Skip to main content
sharethis

เมื่อวันที่ 8 ต.ค. เวลา 08.00 น. พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เดินทางเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศร์ เพื่อรายงานสถานการณ์เหตุรุนแรงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณหน้าอาคารรัฐสภาและลานพระบรมรูปทรงม้า เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที



 


มีรายงานข่าวแจ้งว่า พล.อ. อนุพงษ์ รายงานให้ พล.อ. เปรม ทราบว่า ทหารปฏิบัติหน้าที่ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประสานให้ทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานในการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยขณะนี้มีกำลังทหารประจำอยู่รอบบริเวณที่เกิดเหตุปะทะ เพื่อป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นอีก



 


วันเดียวกัน ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) ได้เรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อประเมินสถานการณ์ โดยเชิญตัวแทนส่วนราชการต่างๆ ร่วมประชุม อาทิเช่น นายปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นักกฎหมาย นักวิชาการ ตำรวจ และคณะแพทย์จากโรงพยาบาลต่างๆ ในพื้นที่ กทม.ใช้เวลาประชุมกว่า 3 ชั่วโมง 30 นาที



 


มีรายงานเปิดเผยว่า ในระหว่างการประชุม นางจรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้แจ้งข้อมูลว่าช่วงกลางดึกวันที่ 7 ต.ค.มีคนปาระเบิดเพลิงเข้าไปในกระทรวงศึกษาธิการหลายลูก โดยมีจุดประสงค์ให้เกิดไฟไหม้ และเป็นการสร้างสถานการณ์ ซึ่งเรื่องนี้อยากให้สังคมรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และขอมติที่ประชุมว่าต่อไปนี้หากมีเหตุการณ์อะไร ควรต้องเผยแพร่ข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบถึงพฤติกรรมต่างๆ



 


รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมพูดคุยกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน่วยข่าวด้านความมั่นคงได้รับแจ้งว่าอาจมีแผนเผาเมือง เพื่อต้องการบีบให้ทหารออกมาปฏิวัติ แต่ทหารไม่เห็นด้วย และเสนอว่าในช่วงวันเสาร์และอาทิตย์นี้จำเป็นต้องให้กำลังทหารดูแลสถานที่ราชการสำคัญ เพราะเกรงว่าจะมีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ เมื่อ พล.อ. อนุพงษ์ รับทราบข้อมูล จึงกล่าวว่า ไม่สนใจว่ารัฐบาลไหนเข้ามาบริหาร เราไม่เกี่ยวข้อง แต่ทหารต้องเป็นกลางและรักษาบ้านเมืองช่วยสกัดกั้น เพราะไม่ต้องการให้คนไทยฆ่ากันเอง และสังเกตได้จากตัวเลขผู้บาดเจ็บ ซึ่งบางคนบาดเจ็บเล็กน้อย แต่เข้าไปแจ้งเพื่อให้ตัวเลขสูงขึ้น เป็นการดิสเครดิตเจ้าหน้าที่



 


พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมว่า ที่ประชุมได้มีการเสนอความคิดจากทุกฝ่าย ซึ่งห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้มีการหารือการทบทวนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อกำหนดเป็นมาตรการที่เหมาะสมไม่ให้เกิดอันตรายต่อประชาชน ส่วนภาควิชาการเสนอว่าโครงสร้างการบริหารงานในสภาวะวิกฤติ จะต้องมีความชัดเจน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมีความสงสัยว่าใครควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นการควบคุมของแต่ละส่วนงานกันเอง แต่ในสภาวะที่วิกฤติจะต้องมีผู้ควบคุมที่มีขั้นตอน ลำดับที่ชัดเจน และมีกฎหมายรองรับด้วย



 


ทั้งนี้ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์  โรจนสุนันท์  ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้เสนอต่อที่ประชุม ต่อเหตุการณ์ที่สังคมสงสัยการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจกรณีการใช้แก๊สน้ำตา และการเกิดบาดเจ็บจนอวัยวะ แขน ขา ขาด ตามที่เป็นข่าว ทั้งนี้เมื่อสังคมตั้งข้อสงสัย วิธีที่ดีคือ หลักวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้ พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ จะจัดทีมงานเข้าไปตรวจสอบ



 


