Skip to main content
sharethis

 






การเมือง - สังคม


 


ซ้อมริ้วกระบวนพระราชพิธีฯพระศพ"พระพี่นาง"สง่างาม สมพระเกียรติ


เว็บไซต์สยามรัฐ - ศิลปวัฒนธรรม 12 ต.ค. กองทัพบกจัดซ้อมริ้วกระบวนพระอิสริยยศ ในงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ในสถานที่จริงจากพระบรมมหาราชวัง ถนนมหาราช ถนนท้ายวัง ถนนสนามชัย ถนนราชดำเนินใน และถนนกลางท้องสนามหลวง มณฑลพิธีพระเมรุ โดยมีทหาร 3 เหล่าทัพ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ จำนวนกว่า 3,000 นาย ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ปลัดกระทรวงต่างๆ ราชนิกุล ครู นักเรียน โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย เพื่อจัดแถวกำหนดจุดฝึกการปรับรูปแถว และฝึกการเดินเปลี่ยนสูงแบบฝึกเท้าประ กอบเพลงพญาโศก โดยมี พล.อ. วิโรจน์ บัวจรูญ ผช.ผบ.ทบ. เป็นประธานตรวจความพร้อมริ้วกระบวน ได้อัญเชิญพระมหาพิชัยราชรถ ราชรถน้อย พระยานมาศ เสลี่ยงกลีบบัว เครื่องสูงฉัตร เป็นต้น


 


ภาคเช้า เริ่มเวลา 07.00 น. ตั้งริ้วกระบวนพระราชพิธีฯ ด้านท้ายพระบรมมหาราชวัง จากนั้นลำดับต่อไปอัญเชิญพระโกศออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ขึ้นบนพระยานมาศสามลำคาน เริ่มเคลื่อนออกจากประ ตูเทวาภิรมย์ ด้านท้ายวังไปตามถนนมหาราช เลี้ยวซ้ายเข้าแยกท้ายวัง ทำการเปลี่ยนกำลังพลอัญเชิญพระยานมาศ จากนั้นเคลื่อนผ่านวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวร มหาวิหาร ถึงจุดตำแหน่งมีการอัญเชิญพระโกศเทียบเกรินบันไดนาค เลื่อนพระโกศยกฉัตรขึ้นพระมหาพิชัยราชรถ


 


ในวันพระราชพิธีฯ จริง จะเป็นจุดที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามบรมราชกุมาร เสด็จฯ ทอดผ้าแด่พระสงฆ์ 20 รูปจำนวน 4 เที่ยว จากนั้นเสด็จฯ กลับพลับพลายก


 


พนักงานภูษามาลา ถวายบังคม ประคองพระโกศ พนักงานเริ่มกว้านพระโกศขึ้นเสมอบนพระมหาพิชัยราชรถ เลื่อนเกรินเชิญพระโกศขึ้นสู่บุษบกพระมหาพิชัยราชรถ เคลื่อนพระโกศเข้าประจำในพระมหาพิชัยราชรถ หลังจากนั้นเลื่อนเกรินลงเก็บ จากนั้นพลฉุดชักราชรถจากกรมสรรพาวุธทหารบก ถวายบังคม 3 ครั้ง แล้วยืน กระบวนเริ่มเข้าสู่ท้องสนาม หลวง เขตมณฑลพิธีพระเมรุ พระมหาพิชัยราชรถผ่านทหารกองเกียรติยศ เพื่อเทียบเกรินบันไดนาค เชิญพระโกศลงเกริน พระยานมาศเทียบรอ เลื่อนพระโกศประดิษฐานบนพระยานมาศ เคลื่อนเข้าสู่พระเมรุ เป็นอันเสร็จพิธีซ้อมริ้วกระบวนในภาคเช้า


 


สำหรับภาคบ่าย เริ่มเวลา14.00 น.ซ้อมริ้วขบวนอัญเชิญพระโกศ พระอัฐิ โดยพระที่นั่งราเชนทรยาน พร้อมอัญ เชิญพระสรีรางคารโดยพระวอสีวิกากาญจน์ มี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เข้าร่วมริ้วกระบวนโดยทหารบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ ก่อนจะเชิญพระโกศพระอัฐิเข้าสู่ถนนกลางท้องสนามหลวง เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนราชดำเนินใน เคลื่อนสู่ถนนหน้าพระลาน เข้าประตูวิเศษไชยศรี ในพระบรมมหาราชวัง เป็นอันเสร็จซ้อมริ้วกระบวนพระราชพิธี


 


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากได้เข้าร่วมในพิธีซ้อมริ้วกระบวนแล้ว ยังได้ให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน และคณะทำงานจัดสร้างพระเมรุด้วย ซึ่งขณะนี้การจัดสร้างพระเมรุไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทุกอย่างได้ดำเนินการไปตามแผนงานที่กำหนดไว้


 


นายสมชาย ณ นครพนม ผู้เชี่ยวชาญ 9 ชช. กรมศิลปากร ในฐานะผู้ดูแลการบูรณะราชรถ ราช ยาน กล่าวว่า วันนี้พระมหาพิชัยราชรถ ราชยาน เครื่องประกอบพิธีถือว่ามีความพร้อมในการใช้งาน จากนี้จะนำไปเก็บที่โรงราชรถ เจ้าหน้าที่กลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์เข้ารักษาความสะอาด ปรับแต่งให้อยู่สภาพพร้อม ช่างสรรพาวุธทหารบกตรวจสอบสภาพล้อเพลาให้มีความพร้อม เพื่อนำไปซ้อมริ้วกระบวนในวันที่ 19 ต.ค. และวันที่ 2 พ.ย.


