ประชาไท - 24 ม.ค.49 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แถลงข่าวเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับสหรัฐที่ดำเนินมา 6 รอบแล้วเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการศึกษาผลกระทบทั้งใดด้านบวกและลบอย่างครบถ้วน ปรับเปลี่ยนกติกาการเจรจาให้เป็นธรรม เสมอภาค และยกเลิกข้อสัญญาการรักษาคามลับในการเจรจากับสหรัฐที่ไทยถือปฏิบัติมาตั้งแต่รอบ1 เพื่อเปิดเผยข้อเรียกร้องทั้งหมดต่อสาธารณะ แล้วให้ประชาชน รัฐสภามีบทบาทและส่วนร่วมในการเจรจาเต็มที่
นอกจากนี้ควรให้ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการทำเอฟทีเอมีส่วนร่วมตัดสินใจลงนามโดยการออกเสียงประชามติ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 214 ที่สำคัญ การผูกพันตามสนธิสัญญาจำเป็นต้องผ่าน "กระบวนการให้สัตยาบรรณ" โดยต้องไม่กำหนดเวลาในการให้สัตยาบรรณ เพื่อเปิดให้องค์กรรัฐสภา ประชาชน และรัฐบาลมีโอกาสและมีส่วนร่วมในการพิจารณารายละเอียดของข้อตกลงอย่างรอบคอบ
"การแสดงเจตนาผูกพันโดยรัฐ ทำได้หลายวิธี ทั้งการลงนาม การให้ความเห็นชอบ การให้สัตยาบรรณ เอฟทีเอฉบับที่แล้วผูกพันโดยการลงนามก็เลยผูกพันทันที ตอนนี้เราเลยเรียกร้องว่าอย่าผูกพันโดยการลงนาม ที่ผ่านมาแม้เราจะดูมากี่ร่าง แต่ก็ไม่ใช่ร่างที่ผูกพันไทย การให้สัตยาบรรณจะทำให้เราดูร่างทั้งหมดได้โดยชอบ" รศ.ลาวัลย์ ถนัดศิลปะกุล อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชกล่าว
นอกจากนี้ กสม. ยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจติดตามตรวจสอบการทำเอฟทีเอ โดยมีนักวิชาการสาขาต่างๆ เข้าร่วม โดยมีศ.
ในการแถลงข่าวดังกล่าว ผู้สื่อข่าวได้ซักถามกันมากว่า การแถลงข่าวของคณะกรรมการสิทธิครั้งนี้ช้าเกินไปหรือไม่ เหตุใดจึงไม่ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเหมือนกลุ่มส.ว. ซึ่ง ศ.
"การบังคับจริงๆ อยู่ที่ประชาชน ผมไม่อยากให้ฝากความหวังไว้ที่องค์กรต่างๆ เพียงอย่างเดียว ทำยังไงถึงจะช่วยกันทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้มากที่สุด และมีส่วนร่วมมากที่สุด" ศ.เสน่ห์กล่าว
รศ.ดร.จิราพร ลิ้มปานนท์ ประธานหน่วยปฏิบัติการวิจัยเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเสริมในประเด็นสิทธิบัตรยาว่า ที่ผ่านมาสหรัฐจะอ้างว่าไทยทำผิดข้อตกลงทริปส์ มาตรา 39.3 ที่ไม่คุ้มครองความลับการทดลองยา ทั้งๆ ที่สหรัฐเคยฟ้องร้องอาร์เจนตินาว่าผิดมาตรานี้กับดับบลิวทีโอและแพ้ไปแล้ว
รศ.ดร.จิราพร กล่าวต่อว่า การคุ้มครองความลับการทดลองยาจะมีผลให้บริษัทอื่นๆ ไม่สามารถผลิตยาตัวเดียวกันในราคาต่ำกว่าได้ ซึ่งหากเกิดปัญหาสาธารณสุขขึ้นมาจะลำบากมาก เรื่องนี้เคยมีคนเสนอทางออกว่าให้ทำแบบโมรอคโค ที่มีจดหมายแนบท้ายเอฟทีเอที่ทำกับสหรัฐ แต่ขณะเดียวกันนักวิชาการจำนวนมากก็ระบุว่าจดหมายแนบมีปัญหาสถานะทางกฎหมาย ไม่มีสถานะเทียบเท่าสนธิสัญญา
"มีประเทศหนึ่งที่รอดมาได้คือ จอร์แดน ที่เอฟทีเอที่ทำกับสหรัฐเขียนเมหือนกับทริปต์ข้อ 39.3 เหมือนกับลอกมา เราเลยเรียกร้องว่าถึงที่สุดแล้วเอาแบบจอร์แดนได้ไหม แต่ก็ไม่ใช่เอาของเขามาทั้งหมด เพราะศักยภาพต่างๆ ไม่เท่ากัน" รศ.ดร.จิราพรกล่าว
ขณะที่หัวหน้าคณะเจราจาเอฟทีเอกับสหรัฐฝ่ายไทยคนใหม่นั้น มีการเก็งกันว่าน่าจะเป็น นาย
แหล่งข่าวกล่าวว่า ขณะนี้คนที่มีชื่อเป็นตัวเก็งทั้ง 3 คน มีแนวโน้มว่านายปานปรีย์ และนายสุวิทย์จะปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งนี้ โดยนายปานปรีย์เปรยกับคนใกล้ชิดว่ายังมีงานต้องทำอีกมาก ทั้งในตำแหน่งผู้แทนการค้า และประธานคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า (อคส.) ขณะที่นายสุวิทย์ ระบุว่าคนที่เหมาะสมน่าจะเป็นนายอุตตม เป็นการกันตัวเองออกในที แต่นายอุตตมยังไม่ได้แสดงการยอมรับหรือปฏิเสธใดๆ ออกมา บอกเดียวเพียงว่าเป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชาที่จะเห็นควร
ขณะที่ในวันที่ 24 ม.ค.จะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายเพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐบาล โดยมีนาย
ในวันที่ 26 ม.ค. เวลา 09.30-12.00 น. ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
พรรคชาติไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดเสวนาสาธารณะเรื่อง "การเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี(FTA) ไทย-อเมริกา ใครได้ ใครเสีย" เพื่อระดมความเห็นจากทุกฝ่าย โดยหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน 3 พรรคจะไปร่วมด้วย นักวิชาการ ตัวแทนภาครัฐ และผู้แทนสถานทูตสหรัฐ
จากนั้นในวันที่ 2 ก.พ.นี้ เวลา 13.00 น.ที่สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะมีการจัดสัมมนา โฟกัสกรุ๊ป โดยเชิญผู้เชี่ยวชาญ และผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐฯ มาสัมมนาด้วย รวมทั้งประเมินผลของข้อตกลงที่เกิดขึ้นแล้วบางส่วน หรือความเข้าใจ หรือความตกลงบางส่วนที่เกิดขึ้นในการเจรจาเอฟทีเอที่จ.เชียงใหม่ ซึ่งสิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 13ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า มีประเด็น และมีสาระ มีสิ่งที่ควรเตรียมแนวทาง และหาทางออกอย่างไร ก่อนจัดทำข้อเสนอได้อย่างดีให้แก่ครม.
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)