"การออกไปปฏิบัติหน้าที่ของทหารของ 3 เหล่าทัพ เป็นการเข้าไปช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ในการดูแลทรัพย์สินให้กับประชาชน และวันนี้สถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดี ดังนั้นบทบาทหน้าที่ของทหารที่ออกไปนั้น ก็ดูแลสถานที่สำคัญเพื่อป้องกันกลุ่มผู้ไม่หวังดี เพื่อเปิดโอกาสให้ตำรวจสับเปลี่ยนกำลังในการปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งการปฏิบัติงานของตำรวจจะดำเนินการไปถึงวันจันทร์หน้า" พ.อ.สรรเสริญ กล่าว



 


 แหล่งข่าวจากกองทัพ เปิดเผยว่า สถานการณ์ขณะนี้แต่ละกองทัพจัดกำลังเข้ามาช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดูแลสถานการณ์ โดยพื้นที่ปะทะกองทัพภาคที่ 1 ได้จัดกำลังกองพันที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 (มหาดเล็ก) รักษาพระองค์ ประจำพื้นที่ลานพระบรมรูปทรงม้าฝั่งตะวันตก และบริเวณแยกกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ จนถึงแยกพิชัย รวมถึงบริเวณมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต โดยมีกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 ดูแลอยู่ภายในกองทัพบก



 


สำหรับกองทัพอากาศ จัดกองร้อยรักษาความปลอดภัย กองบัญชาการอากาศโยธิน จำนวน 2 กองร้อย เข้ามาดูแลอยู่ในพื้นที่ถนนพระราม 5 รอบวังสวนจิตรลดา และ กระทรวงการต่างประเทศ ส่วนกองทัพเรือจัดกองร้อยรักษาความปลอดภัย เพื่อรักษาความเรียบร้อยอยู่บริเวณเชิงสะพานพระราม 8 แยกวิสุทธิ์กษัตริย์ ถนนราชดำเนิน ทั้งนี้ การประสานงานของเหล่าทัพ พล.อ.อนุพงษ์ ให้กำลังทหารที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่ใช้ริบบิ้นสีขาวผูกแขนข้างซ้าย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าทหารวางตัวเป็นกลาง



 


"สมชาย" ต้อนรับทูต 67 ประเทศ


เมื่อวันที่ 8 ต.ค. เวลา 09.30 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้เดินทางมายังกระทรวงการต่างประเทศ ให้การต้อนรับคณะทูตานุทูต 67 ประเทศ และหัวหน้าสำนักงานองค์การระหว่างประเทศ ประจำประเทศไทย ซึ่งมีเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทยร่วมด้วย 48 ประเทศ พร้อมเลี้ยงอาหารในโอกาสเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 26 ของประเทศไทย


 


ทั้งนี้ นายกฯได้กล่าวสุนทรพจน์ ตอนหนึ่งว่า "รัฐบาลของข้าพเจ้า ถือเป็นภาระหน้าที่ที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อระบอบการเมืองไทย โดยจะยึดมั่นในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา และหลักแห่งกฎหมาย รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศ ด้วยวิถีทางประชาธิปไตย และจะบริหารประเทศอย่างดีที่สุด เพื่อให้บรรลุความปรารถนาของประชาชนไทย ในการเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่น และความปรองดองสมานฉันท์ ประเทศไทยจะเป็นสังคมที่มีความเข้มแข็ง และสามารถผ่านมรสุมทางการเมืองในอดีตที่ผ่านมาอย่างมั่นคง



 


กระทั่งเวลา 10.00 น. ทางเจ้าหน้าที่ และตำรวจรักษาความปลอดภัยนายกฯ ได้รับรายงานว่า กลุ่มพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเดินทางมายังกระทรวงการต่างประเทศ ทำให้นายสมชายต้องรีบปฏิบัติภารกิจให้เสร็จก่อนเวลาที่วางไว้ และออกจากกระทรวงไปในเวลา 10.30 น. โดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ



 