 


 


"สนธิ"ให้สัมภาษณ์"AFP"ยืนยันอีกครั้ง พันธมิตรฯกำลังปกป้องรักษาสังคมไทย


ผู้จัดการรายวัน - เอเอฟพี - สำนักข่าวเอเอฟพี โดย แพตริก ฟัลบี ไปสัมภาษณ์พิเศษ สนธิ ลิ้มทองกุล ระหว่างการชุมนุมประท้วงที่ทำเนียบรัฐบาล ต่อไปนี้ คือรายละเอียดของรายงานการสัมภาษณ์คราวนี้:


 


 กลุ่มผู้ชุมนุมของเขาเข้ายึดที่ทำงานของนายกรัฐมนตรี ปะทะกับตำรวจ และอาจจะช่วยขับไล่รัฐบาลได้เป็นครั้งที่สองในรอบสามปี แต่สนธิ ลิ้มทองกุลก็ยืนกรานว่าเขากำลังปกป้องรักษาสังคมไทย


 


"ผมทำแบบนี้ก็เพราะผมต้องการจุดประกายขึ้นที่ตรงกลางแล้วปล่อยให้เปลวไฟก่อตัวเป็นรูปร่างของมันเอง" เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพีที่โรงอาหารในบริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยเป็นการให้สัมภาษณ์ที่มีน้อยครั้งมาก


 


สนธิฉายภาพตนเองว่าเป็นคนรักชาติคนหนึ่งที่นำผู้สนับสนุนหลายหมื่นคนในกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (PAD) มาปกป้องประเทศจากลัทธิพวกพ้อง


 


"การทำให้สังคมมีการเคลื่อนไหว ต้องใช้แรงกดดันจำนวนมาก และพันธมิตรฯ อาจจะเป็นกลุ่มกดดันที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งที่กำลังทำงานนี้อยู่" เขากล่าวด้วยภาษาอังกฤษอันไร้ที่ติ


 


นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ย่อมรู้สึกถึงแรงกดดันนี้อย่างแน่นอน ดังเห็นได้จากที่เขาพูดว่าเขาอาจลาออกเมื่อเผชิญหน้ากับการประท้วงต่อต้านรัฐบาลซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมแล้วขยายไปสู่การปะทะกับตำรวจบนท้องถนนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วจนมีผู้เสียชีวิตสองคนและบาดเจ็บอีกหลายร้อย


 


สนธิและแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เข้ามอบตัวและได้รับการประกันตัวออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากที่มีการเพิกถอนข้อหากบฏไป โดยแกนนำที่มีทั้งพวกปีกซ้ายและปีกขวาซึ่งมีแนวคิดแตกต่างกันนี้ได้มารวมตัวกันโดยมีศูนย์รวมอยู่ที่สถาบันกษัตริย์ของไทยอันเป็นที่เคารพ และด้วยจุดมุ่งหมายที่จะโค่นล้มพรรครัฐบาลลง


 


สนธิกล่าวหาว่าพรรคพลังประชาชนได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเมื่อเดือนธันวาคม 2007 โดยการซื้อเสียงและคอร์รัปชั่น และยังกล่าวหาว่า "พรรคการเมืองต่างๆ กำลังทำตัวเหมือนกิจการวาณิชธนกิจ"


 


"การเมืองแบบนี้ใช้กับเมืองไทยไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เราต้องการระบบใหม่ เราต้องการการเมืองใหม่" เขาบอก และขยายความต่อไปว่า "เรายังไม่ได้ลงไปในรายละเอียดที่แท้จริงว่าการเมืองใหม่ควรเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยเรากำลังบอกกับตัวเราเองว่า เราต้องลืมวิธีการบริหารการเมืองแบบเก่าๆ ไปเสียก่อน"


 


พวกนักวิจารณ์ถือว่าสนธิเป็นพวกนิยมชนชั้นนำและต่อต้านประชาธิปไตยเพราะที่ผ่านมาเขาเคยกล่าวว่า สมาชิกรัฐสภาควรมาจากการแต่งตั้ง 70 เปอร์เซ็นต์และเลือกตั้งเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้เขาหัวเราะและบอกว่าเขาถูกเข้าใจผิด


 


"มันเป็นเรื่องตลก" เขาบอก "ตอนที่ผมพูดถึงเรื่องนี้ ผมเพียงแค่เสนอตัวแบบขึ้นมาอันหนึ่ง และผมก็บอกว่ามันอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ เช่น 70-30 และผมยังบอกด้วยว่ามันอาจจะเป็น 50-50 หรืออาจจะเป็น 10-90 ก็ได้"


 


อย่างไรก็ตาม เขายังยืนยันว่าในรัฐสภามีส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งมากเกินไป "ถึงแม้ว่าผมจะเชื่อมั่นในการเลือกตั้งโดยตรง แต่ผมไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งโดยตรงในสังคมอย่างเมืองไทยควรมีอำนาจครอบงำประชาธิปไตย มันควรจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง"


 


ปัจจุบันสนธิอายุ 61 ปี เขาเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเจ้าพ่อวงการสื่อที่มีความทะเยอทะยาน จนกระทั่งเมื่อปี 2005 จึงเริ่มออกมารณรงค์ขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ทั้งที่ครั้งหนึ่งสนธิเองเคยประกาศว่าทักษิณเป็น "นายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา"


 


ต่อมาเมื่อต้นปี 2006 มีการจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรฯ ขึ้น โดยสนธิได้ประณามทักษิณเรื่องคอร์รัปชันและนำการประท้วงบนท้องถนนจนนำไปสู่การรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลออกไปในปีเดียวกันนั้นเอง ทักษิณกล่าวว่าสนธิต้องการแก้แค้น เนื่องจากสนธิได้ลงทุนจำนวนมหาศาลเพื่อจัดตั้งสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่ แต่ถูกขัดขวางจากข้อกำหนดของกฎหมาย


 


สนธิเองยอมรับว่าสถานการณ์ทางการเงินของแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปประสบปัญหาจริง แต่บทบาทใหม่ของเขาในฐานะนักรณรงค์ทางการเมืองทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ได้รับเงินบริจาคเพื่อการเคลื่อนไหวถึงราว 130 ล้านบาทจากทั่วประเทศนับจากปลายเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ทว่าสนธิซึ่งกล่าวหาว่าทักษิณยังคงควบคุมรัฐบาลโดยสั่งการจากประเทศอังกฤษในระหว่างที่ลี้ภัยอยู่ ก็ยืนกรานว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจส่วนตัวของเขานั้นไม่เกี่ยวข้องกับการประท้วง


