Skip to main content
sharethis

สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข



การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2541 พรรคไทยรักไทย (ทรท.) ได้เปิดศักราชใหม่ทางการเมือง ด้วยการชูนโยบายรูปธรรมที่เน้นสนองความต้องการของประชาชนในเรื่องต่างๆ และได้ทำตามที่สัญญาไว้เมื่อเข้ามาบริหารประเทศจนเป็นที่ชื่นชมของประชาชนจำนวนมาก

นโยบายดังกล่าวถูกกล่าวขานในระยะต่อมาว่าเป็น "นโยบายประชานิยม (populism policy)" เพราะเป็นนโยบายที่เน้นสร้างความพึงพอใจแก่ประชาชนเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่ตอบสนองต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว

การแข่งขันระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นี้ นอกจากการแข่งขันโดยการชูบุคคลที่มีความรู้ความสามารถและพร้อมจะเป็น "ผู้นำ" ประเทศคนต่อไปแล้ว การแข่งขันทางด้านนโยบายก็มีเข้มข้นไม่น้อยหน้ากัน โดยเฉพาะพรรคใหญ่ที่คาดว่าจะได้รับการเลือกตั้งเข้ามาและมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาล ความชัดเจนในนโยบายของพรรคการเมืองเล็กๆ มีค่อนข้างน้อย โดยพบว่าบรรดาพรรคการเมืองที่จดทะเบียนกับคณะกรรมการการเลือกตั้งทั้งหมด 68 พรรค มีเพียง 10 พรรคเท่านั้นที่มีการประกาศนโยบายอย่างเป็นทางการ

นโยบายด้านสุขภาพของพรรคการเมืองไทย นโยบายทางด้านเศรษฐกิจเป็นนโยบายที่พบได้ในนโยบายของทุกพรรค โดยมีความชัดเจนแตกต่างกัน บางพรรคเขียนไว้สั้นๆ เพียงว่าจะปลดหนี้ประชาชนโดยการออกเป็นกฎหมาย
แต่บางพรรคมีระบุรายละเอียดมาตรการไว้มากมาย พร้อมงบประมาณที่ต้องใช้

สำหรับนโยบายด้านสุขภาพซึ่งมักเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านสังคม มีเพียง 5 พรรคการเมืองเท่านั้นที่ระบุไว้ในนโยบาย โดยสาระสำคัญของนโยบายด้านสุขภาพกล่าวโดยสรุปมีดังนี้

การพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพ
มี 5 พรรคการเมืองนำเสนอ โดยต่อยอดจาก "โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค" เดิมของพรรคไทยรักไทย โดยมีการเสนอให้ทั้งเพิ่มและไม่เพิ่มงบประมาณ (ปัจจุบัน 2,100 บาทต่อคน) ปรับปรุงคุณภาพบริการและคุณภาพยา เพิ่มทางเลือกการใช้บริการคลินิกใกล้บ้าน อาจมีการร่วมจ่ายสำหรับคนรวย
สำหรับโครงการประกันสังคมเสนอให้มีการขยายความครอบคลุมไปยังครอบครัวผู้ประกันตน เพิ่มสิทธิประโยชน์ เพิ่มงบประมาณที่จะจ่ายให้โรงพยาบาล เพื่อให้โรงพยาบาลเอกชนเข้าร่วมให้บริการ ให้บูรณาการระบบบริหารของ 3 กองทุนประกันสุขภาพ (บัตรทอง ประกันสังคม และข้าราชการ) เห็นด้วยการมาตรการบังคับใช้สิทธิ (compulsory licensing-CL) เพื่อให้ได้ยาราคาถูก แต่จะไม่ใช้อย่างสุดโต่ง

การพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข มี 3 พรรคการเมืองเสนอให้มีการพัฒนาคุณภาพบริการของคลินิก สถานีอนามัยหรือศูนย์อนามัยชุมชนด้วยมาตรการที่แตกต่างกัน เช่น ยกระดับสถานีอนามัยเป็นรพ.ประจำตำบล จัดหาบุคลากรให้เป็นที่พึ่งได้ มีเครื่องมือเพียงพอ ขยายการรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (quality accreditation)
ไปสู่คลินิก (ปัจจุบันจำกัดเฉพาะที่โรงพยาบาล) มี 1 พรรคเสนอเพิ่มงบประมาณด้านครุภัณฑ์รพ.จำนวน 20,000 ล้านบาท และอีก 2 พรรคเสนอให้มีการพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (emergency medical services)