จากนั้นเวลา 10.50 น. นายกรัฐมนตรีเดินทางมายัง โรงพยาบาลตำรวจ เพื่อเยี่ยมตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจาก การปฏิบัติหน้าที่สลายกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณหน้ารัฐสภา ซึ่งพักฟื้นอยู่ 5 นาย ประกอบด้วย พล.ต.ต.โกสินธ์ บุญสร้าง รอง ผบ.ตชด. ร.ต.ต.ภิญโญ สาระทอง ส.ต.ต. จักรพงษ์ แท่งทองหลาง สังกัด ด.ต.ณัฐนนท์ ศุภมงคลเจริญ ด.ต.เสก ตราเงิน กองกำกับ 2 บก.ตปท.บชน. ทั้งนี้นายกฯได้พูดคุยกับ ด.ต.ณัฐนนท์ ศุภมงคลเจริญ ที่ได้รับบาดเจ็บไหปลาร้าหักว่า ขอให้หายเร็วๆ ขอบคุณ และภูมิใจที่ตำรวจมีความเสียสละและช่วยกันรักษาสถาบัน รักษาความสงบที่เกิดจากผู้ไม่หวังดี ทำให้เกิดความวุ่นวาย วันนี้ไม่ได้มาเยี่ยมเพื่อเอาหน้าเอาตา ตนเองก็มีพี่ชายเป็นตำรวจ รู้สึกสะเทือนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมแก้ไขปัญหาต่อไป ขอให้ ผบ.ตร.ดูแลเรื่องค่ารักษาพยาบาลอย่างเต็มที่



 


ต่อมาเวลา 11.30 น. ที่โรงพยาบาลตำรวจ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ ว่า วันนี้ได้ไปกระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญทูตที่ประจำอยู่ในประเทศไทยไว้หลายวันแล้ว เพื่อให้ทราบถึงนโยบายการทำงาน และความร่วมมือระหว่างประเทศในโอกาสที่มีนายกฯใหม่ เพื่อกระชับความเป็นมิตรให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และมั่นใจว่ารัฐบาลสามารถทำงานได้ ซึ่งเรายึดหลักกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม การมาที่โรงพยาบาลตำรวจ ไม่ได้ มาเยี่ยมเฉพาะตำรวจ แต่มาเยี่ยมทั่วๆไปที่ได้รับบาดเจ็บ


 


ผู้สื่อข่าวถามว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะสร้างความสมานฉันท์ ให้กับบ้านเมืองได้อย่างไร นายสมชายตอบว่า จะเห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทั้ง ส.ส. และ ส.ว.เข้าไปประชุมในสภา และมีคนที่จะบุกรุกเข้ามา มีความวุ่นวายอย่างที่เห็น เมื่อถามว่า แผนปฏิบัติการที่ใช้เหตุใดจึงทำให้เกิดความสูญเสียทั้ง 2 ฝ่าย


 


นายกฯตอบว่ามันไม่ใช่การปฏิบัติ อะไรที่รุนแรงหรือไม่รุนแรง สถานการณ์เมื่อวานมีความพยายามที่จะยึดสภา การใช้แก๊สน้ำตาของตำรวจถือเป็นเรื่องสากลในการระงับเหตุจลาจล ส่วนตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บเหตุเพราะถูกปืนยิง ถูกแทง เหล็กแหลมบ้าง เสาธงบ้าง ทำให้เห็นว่าผู้ที่มาชุมนุมไม่ได้ชุมนุมโดยสงบ แต่มีการทำร้ายอย่างนั้น ส่วนที่ได้รับบาดเจ็บจากการยิงแก๊ส น้ำตานั้น ทางแพทย์ได้แถลงแล้วว่า แก๊สน้ำตาไม่ได้ ทำให้สูญเสียอวัยวะหรืออะไร



 


ต่อข้อถามว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นความพยายามที่จะเจรจาระหว่างรัฐบาลกับพันธมิตรฯ ถือว่าปิดประตูตายหรือไม่ นายสมชายตอบว่า มันไม่มีอะไรปิดประตูตายหรอก ต้องพยายามเรื่อยไป เมื่อถามว่า จะหาจุดจบเรื่องนี้อย่างไร นายกฯตอบว่าต้องพยายามทำ เมื่อถามว่า จะมีการตรวจสอบกรณีผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บ และต้องมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาหรือไม่ นายสมชายตอบว่า ทางตำรวจก็ต้องดำเนินการตรวจสอบ เมื่อถามว่า หลังจากนี้รัฐบาลเตรียมการรับมืออย่างไร นายสมชายตอบว่า ให้ทางตำรวจดูแล



จากนั้นเวลา 12.00 น. นายสมชายเดินทางต่อมายังโรงพยาบาลพระมงกุฎ เพื่อเยี่ยมผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ส่วนใหญ่เป็นแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยนายกฯขึ้นไปชั้น 5 ของตึกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เข้าห้องที่มีกลุ่มพันธมิตรฯ นอนรักษาตัวอยู่ 3 คน ประกอบด้วย นายนเรศ พงษ์พานิช จาก จ.พิจิตร นายวรรณชนะ จั่นสำอางค์ จ.นนทบุรี และนายสุชน สุขพิทักษ์ จ.นราธิวาส โดยนายกฯได้มอบดอกไม้และกระเช้าผลไม้พร้อมทั้งให้กำลังใจให้หายเร็วๆ