 


"ทั้งพลังงานที่ผมทุ่มเทลงไป และอันตรายที่ผมต้องเผชิญนั้นไม่คุ้มที่จะทำหรอก ถ้าหากผมไม่ได้ต่อสู้เพื่อหลักการ"


 


เขาเสริมอีกว่าเขาไม่มีแผนการที่จะเข้าสู่การเมืองด้วย "เชื่อผมเถอะ มีคนบางคนที่อยากทำความดีจริงๆ"


 


'หมอพรทิพย์'นำทีมทดสอบยิงแก๊สน้ำตา หาสารระเบิด


เว็บไซต์เดลินิวส์ - 12 ต.ค. ที่ สนามยิงปืนมณฑลทหารบกที่ 11 ถ.อำนวยสงคราม พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม, พล.ท.ดนัยธร วงษ์ไทย ผู้บัญชาการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ และ พล.ท.อุทิศ สุนทร ผู้บัญชาการมณฑลทหารบก ที่ 11 ร่วมกันทดสอบการยิงแก๊สน้ำตาทุกชนิดที่มีในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อตรวจสอบว่าสามารถทำให้เกิดอันตรายได้หรือไม่


 


พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ในการทดสอบวันนี้ได้นำแก๊สน้ำตาทั้งหมด ประกอบด้วยแก๊สน้ำตาประเภทลูกยิง 4 รุ่น ซึ่งผลิตในประเทศจีนและสเปน อย่างละ 1 รุ่น และผลิตในสหรัฐอเมริกา 2 รุ่น แก๊สน้ำตาชนิดขว้าง 2 รุ่นที่ผลิตจาก จีน และสหรัฐอเมริกา โดยจะทดสอบด้วยการยิงใส่ผ้าดิบเพื่อเก็บสารเคมีไปตรวจหาสารประกอบวัตถุระเบิด โดย สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ตำรวจ และ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จะแยกกันไปตรวจสอบและนำผลมาเปรียบเทียบกันอีกครั้ง โดยการทำสอบในครั้งนี้ไม่ได้ทดสอบเรื่องความรุนแรงของแก๊สน้ำตา แต่ทำเพื่อหาที่มาของสารประกอบวัตถุระเบิด ทั้งนี้ รุ่นที่คาดว่าอาจมีสารประกอบวัตถุระเบิดคือ รุ่นที่ผลิตจากจีนซึ่งมีคุณภาพต่ำ แต่จะต้องรอผลการทดสอบอีก 2 วัน ซึ่งนายสุรสีห์ โกศลนาวิน นายสุรสีห์ โกศลนาวิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประธานอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์สลายการชุมนุม จะเป็นผู้แถลงผลการทดสอบต่อสาธารณชน


 


จีนถอดรหัสพันธุกรรมแพนด้ายักษ์ได้สำเร็จ


เว็บไซต์คมชัดลึก - สถาบันจีโนมิกส์เสิ่นเจิ้นของจีน แถลงข่าวเมื่อวันเสาร์ว่า นักวิทยาศาสตร์สามารถถอดรหัสพันธุกรรมหรือ จีโนมของแพนด้ายักษ์ได้แล้ว และหวังว่าข้อมูลที่ได้มาจะทำให้สามารถหาคำตอบได้ว่าทำไมแพนด้าชอบกินไผ่, มีสีดำรอบดวงตา และไม่จำศีลในฤดูหนาวเหมือนที่หมีชนิดอื่นทำโดยการจัดเรียงลำดับรหัสพันธุกรรมครั้งนี้ทำให้พบว่าแพนด้ายักษ์มีความเกี่ยวดองกับสุนัขและมนุษย์แต่มีความแตกต่างอย่างมากจากหนู และข้อมูลที่รวบรวมได้เหล่านี้สนับสนุน สมมติฐานของนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าแพนด้ายักษ์อยู่ในตระกูลของหมีดำ


 


นักวิทยาศาสตร์ตัดสินใจถอดรหัสพันธุกรรมของแพนด้าเพื่อหาทางทำให้แพนด้ายักษ์ซึ่งมีความเฉื่อยชาทางเพศมากมีลูกน้อย เสี่ยงสูญพันธุ์ ให้สามารถมีลูกได้มากขึ้น และการศึกษานี้อาจทำให้สามารถหาวิธีควบคุมโรคระบาดในแพนด้าได้อีกด้วย


 


โครงการจีโนมแพนด้ายักษ์นานาชาติถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 โดยมีนักวิทยาศาสตร์จากชาติต่างๆ เข้าร่วมโครงการประกอบด้วย จีน, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, เดนมาร์ค และแคนาดาและนักวิทยาศาสตร์จีนได้เลือกถอดรหัสพันธุกรรมของแพนด้าเพศเมียวัย 3 ขวบที่ชื่อ จิง จิง  โดยหลังการจัดเรียงลำดับรหัสพันธุกรรมเสร็จแล้วขั้นตอนต่อไปจะมีการจัดทำแผนที่รหัสพันธุกรรมอย่างละเอียดของแพนด้าในสิ้นปีนี้


 


ปัจจุบันมีแพนด้ายักษ์อาศัยอยู่ในธรรมชาติราว1,590 ตัว โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในมณฑลเสฉวน,  ส่านซีและ กานซู ส่วนแพนด้าที่ถูกเลี้ยงไว้ในศูนย์เพาะพันธุ์มีอยู่ราว 239 ตัว


 


 






เศรษฐกิจ


 


คลังหามาตรการรับมือด่วน ! จัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า ชี้หุ้นไทยร่วงต่อ มูลค่าตลาดสูญ 2.84 ล้านล้านบาท


