3. ที่กำหนดว่าการบรรจุสิ่งใดในทะเบียนมรดกโลกต้องได้รับการยินยอมจากรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีการสู้รบกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาในพื้นที่พิพาทดังกล่าว ทำให้ทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิต ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความขัดแย้งในพื้นที่พิพาทที่มีอยู่ 3) คณะกรรมการมรดกโลกมีมติร้องขอให้กัมพูชาโดยความร่วมมือกับ UNESCO จัดประชุมคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ (International Coordinating Committee) เพื่อการดูแลคุ้มครองและการพัฒนาปราสาทพระวิหารไม่ช้ากว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2552 โดยเชิญรัฐบาลไทย และผู้มีส่วนในระดับนานาชาติ (International partners) อื่นๆ ที่เหมาะสมอีกไม่เกิน 7 ชาติ ซึ่งไม่เคยมีมรดกโลกแห่งใดเลยที่ใช้กลไกเช่นนี้เพื่อการอนุรักษ์ และการใช้กลไกเช่นนี้จะยังผลให้ผู้มีส่วนในระดับนานาชาติดังกล่าวสามารถเข้าแทรกแซงปกป้องกัมพูชา และกดดันไทยเพื่อใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทยที่ต้องใช้เป็นเขตกันชน 5.3 ไม่เข้าร่วมในคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ และไม่ให้ความร่วมมือกับกัมพูชาในการจัดทำเขตการกันชนและแผนจัดการพื้นที่ จนกว่าจะมีการตกลงเรื่องเขตแดนบริเวณเขาพระวิหารได้ เหตุผลและข้อเท็จจริง: 5.1 กัมพูชาได้ส่งเอกสารเพื่อขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกสำหรับปราสาทพระวิหารให้ศูนย์มรดกโลกเมื่อเดือน ม.ค. 2549 เมื่อเรื่องได้ส่งต่อมาถึง ICOMOS สากล จึงได้มีการพิจารณาหาผู้ที่เหมาะสมที่จะมาประเมินโดยได้มีการเชิญ ICOMOS ไทย ตั้งแต่ มิ.ย. 2549 ให้เสนอชื่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินปราสาทพระวิหารในนาม ICOMOS สากล แต่ยังไม่มีการส่งเอกสารรายละเอียดมาให้ และในที่สุดก็ได้ขาดการติดต่อจาก ICOMOS สากล ไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ต่อมา Nomination File No. 1224 ในชื่อว่า "The Sacred Site of the 1) เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาคุณค่าสากลที่โดดเด่น (Outstanding Universal Value) ในความเป็นมรดกโลกของประสาทพระวิหาร ในรายงานของ ICOMOS สากล มีความแตกต่างไปจากเอกสาร Nomination File โดยไม่มีเหตุผลชี้แจงการเปลี่ยนแปลง 2) ICOMOS สากล มีความเห็นสอดคล้องตามเอกสารข้อมูลนำเสนอของกัมพูชาว่า ปราสาทพระวิหารเป็นผลงานชิ้นเอกที่มีความโดดเด่นของสถาปัตยกรรมเขมร ทั้งในการวางผังและรายละเอียดการตกแต่ง ทั้ง ๆ ที่ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ที่มีความสำคัญ แสดงถึงภูมิปัญญาในการออกแบบวางผัง การใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อม ที่ต่อเนื่องสัมพันธ์กับปราสาทพระวิหาร แต่ไม่ได้มีการนำมาพิจารณาในฐานะโบราณสถานและพื้นที่ที่อยู่เชื่อมต่อกัน ซึ่งถือว่าเป็นการนำเสนอพื้นที่โบราณสถานที่ไม่สมบูรณ์ 3) การพิจารณาของ ICOMOS สากล ไม่ได้คำนึงถึงปราสาทพระวิหารในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างศาสนสถานและชุมชนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง ทั้งในแง่ของการเป็นผู้ดูแลเทวาลัย และความผูกพันทางจิตใจ ซึ่งถือเป็นคุณค่าแบบ Intangible และเป็นหัวใจสำคัญที่บ่งชี้ถึง Spirit of the place 4) การบรรยายลักษณะทางสถาปัตยกรรมของปราสาทพระวิหารที่ปรากฏอยู่ในรายงานของ ICOMOS สากล แสดงให้เห็นถึงการตีความและการนำเสนอข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงหลายประการ ที่ชวนให้สงสัยถึงความไม่ตรงไปตรงมาทางวิชาการเพื่อเหตุผลบางประการ 5) รายงานของ ICOMOS ให้ความเห็นชอบกับการกำหนดเขตในการปกป้อง คุ้มครอง อนุรักษ์ และจัดการ พื้นที่ของปราสาทพระวิหาร โดยให้ข้อแม้เกี่ยวกับการตกลงร่วมกันระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในเรื่องเส้นเขตแดน แต่ความจริงแล้วปัญหามิได้มีเพียงแต่เฉพาะเรื่องพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนเท่านั้น เนื่องจากยังมีความไม่เหมาะสมทางวิชาการที่ควรให้มีการปรับปรุงการกำหนดเขตด้วย แต่ทาง ICOMOS สากล ไม่ได้ทบทวนการประเมินดังกล่าวแต่อย่างใด ในที่สุดเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องเขตแดนกับไทย กัมพูชาจึงยอมรับการต่อรองของฝ่ายไทยและเปลี่ยนเป็นการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารเท่านั้นตามคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Communiqué) ฉบับลงวันที่ 18 มิ.