 


โดยนายสมชายได้คุยกับนายสุชนซึ่งเป็นคนขับรถของกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นภาษาใต้ว่า รู้สึกเห็นใจ ตนไม่ได้แบ่งแยกว่าใครเป็นใคร เป็นคนไทยด้วยกัน ไม่อยากให้ใครบาดเจ็บ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเราไม่เข้าใจกัน บรรยากาศที่เกิดขึ้นทำให้เสียเวลาทำงาน เราเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ หรือคนขับรถ เป็นห่วงกัน ไม่แตกแยกกัน พร้อมกันนี้นายสมชายยังได้แลกกันดูพระที่แขวนคอกับนายสุชน และพูดว่า เคราะห์ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก หลวงพ่อทวดท่านคุ้มครอง ทั้งนี้ เมื่อนายสมชายเรียกให้ภรรยาของนายสุชนไปร่วมพูดคุยและถ่ายรูปด้วย ภรรยาของนายสุชนได้ตอบปฏิเสธ พร้อมทั้งกระซิบกับผู้สื่อข่าวว่า "พี่ไม่อยากถ่าย ตะกี้ยังกลัวว่าแฟนพี่จะต่อยหน้านายกฯหรือเปล่าเลย" ขณะที่นายสุชนกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "ผมกับนายกฯสมชายไม่มีอะไรกัน แต่คนที่ผมไม่ชอบ และต้องการจะขับไล่คือคนที่อยู่ลอนดอน ผมไม่ชอบระบอบทักษิณ จึงมาร่วมขับไล่กับพันธมิตรฯมาตั้งนานแล้ว ถ้าหายป่วยก็จะกลับไปร่วมชุมนุมอีกอย่างแน่นอน"



 


รัฐบาลแถลงแสดงความเสียใจ


วันเดียวกัน เมื่อเวลา 16.00 น. ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงเหตุการณ์การสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯที่บริเวณรัฐสภา จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมีความรู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น ถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นความเจ็บปวดร่วมกันของคนไทย เพียงแต่เป็นความขัดแย้งทางความคิดเท่านั้น รัฐบาลยืนยันว่าไม่มีความคิด และไม่ต้องการที่จะใช้กำลังสลายกลุ่มผู้ชุมนุมแต่อย่างใด หากรัฐบาลมีความคิดอย่างนี้ คงอาศัยจังหวะเวลาก่อนที่จะมีการจับกุมแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ แล้ว เพราะในช่วงดังกล่าวมีผู้ชุมนุมน้อย คงไม่รอให้มาถึงวันที่ 7 ต.ค. ที่มีการปลุกระดมมวลชนให้มาชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก แต่เหตุการณ์สลายการชุมนุมในวันที่ 7 ต.ค. เพราะต้องการเปิดประตูสภา เพื่อให้รัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาได้เข้าร่วมแถลงนโยบายรัฐบาลตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ เมื่อเปิดประตูสภาและเปิดประชุมแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ มีการดำเนินการอะไรอีกจนผู้ชุมนุมกลับมายึดพื้นที่ได้อีก



 


นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ส่วนที่ฝ่ายค้านระบุว่า การชี้แจงนโยบายของรัฐบาลเป็นการเดินข้ามกองเลือดประชาชนไปแถลงนโยบายรัฐบาลนั้น ขอยืนยันว่ารัฐบาลนี้จากประชาชน จะต้องบริหารราชการแผ่นดินให้ผลประโยชน์ตกอยู่กับประชาชน จึงต้องดำเนินการตามวิถีทางของประชาธิปไตย ไม่ได้ข้ามกองเลือดมา และไม่ได้คิดจะหาประโยชน์จากกองเลือด แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่ายืนยันว่า รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาต่างๆเพื่อให้ปัญหาต่างๆยุติด้วยสันติวิธี และไม่มีนโยบายใช้กำลังสลายการชุมนุมไม่ว่าจะเป็นวันใดๆ



 