มติชนออนไลน์ - นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ว่า ขณะนี้ค่อนข้างเป็นห่วงสถานการณ์จัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีงบประมาณ 2552 โดยเฉพาะในส่วนของกรมสรรพากรและกรมศุลกากรที่อาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายประมาณการที่ตั้งไว้ เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เศรษฐกิจและวิกฤตการเงินโลกที่ลามจากสหรัฐอเมริกาไปยังยุโรปและประเทศอื่นๆ รวมถึงสถานการณ์การเมืองภายในประเทศ โดยเบื้องต้นได้หารือกับนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังแล้วว่าควรจะมีมาตรการออกมารับมือสถานการณ์ดังกล่าว



"ผมได้คุยกับท่านปลัดกระทรวงการคลัง ว่าทำยังไงจะให้จัดเก็บรายได้เป็นไปตามเป้า โดยเฉพาะด้านรายได้จากการท่องเที่ยวและภาษีมูลค่าเพิ่ม (แว็ต) มีแนวโน้มอาจจะลดลง น่าเป็นห่วงพอสมควร แต่เราก็ไม่ควรตื่นตระหนก เพราะที่ผ่านมา แม้จะมองกันว่าเศรษฐกิจไม่ดี แต่กระทรวงการคลังก็ยังสามารถจัดเก็บรายได้เกินเป้า อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็จะหามาตรการมาแก้ไขว่าจะทำอย่างไร โดยเฉพาะปัญหาการเมืองก็ต้องแก้ด้วยการเมือง ต้องดูว่ารัฐบาลจะแก้ยังไง คงต้องขอเวลาหน่อย เพราะเหตุการณ์ต่างๆ เพิ่งเกิด" นายประดิษฐ์กล่าว



นายประดิษฐ์กล่าวว่า หลังจากนี้ รัฐบาลจะได้นำข้อเสนอจากภาคเอกชนที่ได้ไปรับฟังปัญหามาสรุป เพื่อหาทางออกมาตรการช่วยเหลือต่อไป สำหรับปีงบประมาณ 2551 ที่ผ่านมา ถือว่าการบริหารนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เดินมาถูกทาง ที่มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยมาตรการทางภาษีต่างๆ เพราะแม้จะมองกันว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่กรมสรรพากรก็จัดเก็บรายได้เกินเป้าถึง 6 หมื่นล้านบาท และกรมศุลกากรเก็บรายได้เกินเป้ากว่า 1 หมื่นล้านบาท



ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มภาวะตลาดหุ้นไทยในวันที่ 13 ตุลาคมมองว่ายังคงมีความผันผวน และมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากยังคงมี 2 ปัจจัยที่เล่นงานตลาดหุ้นไทยอยู่ คือ ปัญหาวิกฤตการเงินโลก ที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกไม่มั่นใจเทขายหุ้นออกมา และปัญหาการเมืองในประเทศ แต่จะปรับลดลงมากน้อยเพียงใดนั้น ไม่สามารถบอกได้ ขึ้นอยู่กับตลาดหุ้นหลักๆ ในต่างประเทศว่านักลงทุนมองอย่างไร หากเปิดตลาดปรับลดลง ตลาดหุ้นไทยก็ต้องปรับลดลงตาม



"ตลาดหุ้นไทยขึ้นอยู่กับทิศทางต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (10 ตุลาคม) ก็ยังคงเป็นขาลงอยู่ อย่างไรก็ตาม เมื่อติดตามดูแนวโน้มการแก้ปัญหาวิกฤตการเงินทั่วโลก ทั้งผลการประชุมจี 7 และไอเอ็มเอฟ ที่ทุกคนเข้าใจตรงกันว่ามาตรการที่จะช่วยได้ คือ การเพิ่มทุนในสถาบันการเงิน ก็น่าจะทำให้แนวโน้มดีขึ้น แต่จะดีขึ้นเร็วช้าแค่ไหนนั้น ประเมินยาก" นายไพบูลย์กล่าว และว่า ส่วนแนวโน้มการเทขายของนักลงทุนต่างประเทศในไทยนั้น จะยังคงมีการขายต่อเนื่องหรือไม่ ก็คงตอบไม่ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างประเทศ



นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันที่ 13 ตุลาคมไม่น่าจะปรับลดลงแรงเหมือนเมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ปรับลดลงแรงถึง 10% เนื่องจากไม่ได้มีประเด็นปัญหาใหม่ๆ เข้ามา ยกเว้นแต่ว่าปัญหาทางการเมืองจะปะทุขึ้นอีกครั้ง ซึ่งก็ต้องติดตามดูสถานการณ์ทั้งการเมืองในประเทศ และปัญหาการเงินในสหรัฐ ที่ยังไม่เรียบร้อยดี



"ดัชนีหุ้นไทย ในระยะสั้นนี้ ยังคงมีความเสี่ยง และมีความไม่แน่นอนสูง จาก 2 ปัจจัยคือ ปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐ และการเมืองในประเทศ ท่าทีของนักลงทุนต่างชาติก็ยังไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม ก็เตรียมใจอยู่แล้วว่า นักลงทุนต่างชาติก็จะยังคงขายอย่างต่อเนื่อง" นายสมบัติกล่าว



ผู้สื่อข่าวรายงาน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยตั้งแต่ต้นปี 2551 จนถึงวันที่ 10 ตุลาคม 2551 ได้ปรับลดลงไปแล้ว 406.14 จุด หรือ 47.33% มูลค่าตลาดรวมลดลง 2.84 ล้านล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1.34 แสนล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 2.78 หมื่นล้านบาท นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 1.06 แสนล้านบาท



สำหรับบรรยากาศในงาน "ตลาดนัดกองทุนรวม Mutual Fund Fair @SET" ในวันที่ 12 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการจัดงานที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย บรรยากาศไม่ค่อยคึกคัก ผู้มาร่วมงานค่อนข้างบางตา เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ในด้านยอดการซื้อกองทุนค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับจำนวนคนที่มาร่วมงาน



