ลำดับเหตุการณ์สำคัญร่าง พ.ร.บ.ป่าชุมชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||
|
ที่มาและเหตุผลของกฎหมายป่าชุมชน
1.ทำไมต้องมีกฎหมายป่าชุมชน
แม้แผนการจัดการป่าชุมชน ที่แต่ละชุมชนสรรค์สร้างขึ้นมาตามวิถีประเพณี หรือตามความจำเป็นเพื่อรักษาป่า ซึ่งประกอบด้วยกฎเกณฑ์ วิธีการใช้ และกลไกการควบคุมบังคับเหล่านี้ จะใช้กับคนในชุมชนได้ก็ตาม แต่กฎเกณฑ์ดังกล่าวไม่ได้รับการยอมรับทางกฎหมาย ชาวบ้านจึงไม่สามารถใช้บังคับกับคนภายนอกได้ ในขณะที่ปัญหาการทำลายป่าของชาวบ้าน มักจะมาจากกลุ่มทุน โครงการพัฒนาต่างๆ ทำให้ชุมชนไม่สามารถรักษาป่าไว้ได้ เมื่อฐานทรัพยากรถูกทำลาย หรือชาวบ้านถูกกีดกันไม่ให้มีสิทธิจัดการป่า เกิดปัญหาความยากจนในชุมชน โดยเฉพาะในหมู่คนจนที่ต้องพึ่งพาป่าเพื่อยังชีพ ดังนั้นเอง การที่จะสนับสนุนให้ชุมชนมีความเข้มแข็งในการจัดการป่าได้ ทางหนึ่งก็คือ การมีกฎหมายรองรับสิทธิการจัดการป่าของชาวบ้าน ให้กฎเกณฑ์ของชาวบ้านมีสถานะทางกฎหมาย โดยกฎหมายดังกล่าวจะต้องสร้างกลไกให้เจ้าหน้าที่รัฐ และภาคสังคมเข้าไปมีส่วนร่วมสนับสนุน ถ่วงดุล ตรวจสอบ การจัดการป่าของชาวบ้านให้ประสบความสำเร็จให้ได้ และนี่ก็คือ ที่มาของความต้องการชาวบ้านผู้รักษาป่าจากทั่วประเทศที่จะให้รัฐออกกฎหมายป่าชุมชน
2.ที่มาของร่างกฎหมายป่าชุมชนฉบับประชาชน
การรณรงค์ประเด็นป่าชุมชนในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นเมื่อเกิดกรณีที่ชาวบ้านบ้าน ห้วยแก้ว กิ่งอำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่ คัดค้านการเช่าป่าโดยนายทุน ในปี พ.ศ.2532 ชาว บ้านเรียกร้องให้กรมป่าไม้เพิกถอนการให้เช่าพื้นที่ป่าและมอบป่าผืนนั้นให้ ชาวบ้านจัดการในรูปแบบของป่าชุมชน กรณีป่าห้วยแก้วถูกเผยแพร่ออกไปในวงกว้างทำให้ชาวบ้านในภาคเหนือตื่นตัวที่ จะมีส่วนร่วมในการจัดการป่ามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ชาวบ้านได้เคยต่อสู้คัดค้านการสัมปทานทำไม้มา ก่อน ในขณะที่องค์กรพัฒนาเอกชนและนักวิชาการได้ให้ความสนใจต่อการสำรวจและศึกษาข้อมูลการจัดการป่าชุมชนซึ่งพบว่าในขณะนั้นมีถึง 140 ป่าชุมชนในภาคเหนือ นำไปสู่การรณรงค์ให้รัฐมีนโยบายสนับสนุนป่าชุมชน เพื่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการป่าอย่างยั่งยืน
การรณรงค์เรื่องป่าชุมชนเข้มข้นขึ้นระหว่าง พ.ศ.2532-2536 เมื่อปรากฏความล้มเหลวการอพยพคนออกจากเขตป่าอนุรักษ์หลายกรณี เช่น
- การอพยพชาวบ้านในอำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร ปี 2528
- การอพยพชาวบ้านจากอุทยานแห่งชาติดอยหลวงไปสู่พื้นที่รองรับบ้านผาช่อ จังหวัดลำปาง ในปี 2537
- โครงการจัดสรรที่ดินทำกินในเขตป่าสงวนที่เสื่อมโทรมให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ (คจก.) ในปี 2535 เป็นต้น