กองทัพเดินเกมบีบ"สมชาย"ยุบสภา


ด้าน คมชัดลึกเปิดเผยว่า มีแหล่งข่าวระดับสูงระบุว่า ในการประชุม ครม.นัดพิเศษกลางดึก ก่อนที่จะมีการสลายการชุมนุมด้วยแก๊สน้ำตานั้น ในที่ประชุม ครม.ได้หยิบยกบทบาทของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มาหารือกันว่า พล.อ.อนุพงษ์ ไม่ค่อยสนองตอบในสิ่งที่รัฐบาลเสนอไป โดยรัฐมนตรีหลายคนอยากให้นายสมชายปลด พล.อ.อนุพงษ์ ออกจากตำแหน่ง ผบ.ทบ. แล้วตั้ง ผบ.ทบ.คนใหม่ที่ทำงานสนองรัฐบาลมากกว่า



 


แหล่งข่าวกล่าวอีกว่าการหารือดังกล่าวรู้ถึง พล.อ.อนุพงษ์ ทำให้การประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา ที่ประชุมเหล่าทัพได้หยิบยกเรื่องที่ตำรวจสลายการชุมนุมทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บล้มตายมาหารือด้วย และมีการลงความเห็นร่วมกันว่าจะให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาตัวเองว่าจะทำอย่างไรต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเชื่อว่าใน 1-2 วันนี้ นายกฯ จะพิจารณา แต่ถ้ายังไม่มีการดำเนินการอะไร ผู้บัญชาการเหล่าทัพก็ต้องหารือกันอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรต่อไป



 


มีรายงานด้วยว่าผลการประชุม ผบ.เหล่าทัพประเมินว่า นายกรัฐมนตรีน่าจะตัดสินใจยุบสภาหรือลาออกในเร็วๆ นี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โดยกองทัพจะทำหน้าที่ช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเคลียร์ไว้ได้เท่านั้น แหล่งข่าวระดับสูงในกองทัพเปิดเผยว่าผบ.เหล่าทัพยังได้ประเมินว่า ถ้านายกรัฐมนตรีตัดสินใจเลือกวิธีการลาออกก็ต้องหาบุคคลในพรรคพลังประชาชนขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกฯ คนใหม่แทนสถานการณ์ก็จะยังไม่ยุติ เพราะอาจทำให้เกิดการเผชิญหน้าและอาจเกิดความรุนแรงขึ้นมาได้อีก แต่หากนายกฯ ตัดสินใจล้างไพ่ด้วยการยุบสภา คืนอำนาจให้แก่ประชาชน และพันธมิตรยอมถอนออกจากทำเนียบรัฐบาล ทุกอย่างก็น่าจะคลี่คลาย ซึ่งต้องดูว่านายกฯ ต้องการความสงบหรือความรุนแรง แต่แนวทางที่จะไม่สร้างความเจ็บตัวให้แก่สองฝ่ายคือ การยุบสภา



 


พันธมิตรร่วมงานศพ "อังคณา"


เมื่อเวลา17.00 น. ที่ศาลาสิงหเสนีย์ภายในวัดศรีประวัติ ต.ปลายบางอ.บางกรวยจ.นนทบุรีซึ่งเป็นสถานที่ตั้งสวดพระอภิธรรมศพ น.ส.อังคณา ระดับปัญญาวุติ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์การสลายการชุมนุม ท่ามกลางกลุ่มพันธมิตรที่ทยอยเดินทางมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก  นอกจากนี้ยังมีบุคคลสำคัญ อาทิ  ศ.ระพีสาคริก คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช และบรรดา ส.ว.อีกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งนางลีนา จังจรรจา อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. มาร่วมงานขณะเดียวกันนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้เจ้าหน้าที่นำพวงหรีดมาคารวะศพด้วย



 


กำหนดการสวดอภิธรรมศพน.ส.อังคณาเจ้าภาพกำหนดไว้เป็นเวลา 5 คืนก่อนที่จะฌาปนกิจศพในวันที่ 13 ตุลาคม2551 เวลา17.00 น. ซึ่งบรรยากาศโดยทั่วไปเป็นไปด้วยความโศกเศร้า



 


40 ส.ว.จี้ "สมชาย" ยุบสภา-ลาออก


ด้านกลุ่ม 40 ส.ว.นำโดยพล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ นายประสาร มฤคพิทักษ์ นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหาน.ส.รสนาโตสิตระกูล ส.ว.กทม. ได้ออกแถลงการณ์ของกลุ่ม ส.ว.ฉบับที่ 3


 