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการจัดงานตลาดนัดกองทุน 2 วันที่ผ่านมา มีธุรกรรมประมาณ 200 ธุรกรรม มูลค่ารวมประมาณ 25 ล้านบาท ถือว่าน้อยมากเทียบกับการจัดงานเมื่อวันที่ 18-21 กันยายน ซึ่งมีธุรกรรมเกิดขึ้น 1,750 ธุรกรรม มูลค่ารวม 400 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ภายในงานระบุว่า นักลงทุนที่มาในงานส่วนมากจะสอบถามข้อมูลและศึกษาข้อมูลแต่ละกองทุนก่อน โดยยังไม่ได้ตัดสินใจ อีกส่วนอาจจะเกิดจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ที่ดัชนีตลาดหุ้นร่วงลงแรง ทำให้ไม่มั่นใจ อย่างไรก็ตามตลาดหลักทรัพย์จะจัดงานอีกครั้งคือ "4 วันกับการลงทุนเพื่อชีวิต" ในวันที่ 20-23 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะเป็นการให้ข้อมูลการลงทุนทั้งในตลาดหุ้น พันธบัตร อนุพันธ์และกองทุนรวม


 


เข็นมาตรการคลังป้องเศรษฐกิจ


เดลินิวส์ - นายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐ มนตรี เปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการประมาณการภาวะเศรษฐกิจอยู่ระหว่างจัดเก็บตัวเลขเพื่อประมาณภาวะเศรษฐกิจในปี 52 ใหม่ หลังจากได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤติการเงินในสหรัฐ รวมทั้งปัจจัยการเมืองในประเทศที่รุนแรง คาดว่าจะต่ำกว่าที่เคยประมาณการไว้ก่อนหน้านี้แน่นอน โดยเฉพาะตัวเลขประมาณการของกระทรวงการคลังที่คาดการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ก.ย. ว่า อยู่ที่ระดับ 4.5% ส่วนจะขยายตัวต่ำกว่าเท่าใดคงต้องรอข้อมูลให้ชัดเจนก่อน แต่ยืนยันว่าต่ำแน่และเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง


 


อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะพยายามประคับประคองเศรษฐกิจไทยให้ขยายตัวอย่างระมัดระวังมากที่สุด ปัจจัยหลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปีหน้าจะเน้นที่นโยบายการคลัง โดยเฉพาะการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณที่ยังคงค้างท่ออยู่จำนวนมาก รวมถึงงบประมาณปี 52  การดูแลสภาพคล่องให้เพียงพอที่จะปล่อยสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอี รวมถึงเกษตรกรเพื่อนำไปใช้ดูแลพืชผลที่กำลังจะออกสู่ตลาดในช่วงปลายปี


 


"ปัจจุบันมีสภาพคล่องอยู่ในระบบจำนวนมากเพียงแต่ บรรดานายแบงก์กลัวมากเกินไปกับสถาน การณ์ ที่เกิดขึ้น จึงทำให้ไม่ปล่อยสินเชื่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องพูดจาให้เข้าใจ เหมือนกับอยู่ในห้องมืดถ้ากลัวก็ต้องเปิดไฟจะได้เห็นทุกอย่าง"


 


นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งรัดโดยเร็วที่สุด คือ เรื่องของกลไกของรัฐบาลที่ต้องเดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินให้ได้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันต้องเร่งฟื้นฟูการท่องเที่ยวทั้งการหาตลาดใหม่และดูแลการท่องเที่ยวในประเทศ โดยใช้วิธีไทยช่วยไทยเหมือนกับที่เกิดเหตุการณ์สึนามิ  ให้ทุกหน่วยงานดูงานในประเทศแทนการออกไปเที่ยวต่างประเทศ รวมทั้งต้องมีมาตรการลงทุนเพื่อ กระตุ้นภาคเอกชน โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์  โดยใช้มาตรการการคลัง เร่งรัดการใช้จ่ายเงินงบประมาณ และสร้างความเข้าใจให้ชัดเจนว่าการลงทุนในอนาคตนั้นจะเดินหน้าอย่างไร ทั้งด้านขนส่งมวลชน สุขภาพ การศึกษา


 


นอกจากนี้ต้องนำเงินในส่วนท้องถิ่นทั้งงบประมาณของเอสเอ็มแอล งบผู้ว่าฯ งบขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) ออกมาใช้ให้ได้มากที่สุด


 


รวมทั้งต้องเดินหน้าประหยัดพลังงานและส่งเสริมให้ใช้พลังงานทางเลือกมากที่สุด การดูแลราคาสินค้าเกษตรไม่ให้ตกต่ำโดยการแทรกแซงราคาต้องเป็นไปตามราคาตลาด


 


"ที่สำคัญที่สุด ภาคเอกชนต้องปรับปรุงตัวเองในทุกด้านเพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ทั้งในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดต้นทุนและให้สามารถแข่งขันได้ การเร่งหาตลาดใหม่ ๆ โดยเฉพาะตลาดในเอเชีย เพื่อลดผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยงภายนอก"


 


ปตท.เผยเตรียมพิจารณาลดราคาน้ำมันพรุ่งนี้


เว็บไซต์แนวหน้า -  นายวิทยา หวังจิตรารักษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตลาดขายปลีก กลุ่มธุรกิจ น้ำมัน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปตท. เตรียมพิจารณาปรับลดราคาน้ำมันในวันพรุ่งนี้หลังราคาน้ำมันในตลาดโลกร่วงลงต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะปรับลดเท่าใด และคาดว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับลดลงอีกหากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน หรือ โอเปก ยังไม่มีมาตรการจำกัดการผลิตออกมา ขณะที่ความต้องการน้ำมันของสหรัฐฯ ลดลง และบรรดากองทุนเก็งกำไรที่เข้ามาเก็งกำไรน้ำมันได้นำเงินไปทำอย่างอื่น ทั้งนี้แนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกขณะนี้ ต้องดู 2 ปัจจัย คือ การประชุมของโอเปก ในเดือนพฤศจิกายน ว่าจะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลงเท่าใด และการแก้วิกฤติการเงินของสหรัฐและยุโรป ซึ่งอาจทำให้ราคาปรับขึ้นได้อีก


 