ย. 2551 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนข้อมูลหลังจากที่ผ่านการประเมินของ ICOMOS สากล แต่กรณีนี้กลับทำได้ สำหรับการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 32 ICOMOS สากล จึงได้ทำรายงานการประเมินใหม่ตามเอกสาร WHC-08/32.COM/INF.8BI..Add.2 โดยมีการอ้างความตกลงระหว่างกัมพูชากับไทยในการเปลี่ยนขอบเขตของการขึ้นทะเบียนมรดกโลกซึ่งทำให้ต้องเปลี่ยนผลการประเมินให้ผ่านเกณฑ์มรดกโลกทางวัฒนธรรมเฉพาะข้อ 1 เท่านั้น ICOMOS ไทย ได้แถลงถึงความไม่โปร่งใสของการดำเนินการประเมินของ ICOMOS สากล โดยเห็นว่าได้มีปัจจัยอื่นเข้ามามีอิทธิพลเหนือเหตุผลทางวิชาการ ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดความน่าเชื่อถือของ ICOMOS สากล ในที่สุด 5.2 Operational Guidelines for the Implementation of World Heritage Convention ได้กำหนดตามข้อ 148 h) ว่าเอกสารที่ส่งหลังจากวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 จะไม่นำมาพิจารณาในการขึ้นทะเบียนมรดกโลก และกำหนดเวลาดังกล่าวควรถือปฏิบัติอย่างเคร่งคัด แต่ที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกกลับมีการยกเว้นพิจารณาเอกสารเพิ่มเติมที่กัมพูชาส่งในเดือนพฤษภาคม 2551 ซึ่งน่าจะมีเหตุผลเบื้องหลังการให้การยกเว้นดังกล่าว คณะกรรมการมรดกโลกมีมติอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารได้โดยที่กัมพูชายังไม่มีการกำหนดเขตกันชน (Buffer Zone) และแผนจัดการพื้นที่ แต่เป็นที่ทราบดีว่าเขตกันชนที่จะต้องถูกกำหนดขึ้นจะอยู่ในพื้นที่พิพาทที่ไทยและกัมพูชายังไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนระหว่างกันได้ ซึ่งเป็นการขัดอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ ในมาตรา 11 ข้อ 3. ที่กำหนดว่าการบรรจุสิ่งใดในทะเบียนมรดกโลกต้องได้รับการยินยอมจากรัฐภาคีที่เกี่ยวข้อง และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีการสู้รบกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาในพื้นที่พิพาทดังกล่าว ทำให้ทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิต ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความขัดแย้งในพื้นที่พิพาทที่มีอยู่ รัฐบาลจึงควรยกประเด็นการเหตุการณ์สู้รบในพื้นที่พิพาทดังกล่าวเพื่อเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าคณะกรรมการมรดกโลกมีมติอย่างไม่รอบคอบและควรให้มีการทบทวนมติดังกล่าว คณะกรรมการมรดกโลกมีมติร้องขอให้กัมพูชาโดยความร่วมมือกับ UNESCO จัดประชุมคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ (International Coordinating Committee) เพื่อการดูแลคุ้มครองและการพัฒนาปราสาทพระวิหารใม่ช้ากว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2552 โดยเชิญรัฐบาลไทย และผู้มีส่วนในระดับนานาชาติ (International partners) อื่นๆ ที่เหมาะสมอีกไม่เกิน 7 ชาติ ดร. อดุล วิเชียรเจริญ อดีตประธานคณะกรรมการมรดกโลกไทย ได้ยืนยันว่าไม่เคยมีมรดกโลกแห่งใดเลยที่ใช้กลไกเช่นนี้เพื่อการอนุรักษ์ และการใช้กลไกเช่นนี้จะยังผลให้ผู้มีส่วนในระดับนานาชาติดังกล่าวสามารถเข้าแทรกแซงปกป้องกัมพูชา และกดดันไทยเพื้อใช้อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนไทยที่ต้องใช้เป็นเขตกันชน 5.3 เนื่องจากไทยและกัมพูชายังไม่สามารถตกลงเรื่องเขตแดนบริเวณเขาพระวิหารได้ รัฐบาลจึงต้องเจรจาตกลงเรื่องเขตแดนบริเวณเขาพระวิหารกับกัมพูชาให้ได้ขอสรุปก่อนที่จะให้ฝ่ายไทยเข้าร่วมในคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศ และก่อนที่จะให้ความร่วมมือกับกัมพูชาในการจัดทำเขตการกันชนและแผนจัดการพื้นที่ เพื่อรักษาประโยชน์ของประเทศและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหน้า |
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)