การพัฒนาบุคลากรสาธารณสุข มี 3 พรรคการเมืองนำเสนอ โดยเน้นการปรับปรุงระบบค่าตอบแทนและสวัสดิการให้เพียงพอเพื่อแก้ไขปัญหาสมองไหล มี 1 พรรคเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการข้าราชการสาธารณสุข (กสธ.) เพื่อรับผิดชอบงานบริหารงานบุคคลแทนคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) และมีอีก 1 พรรคที่เสนอให้มีการจ่ายค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) เดือนละ 1,000 บาท อื่นๆ ได้แก่ การจัดตั้งกองทุนชดเชยผู้เสียหายจาการใช้บริการสาธารณสุข (1 พรรค) เพื่อแก้ไขปัญหาการฟ้องร้องแพทย์ การยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และการผลิตยาของโลก (1 พรรค) พร้อมทั้งเป็นเมืองมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ การจัดตั้งลานกีฬาเพื่อส่งเสริมการออกกำลังกาย (3 พรรค) จัดตั้งและพัฒนาศูนย์เด็กก่อนวัยเรียน (2 พรรค) ศูนย์ความสุขชุมชน และศูนย์ความสุขผู้สูงอายุ (1 พรรค) และองค์กรคุ้มครองผู้บริโภค (2 พรรค)

นโยบายขายฝันหรือกำลังก้าวไปสู่ความเป็นจริง
หากพิจารณาเนื้อหาโดยรวมนโยบายด้านสุขภาพของพรรคการเมืองต่างๆ อาจกล่าวได้ว่า นโยบายสุขภาพที่มีลักษณะเป็นการขายฝันให้แก่ประชาชนมีลดลง อาจเนื่องจากระบบปัจจุบันให้สิทธิด้านการรักษาพยาบาลค่อนข้างมากอยู่แล้ว มีบางพรรคระบุนโยบายว่าจะขยายความคุ้มครองสิทธิการรักษาพยาบาลแต่ก็ไม่มีรูปธรรมชัดเจน ประเด็นขายฝันกลับมุ่งไปสู่กลุ่มบุคลากรสาธารณสุขและ อสม. แทน โดยระบุว่าจะมีการปรับปรุงระบบค่าตอบแทน สวัสดิการ และความก้าวหน้าในระบบราชการ (ผ่านการจัดตั้ง กสธ.) ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือกระทรวงสาธารณสุขได้พยายามผลักดันมาโดยตลอด แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากติดกรอบระบบใหญ่
ยังไม่ชัดเจนว่าพรรคการเมืองที่เสนอนโยบายนี้จะดำเนินการอย่างไร

การเสนอจ่ายค่าตอบแทนแก่ อสม. เดือนละ
1,000 บาท ซึ่งจะต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นอีกปีละประมาณ 1 หมื่นล้านบาท (สำหรับ อสม. จำนวน 829,412 คน) ยังไม่ชัดเจนว่าจะใช้เงินจากแหล่งใด มีความเป็นไปได้แค่ไหน
ที่สำคัญการจ่ายค่าตอบแทนประจำให้แก่อาสาสมัคร ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของความหมายและคุณค่าของคำว่า "อาสาสมัคร" ที่เคยมีมาแต่เดิม

ประเด็นนโยบายที่ถือได้ว่าค่อนข้างก้าวหน้า และได้หยิบประเด็นที่กำลังเป็นปัญหาและเป็นที่สนใจขึ้นมาดำเนินการได้แก่ ประเด็นเรื่องการบูรณาการการบริหาร 3 กองทุนประกันสุขภาพ การขยายความครอบคลุมประกันสังคมพร้อมปรับระบบบริหารให้โปร่งใส การร่วมจ่ายค่าบริการ การพัฒนาคุณภาพบริการของคลินิก สถานีอนามัยหรือศูนย์อนามัยชุมชน การพัฒนาระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน การบังคับใช้สิทธิ (CL) การจัดตั้งกองทุนชดเชยผู้เสียหายจากการใช้บริการ ฯลฯ