 






ต่างประเทศ


 


มหาอำนาจศก.ย้ำ"ร่วมมือ"กัน มิฉะนั้นระบบการเงินโลกล่ม


ผู้จัดการรายวัน - เอเอฟพี/รอยเตอร์ - บรรดาผู้นำของยุโรปต่างแสดงความหวัง จะสามารถตกลงกันในการประชุมที่กรุงปารีสวานนี้(12) เกี่ยวกับแผนการที่มีรายละเอียดเป็นเนื้อเป็นหนัง เพื่อมุ่งสกัดความตื่นตระหนกของตลาด อีกทั้งหลีกเลี่ยงสิ่งที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศเตือนว่า อาจจะเป็นการล้มครืนของระบบการเงินโลก ภายหลังจากที่บรรดาชาติหลักๆ ทั่วโลกต่างแสดงท่าทีในเชิงหลักการในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ให้ความสนับสนุนเต็มที่ต่อความพยายามในการแก้ไขปัญหา


 


ภายหลังการหารือของรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางจากกลุ่ม 7 ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (จี7) ในวันศุกร์(10) ทางกลุ่มจี 20 ซึ่งประกอบด้วยชาติจี7+ชาติมั่งคั่งอื่นๆ +ชาติเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่+ชาติกำลังพัฒนาขนาดใหญ่ และรวมกันแล้วมีขนาดเท่ากับ 85% ของเศรษฐกิจโลก ก็ได้ประชุมกันที่กรุงวอชิงตันเช่นเดียวกันในวันเสาร์(11) และมีมติให้ออกแถลงการณ์ร่วม แสดงความสนับสนุน "แผนปฏิบัติการ 5 ข้อ" ของจี7 ซึ่งมุ่งหมายที่จะใช้ "เครื่องมือทางการเงินและทางเศรษฐกิจทั้งหมด" เพื่อสยบพายุร้ายแรงคราวนี้ (ดูรายละเอียดในข่าว จี20-IMFต่างหนุนแผน5ข้อจี7 หน้า28)


 


แถลงการณ์ของชาติกลุ่มจี20 บอกด้วยว่า การปฏิบัติการต่างๆ จะต้อง "มีการสื่อสารกันอย่างใกล้ชิด เพื่อที่ปฏิบัติการของประเทศหนึ่งจะไม่กลายเป็นความเสียหายของชาติอื่นๆ หรือเป็นความเสียหายต่อเสถียรภาพของระบบโดยรวม"


 


ทางด้าน โดมินิก สเตราส์-คาห์น กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่าความพยายามของประเทศสำคัญๆ ทั้งหลายซึ่งต่างให้สัญญาที่จะร่วมมือกันเพื่อทำให้ความปั่นป่วนผันผวนที่กำลังระอุดุเดือด กลับคืนสู่เสถียรภาพเช่นนี้ สามารถที่จะผ่าทางตันพบช่องทางในการแก้ปัญหาแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ตัวเขาเองได้กล่าวเตือนว่า "ความวิตกกังวลที่กำลังเพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว เกี่ยวกับสภาพคล่องของสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่สุดจำนวนหนึ่งทั้งที่ตั้งฐานอยู่ในสหรัฐฯและในยุโรป ได้ผลักดันให้ระบบการเงินทั่วโลกเข้าสู่ริมขอบแห่งการล้มครืนเชิงระบบ"


 


แต่ถึงแม้กลุ่ม จี7 จะประกาศแผนปฏิบัติการ 5 ข้อ ซึ่งได้รับความสนับสนุนอย่างกว้างขวางดังกล่าวแล้ว ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่มากว่า แผนปฏิบัติการของ จี7 ยังมีลักษณะเชิงหลักการและขาดรายละเอียดรูปธรรม จึงมีความลำบากที่จะฟื้นฟูความมั่นใจขึ้นมาให้ได้จริงๆ


 


ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อวานนี้ความสนใจจึงหันออกจากกรุงวอชิงตัน ไปสู่อีกฟากฝั่งหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก นั่นคือที่กรุงปารีส ที่กำลังมีการประชุมระดับผู้นำของ "กลุ่มยูโร" หรือ 15 ชาติซึ่งใช้เงินตราสกุลยูโร โดยที่มีนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เข้าร่วมการหารือข้างเคียงด้วย แม้ไม่ได้เป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่มนี้


 


รัฐมนตรีคลังฝรั่งเศส คริสตีน ลาการ์ด กล่าวก่อนที่จะออกจากกรุงวอชิงตันกลับไปประชุมที่ปารีสว่า โลกจะ "ไม่ถูกทำให้ผิดหวัง" จากมาตรการต่างๆ ซึ่งจะได้รับการรับรองในที่ประชุมของกลุ่มยูโรคราวนี้ โดยที่บรรดาผู้นำยุโรปจะ "นำเอาเนื้อหนัง, มัดกล้าม มาสวมใส่เข้ากับกระดูกของโครงกระดูก(แผนปฏิบัติการ5ข้อ) และก็จะพัฒนา, ติดตามผล, ตลอดจนดำเนินการตามแผนการดังกล่าว"


 


มีรายงานข่าวว่ากลุ่มยูโรมีแนวโน้มที่จะยอมรับแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาของอังกฤษ โดยมาตรการที่สำคัญคือการที่รัฐเข้าค้ำประกันการกู้ยืมระหว่างธนาคาร และเข้าซื้อหุ้นจำนวนหนึ่งในธนาคารและสถาบันการเงินที่ประสบปัญหา


 


ประธานาธิบดี นิโกลาส์ ซาร์โกซี แห่งฝรั่งเศส ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานสหภาพยุโรป(อียู)วาระปัจจุบัน กำหนดนัดหมายที่จะหารือกับนายกฯบราวน์ จากนั้นจึงจะจัดการประชุมกลุ่มยูโร


 


 


บราวน์ได้เตือนบรรดาผู้นำยุโรปก่อนหน้าการประชุมปารีสคราวนี้ว่า พวกเขากำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่จะต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด พร้อมกับให้คำมั่นว่า อังกฤษจะ "เป็นผู้นำทาง" ให้พ้นออกจากวิกฤตสินเชื่อได้