นายประสารกล่าวว่ากลุ่ม 40 ส.ว.ได้ออกแถลงการณ์6 ข้อคือ


1.ขอแสดงความเสียใจและห่วงใยต่อญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทุกคนทุกฝ่าย และเห็นว่ารัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขควรดูแลรับผิดชอบและเยียวยาทุกคนทุกฝ่ายที่ประสบความสูญเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าว


 


2.เพื่อคลายความกังวลของสังคมเราเห็นว่า ตชด.ที่มีความคุ้นเคยต่อการปฏิบัติการลับในชายแดนต้องออกจากพื้นที่กทม.ในทันที


 


3.รัฐบาลจะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อชีวิตและเลือดเนื้อของทุกคนทุกฝ่ายด้วยการสอบสวนเอาผิดกับผู้สั่งการที่ละเมิดวิธีปฏิบัติตามมาตรฐานสากลอย่างไร้มนุษยธรรม และรัฐบาลต้องยุติปฏิบัติการความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมโดยทันที



4.จะประเมินเหตุการณ์ทั้งหมดและหลักฐานทั้งภาพเสียง วีดิทัศน์ และเอกสารต่อคณะสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ ต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ต่อสถานเอกอัครราชทูตแห่งประเทศไทย เพื่อให้เข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง


 


5.จะตั้งกระทู้ด่วนต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้นายกฯ มาตอบคำถามต่อที่ประชุมวุฒิสภาให้ชี้แจงแสดงเหตุผลว่าใครเป็นคนสั่ง ใครเป็นผู้ปฏิบัติ ต้องการให้เกิดผลอะไร และรัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร


 


6.คณะกรรมาธิการหลายคณะของวุฒิสภาจะตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติการใช้ความรุนแรงเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน โดยจะเชิญผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกมาร่วมด้วย



สถานการณ์ความรุนแรงก้าวไกลจนถึงที่สุดแห่งวิกฤติที่ประชาชนไม่สามารถยอมรับได้ รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างมีจิตสำนึกมนุษยธรรมด้วยการลาออกหรือยุบสภาโดยทันที หาไม่แล้วประเทศชาติและประชาชนจะประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ยิ่งกว่าความรุนแรงใดๆ ในอดีต และนายสมชายควรจะนำอดีตของนายกรัฐมนตรีคนอื่นมาศึกษาว่า ไม่ควรฝืนกระแสสังคม" นายประสาร กล่าว



 


ปชป.ยื่นผบ.ตร.ดำเนินคดีนายกฯ


นายไกรศักดิ์ชุณหะวัณ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยกลุ่ม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อนายสมชาย ให้ดำเนินคดีกรณีที่เกิดเหตุตำรวจปะทะกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตร จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บหลายคนต่อ พล.ต.อ.พัชรวาทโดยมี พล.ต.ท.เรืองศักดิ์ จริตเอก จเรตำรวจในฐานะรองโฆษก ตร. เป็นผู้รับหนังสือแทน



 


นายไกรศักดิ์กล่าวว่าจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายคนนั้น ต้นเหตุเกิดจากนายสมชายสั่งการให้ข้าราชการตำรวจและส่วนอื่นใช้กำลังและอาวุธเข้าสลายการชุมนุม แทนที่จะสั่งการยับยั้งหรือสั่งการให้ดำเนินการโดยละมุนละม่อม ตลอดทั้งวันต่อเนื่องจนถึงช่วงหัวค่ำ การกระทำของนายสมชายแสดงให้เห็นว่าไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ไม่คำนึงถึงมนุษยธรรม ไม่คำนึงว่าตนเองเป็นนายกฯ ที่สั่งการให้ข้าราชการดำเนินการตามอำเภอใจเพื่อให้ตนและพวกเข้าสู่อำนาจและอยู่ในอำนาจได้



นายไกรศักดิ์กล่าวอีกว่าหลังจากนี้ตำรวจต้องดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานตามที่ได้กล่าวโทษนายสมชาย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 84, 157, 295, 297, 288 และ 289 อย่างเร่งด่วนภายในระยะเวลา 1 เดือนตามกฎหมายกำหนดและหากพบว่ามีมูลต้องส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการทันที



 