ประเด็นต่างๆ เหล่านี้มีการพัฒนาข้อเสนอรายละเอียด และผู้เกี่ยวข้องได้ผลักดันให ้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาแล้วระดับหนึ่ง การที่พรรคการเมืองระบุประเด็นต่างๆ เหล่านี้ไว้เป็นนโยบาย น่าจะเป็นการสร้างความชัดเจนและผลักดันให้การพัฒนาประเด็นต่างๆ เหล่านั้นมีความคืบหน้ามากขึ้น ขณะเดียวกันพรรคเมืองต่างๆ ก็สามารถใช้ประโยชน์จากข้อเสนอรายละเอียดต่างๆ ที่มีการดำเนินการมาก่อนหน้าที่ เพื่อกำหนดนโยบายในรายละเอียดได้ไม่ยาก

การเชื่อมโยงนโยบายสุขภาพกับนโยบายด้านอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายเศรษฐกิจเป็นประเด็นที่พึงระมัดระวัง
เพราะผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ได้เป็นความสำเร็จของทั้งสองนโยบายที่เป็นการหนุนเสริมซึ่งกันและกัน (synergistic effect) แต่อาจกลับกลายเป็นการนำนโยบายสุขภาพไปหนุนนโยบายเศรษฐกิจจนทำให้กระทบต่อเป้าหมายของนโยบายสุขภาพ

ตัวอย่างของนโยบายในกรณีนี้คือ นโยบายการยกระดับประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของโลก

หรือในชื่อที่เคยเรียกกันว่า medical hub จริงๆ แล้ว ภาคเอกชนได้ขับเคลื่อนนโยบายนี้ไปแล้วระดับหนึ่ง
มีผลทำให้จำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่มาใช้บริการทางการแพทย์ในประเทศไทยเพิ่มขึ้น (ประมาณ 1.4 ล้านคนในปี 2549) ประมาณการรายได้เข้าประเทศจากนโยบายนี้ในปี 2551 อาจสูงถึง 40,000 ล้านบาท แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับระบบบริการสาธารณสุขสำหรับคนไทยคือ การลาออกของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ (รวมถึงอาจารย์แพทย์) จากโรงพยาบาลรัฐไปยังโรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการชาวต่างชาติ
เนื่องจากให้ค่าตอบแทนที่สูงกว่า 5-10 เท่า

ขณะที่ปัจจุบันจำนวนบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉลี่ยยังต่ำกว่ามาตรฐาน นี่ย่อมส่งผลกระทบต่อการได้รับบริการของประชาชนคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เหลียวหานโยบายสร้างสุขภาวะ
นโยบายด้านสุขภาพของพรรคการเมืองส่วนใหญ่ยังคงเน้นเรื่องการรักษาพยาบาล มีการกล่าวถึงนโยบายการสร้างเสริมสุขภาพบ้าง อาทิ การส่งเสริมการออกกำลังกาย การส่งเสริมสถาบันครอบครัว การจัดตั้งศูนย์เด็กเล็ก/เด็กก่อนวัยเรียน ที่มีแปลกแหวกแนวขึ้นมาใหม่คือ แนวคิดเรื่องการสร้างศูนย์ความสุขชุมชน ศูนย์ความสุขผู้สูงอายุ
ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่ารูปร่างหน้าตาจะเป็นอย่างไร จะทำให้เกิดความสุขขึ้นได้จริงหรือไม่

อย่างไรก็ตาม น่าจะเป็นห่วงอย่างยิ่งหากพรรคการเมืองกล่าวถึงนโยบายสร้างสุขภาพหรือสุขภาวะ โดยแยกส่วนจากนโยบายทางด้านสังคม เศรษฐกิจ เพราะนั่นเท่ากับการมองไม่เห็นประเด็นสุขภาวะในลักษณะองค์รวม และจะยิ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งหากการกำหนดนโยบายทางด้านเศรษฐกิจและสังคมไม่ได้เป็นไปในทางที่เอื้อต่อการสร้างสุขภาวะของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับโครงการสร้างรายได้โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี การควบคุมการบริโภคสิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเหล้า บุหรี่ หรือสารเสพติดอื่นๆ พรรคการเมืองจะมีท่าทีหรือนโยบายอย่างไร


ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งประชาชนต้องจับและทวงถามเพื่อให้เกิดความชัดเจน ก่อนที่ทุกคนจะไปใช้สิทธิของตนเองในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นี้

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net