 


"เหตุการณ์ในสัปดาห์นี้แสดงให้เห็นแล้วว่า นี่คือปัญหาระดับโลก ซึ่งจำเป็นจะต้องมีหนทางแก้ไขในระดับโลก" บราวน์เขียนในบทความซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ซันเดย์มีร์เรอร์ฉบับวานนี้ "ผมกำลังจะไปที่ปารีสเพื่อชักชวนประเทศยุโรปอื่นๆ ให้ยอมรับวิธีแก้ไขปัญหาแบบครอบคลุมซึ่งเรากำลังใช้กันอยู่ในอังกฤษ สำหรับยุโรปแล้ว เดิมพันไม่อาจจะสูงไปกว่านี้อีกแล้ว และนี่คือช่วงเวลาแห่งการต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด"


 


หนังสือพิมพ์ในอังกฤษ 2 ฉบับรายงานวานนี้ว่า รัฐบาลอังกฤษกำลังเตรียมที่จะเข้าไปถือหุ้นใหญ่ซึ่งสามารถควบคุมกิจการในธนาคาร รอยัล แบงก์ ออฟ สกอตแลนด์ (อาร์บีเอส) และ เอชบีโอเอส อันเป็น 2 ธนาคารใหญ่ที่สุดของอังกฤษซึ่งกำลังถูกเล่นงานหนักหน่วงที่สุดจากวิกฤตทางการเงินคราวนี้


 


ทางด้านหนังสือพิมพ์ บิลด์ อัม ซอนน์ทาก ของเยอรมนีก็รายงานว่า นายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เคิล กล่าวว่า ในเวลานี้มีแต่รัฐเท่านั้นที่จะสามารถฟื้นฟูทำให้ตลาดการเงินกลับเกิดความไว้วางใจขึ้นมาอีก และเป็นเรื่องสำคัญที่ประเทศต่างๆ จะต้องไม่ทำอะไรตามอำเภอใจฝ่ายเดียว แต่จะต้องร่วมมือกันทั้งในระดับทั่วยุโรปและระดับนานาชาติ และจากนั้นจึงปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ที่ตกลงกัน ภายในความรับผิดชอบระดับชาติของแต่ละฝ่าย


 


มีรายงานด้วยว่า เยอรมนีกำลังเตรียมจะเปิดเผยแพกเกจมูลค่ามหึมาเพื่อช่วยเหลือบรรดาธนาคารในประเทศตน


 


ผลสอบชี้พาลินใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ


เดลินิวส์ - รายงานของคณะกรรมการสอบสวนของสภาแห่งรัฐอะแลสการะบุว่า นางพาลินใช้อำนาจผู้ว่าการรัฐฯ ในทางมิชอบด้วยการกดดันให้ทางการรัฐอะแลสกาไล่ตำรวจของรัฐคนหนึ่ง ซึ่งเป็นอดีตน้องเขยออกจากงาน โดยรายงานการสืบสวนมีความหนา 263 หน้า มีขึ้นหลังจากการประชุมลับเป็นเวลา 6 ชม. สิ้นสุดลง นายสตีฟ แบรนช์ฟลาวเวอร์ หัวหน้าคณะสืบสวนกล่าวว่า นางพาลิน ยังได้อนุญาตให้สามีคือนายทอดด์ พาลิน ใช้ที่ทำงานของผู้ว่าการรัฐฯ และทรัพยากรของรัฐเป็นเครื่อง มือในการกดดันให้ไล่นายไมค์ วูเทน อดีตน้องเขยออกจากงาน


 


ถึงแม้นางพาลิน จะไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการโดยตรง แต่ก็มีส่วนร่วมในทางอ้อม ด้านนางเม็ก สเตเปิลตัน โฆษกทีมงานหาเสียงของนายจอห์น แมคเคน และนางพาลิน กล่าวว่า รายงานการสอบสวนการใช้อำนาจของนางพาลินเป็นไปได้โดยถูกต้อง และไม่ได้มีปัจจัยทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ขณะที่ นายวอลท์ โมเนแกน คณะกรรมการเพื่อความปลอดภัยสาธารณะแห่งรัฐอะแลสกา ออกมากล่าวว่า การที่เขาถูกนางพาลิน ไล่ออก เพราะไม่ยอมปลดนายวูเทน


 


ทั้งนี้ เหลือเวลาอีกเพียง 21 วันเท่านั้น ก็จะถึงวันเลือกตั้งผู้นำสหรัฐคนใหม่ แต่ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ยังไม่เลิกหาเสียงสาดโคลนใส่คู่แข่งผิวสีจากพรรคเดโมแครต ซึ่งนายแมคเคน   ยังคงระดมการโจมตีนายบารัค โอบามา หนักขึ้น ล่าสุด นายแมคเคน ได้กล่าวโจมตีนายโอบามาโดยตรงว่า มีส่วนพัวพันกับนายวิลเลียม แอรส์ อดีตผู้นำกลุ่มหัวรุนแรงเพื่อต่อต้านสงครามเวียดนาม พร้อมเน้นย้ำว่า นายโอบามาเป็นภัยเสี่ยงเกินไปสำหรับสหรัฐ


 


แต่ผลการสำรวจความเห็นประชาชนในสหรัฐของนิตยสารนิวสวีครายงานว่า นายโอบามา มีคะแนนนิยมนำนายแมคเคน 11 จุด ซึ่งนับเป็นการนำเกินกว่า 10 จุดเป็นครั้งแรก ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ โพลระบุว่า นายโอบามา มีคะแนนนิยมนำนายแมคเคน ที่ร้อยละ 52 ต่อร้อยละ 41 จากเมื่อเดือนก่อน ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งผู้สมัครทั้งสองมีคะแนนเท่ากันที่ร้อยละ 46 การทำโพลสำรวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน 1,212 คน พบว่า ร้อยละ 86 ไม่พอใจปัญหาที่เกิดขึ้นในสหรัฐและต่อคำถามที่ว่าผู้สมัครคนใดที่สามารถแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ ปรากฏว่า นายโอบามามีคะแนนนำเหนือนายแมคเคนในทุกด้าน ยกเว้นด้านความมั่นคงแห่งชาติและการก่อการร้าย