"สนธิ" กร้าวจะฟ้องศาลโลก


เวลา13.50 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยระบุว่าจากเหตุการณ์รุนแรงซึ่งตำรวจทำร้ายประชาชน จึงคิดหาทางต่อสู้และได้ปรึกษาหลายฝ่ายรวมถึงสำนักงานกฎหมายระหว่างประเทศที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และได้รับคำแนะนำว่าให้นำเรื่องดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ เพราะประเทศไทยมีสนธิสัญญา ซึ่งถือเป็นพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามต่อสหประชาชาติ ซึ่งศาลดังกล่าวเป็นศาลที่นำอาชญากรระหว่างประเทศ รวมถึงผู้ที่ทำร้ายประชาชนเข้าคุกมาเป็นจำนวนมาก โดยกรณีที่เกิดขึ้นก็ถือว่าเข้าข่ายฟ้องได้เช่นกัน



 


นายสนธิกล่าวว่าการฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศอาจจะใช้เวลาแต่ไม่ต้องกลัว ตอนนี้เราต้องหาเจ้าทุกข์และเขียนคำฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจรัฐโดยมิชอบ โดยจะฟ้องผู้ที่เกี่ยวข้องเริ่มตั้งแต่คนยิง ผู้บังคับบัญชา คนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จนกระทั่งนายกรัฐมนตรี เมื่อทำเสร็จจะส่งให้สำนักกฎหมายระหว่างประเทศ ที่เคยทำคดีนายสโลโบดัน มิโลเซวิช อดีตผู้นำยูโกสลาเวีย ตรวจสอบ หลังจากนั้นก็จะส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ส่งฟ้อง ซึ่งหากอัยการสูงสุดไม่ส่งฟ้องใน 90 วัน เราก็สามารถยื่นฟ้องได้เองและการพิจารณาจะใช้เวลาไม่เกิน 3 ปี



 


นายสนธิกล่าวว่า การฟ้องจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นภารกิจของตนและจะไม่ขอใคร แต่หากคนที่จะสู้คดีก็ต้องใช้เงินประมาณคนละ 100 ล้านบาทเช่นกัน แต่หากใครกลับใจ เราก็จะเสนอให้เปลี่ยนจากจำเลยมาเป็นพยาน โดยการสู้คดีนั้นหากไม่ยอมไปขึ้นศาลก็จะถูกหมายจับไปทั่วโลก



 


ก่อนหน้านี้เวลา10.00 น. ที่ห้องผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล นายพิภพ ธงไชย และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำกลุ่มพันธมิตรแถลงข่าวประจำวัน โดยนายพิภพกล่าวว่า การสลายการชุมนุมที่เกิดขึ้นเห็นได้ว่าตำรวจไม่ได้ทำตามระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้อง ที่ต้องดำเนินมาตรการจากเบาไปหาหนัก แต่ตำรวจปฏิบัติการขั้นรุนแรงเพียงอย่างเดียว และมีการใช้อาวุธหนักเข้าทำร้ายประชาชน เหมือนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ซึ่งถือเป็นการทำผิดกฎหมายอาญา โดยนายสมชาย นายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท ผบ.ตร. รวมทั้งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ใน บช.น. ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะที่เป็นผู้สั่งการ ซึ่งพันธมิตรจะมีการจัดตั้ง "คณะกรรมการญาติวีรชน 7 ตุลา" ขึ้นมาฟ้องร้องผู้ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงมา ทั้งทางแพ่งและทางอาญาอย่างถึงที่สุด



 


นายพิภพกล่าวอีกว่าขอเรียกร้องให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ หรืออาจจะตั้งกรรมการอิสระที่มีอำนาจขึ้นมาสอบสวนและเปิดโปงเบื้องหลังความรุนแรงที่เกิดขึ้น รวมทั้งเรียกร้องให้ ส.ว. สภาทนายความ และฝ่ายค้าน สอบสวนเพื่อหาคนผิดมาลงโทษ หากครั้งนี้ไม่สามารถนำตัวผู้สั่งการมารับผิดได้ เหมือนเหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา และพฤษภาทมิฬ นายกรัฐมนตรีและตำรวจก็จะเหิมเกริมและใช้ความรุนแรงมากขึ้น ส่งให้คนไทยหมดความเชื่อมั่นในแนวทางสันติวิธี ซึ่งเป็นอันตรายในอนาคต ขณะที่กลุ่มพันธมิตรจะรณรงค์ให้ผู้ชุมนุมส่งภาพเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เพื่อเผยแพร่และประจานรัฐบาลไทยไปทั่วโลก



 


 


เรียบเรียงจาก : กรุงเทพธุรกิจ ไทยรัฐและคมชัดลึก

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net