 


ส่วนโพลของสำนักข่าวรอยเตอร์ ซีสแปน ซ็อกบี้ ระบุนายโอบามา มีคะแนนนิยมนำนายแมคเคนอยู่ 4 คะแนน โดยนายโอบามา ได้ร้อยละ 48  และนายแมคเคนร้อยละ 44


 


 


"โอเปก" เรียกร้องตรวจสอบเข้มงวดตลาดน้ำมัน


ผู้จัดการรายวัน - กลุ่มโอเปกเรียกร้องให้มีการกำกับตรวจสอบอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น เพื่อลดผลกระทบจากการลงทุนเก็งกำไรในตลาดน้ำมัน ซึ่งโอเปคประณามว่า เป็นตัวการทำราคาน้ำมันปั่นป่วน


 


ราคาน้ำมันในตลาดโลกเคยทะยานขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์เหนือระดับ 147 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แต่นับจากนั้นราคาน้ำมันกลับทรุดลงอย่างฮวบฮาบสู่ระดับต่ำกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลขณะที่วิกฤตการเงินเริ่มลุกลามทั่วโลก จนทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความต้องการน้ำมันชะลอตัว


 


ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ (10) สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ร่วงกราวรูดถึง 8.89 ดอลลาร์ ปิดที่ 77.70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์ของลอนดอน ดิ่งลง 8.57 ดอลลาร์ ปิดที่ 74.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล


 


"การที่ราคาน้ำมันผันผวนอย่างรุนแรงเมื่อเร็ว ๆ นี้ ชี้ให้เห็น ความจำเป็นในมาตรการความร่วมมือ เพื่อลดผลกระทบจากวิกฤตการเงิน ที่กำลังบ่อนทำลายอุตสาหกรรมน้ำมัน ตลอดจนเศรษฐกิจทั่วโลก" อาลีปูร เจดดี โฆษกโอเปค กล่าวในที่ประชุมกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี ของสหรัฐฯ เมื่อวันเสาร์ (11)


 


"กรอบการกำกับตรวจสอบที่ใช้อยู่ทุกวันนี้พิสูจน์แล้วว่า ด้อยประสิทธิภาพในการยับยั้งอย่างเหมาะสมต่อผลกระทบด้านลบจากกิจกรรมเก็งกำไร. . . ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องพิจารณามาตรการต่าง ๆ เพิ่มเติม"


 


พร้อมกันนี้ โฆษกโอเปคยังเรียกร้องให้มีการกำกับตรวจสอบอย่างรัดกุมยิ่งขึ้นในการซื้อขายเก็งกำไรและเพิ่มขยายการควบคุมดูแลในตลาดสหรัฐฯ


 


อุบัติเหตุคร่าชีวิตขวาจัดออสเตรีย


เดลินิวส์ - นายจอร์จ ไฮเดอร์ ผู้นำขวาจัดคนดังและนักต่อต้านชาวต่างชาติของออสเตรีย เสียชีวิตแล้ว เนื่องจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์  ส่วนบรรดาผู้นำออสเตรียต่างแสดงความเสียใจต่อการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของนักการเมืองชื่อก้อง


 


ตำรวจออสเตรีย แถลงว่า นายจอร์จ ไฮเดอร์ นักการเมืองขวาจัดเสียชีวิตแล้วในอุบัติเหตุรถยนต์ที่เมืองคลาเกนเฟิร์ต ทางใต้ของ ประเทศเมื่อเช้าตรู่วันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น ด้วยวัย 58 ปี และว่า รถยนต์ของนายไฮเดอร์ ตกถนนและพลิกคว่ำ ขณะที่พยายามแซงรถอีกคัน  ส่งผลให้นายไฮเดอร์บาดเจ็บที่ศีรษะและหน้าอกอย่างรุนแรง ก่อนไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล


 


ด้าน นายสเตฟาน เพ็ทซ์เนอร์  โฆษกของนายไฮเดอร์ กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลดว่า สำหรับพวกเรา มันเหมือนเป็นวันสิ้นโลกเลยทีเดียว เช่นเดียวกับประธานาธิบดีไฮนซ์ ฟิสเชอร์ กล่าวว่า การเสียชีวิตของนายไฮเดอร์ ถือเป็นโศกนาฏกรรมของมนุษย์ ขณะที่ นายกรัฐมนตรีอัลเฟรด กูเซนบาวเออร์ แสดงความเสียใจต่อครอบครัวของนายไฮเดอร์ และระบุ ว่า นายไฮเดอร์เป็นบุคคลที่ทำให้การเมืองในประเทศคึกคักขึ้นในรอบหลายทศวรรษ


 


ทั้งนี้ นายไฮเดอร์ เคยเป็นผู้ว่าการรัฐคารินเทีย และดำรงตำแหน่งผู้นำกลุ่มพันธมิตรขวาจัดฟิวเจอร์ ออฟ ออสเตรียในปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ นายไฮเดอร์ ซึ่งเป็นผู้นำพรรคเสรีภาพ หรือฟรีดอม ได้คะแนนร้อยละ 27 ในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2542 แต่นโยบายพรรคเป็นที่วิจารณ์กันอย่างมาก รวมทั้งการปราศรัยหลายครั้งของนายไฮเดอร์ที่มักต่อต้านชาวต่างชาติและนิยมอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอมเผด็จการ นาซี เพราะว่า บิดาของเขาเคยเป็นสมาชิก กลุ่มสตอร์ม ทรูปเปอร์ ของฮิตเลอร์ จึงทำให้สหภาพยุโรป (อียู) ประกาศคว่ำบาตรต่อออสเตรียทันที จนทำให้นายไฮเดอร์ต้องลดการวิพากษ์วิจารณ์ลง

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net