ประกอบกับสังคมไทยได้ให้ความสนใจต่อปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากยิ่ง ขึ้นและเริ่มมีการวิพากษ์วิจารณ์การจัดการป่าของกรมป่าไม้ซึ่งล้มเหลวมาโดยตลอด ต่อมากรมป่าไม้ได้ยกร่างกฎหมายป่าชุมชนขึ้นในปี พ.ศ.2534 และปรับปรุงเสร็จในปี พ.ศ.2536 เป็นร่างกฎหมายที่สนับสนุนการปลูกป่าเศรษฐกิจ และอนุญาตให้ชุมชนมีสิทธิใช้สอยป่าเฉพาะป่าที่ปลูกขึ้นเท่านั้น องค์กรประชาชนปฏิเสธร่างกฎหมายของดังกล่าวเพราะเห็นว่ายังให้อำนาจแก่กรมป่าไม้อย่างเบ็ดเสร็จอยู่นั่นเอง การสนับสนุนการปลูกป่าเพื่อเศรษฐกิจยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เพราะเจตนารมณ์อันแท้จริงของการมีป่าชุมชนเป็นไปเพื่อการอนุรักษ์ มิใช่การแสวงหาประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ
ความขัดแย้งในการจัดการป่าซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อรัฐต้องการที่จะอนุรักษ์ป่าโดยทำให้เป็นเขตป่าปลอดมนุษย์ซึ่งต้องอพยพชุมชนออกจากเขตป่าอนุรักษ์ตามกฎหมาย ในแง่นี้รัฐมีความชอบธรรมในการดำเนินการมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อเป้าหมายของการอพยพเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยต่อทรัพยากรและความมั่นคงของประเทศอยู่แต่เดิมแล้ว ขณะที่กลุ่มองค์กรอนุรักษ์และชนชั้นกลางในสังคมส่วนหนึ่งคิดเห็นเช่นเดียวกับรัฐที่มองว่าพื้นที่สูงเป็นเขต "ป่าต้นน้ำ" ที่สำคัญ ควรปกป้องรักษาไว้ให้เป็นพื้นที่สีเขียวปราศจากการถูกรบกวนทั้งสิ้น
ต่อมานักวิชาการ อพช.และชาวบ้านในเครือข่ายป่าชุมชนภาคเหนือได้ร่วมกันยกร่างกฎหมายป่าชุมชนฉบับประชาชนขึ้น โดยอิงประสบการณ์การจัดการป่าชุมชนจากทุกภาคประกอบกับการศึกษาวิจัยเรื่อง "ป่าชุมชนในประเทศไทย : แนวทางการพัฒนา" (เสน่ห์ จามริก และยศ สันตสมบัติ , 2536) กระบวนการร่างและผลักดันกฎหมายทำให้มีการประสานงานระหว่างเครือข่ายชาวบ้านในระดับ ประเทศ ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายป่าชุมชนภาคเหนือ สมัชชาชาวนาชาวไร่ภาคอีสาน เครือข่ายป่าชุมชนภาคใต้ สมัชชาคนจน สมัชชาป่าชุมชนภาคเหนือ สมาพันธ์ประมงพื้นบ้านภาคใต้ และสมัชชาชนเผ่าแห่งประเทศไทย เครือข่ายชาวบ้านต้องการ พ.ร.บ.ป่าชุมชนด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น มีชาวบ้านถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทั้งๆ ที่ใช้ประโยชน์จากป่าตามกฎระเบียบของชุมชน ชาวบ้านอยากมีอำนาจจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้ในป่าชุมชน และต้องการให้กฎระเบียบการดูแลรักษาป่าของพวกเขาได้รับการยอมรับตามกฎหมาย
ความหลากหลายทางความคิดของคนในสังคมต่อ "ป่าชุมชน" นำไปสู่การประสานงานระหว่างหลายฝ่ายเพื่อยกร่างกฎหมายป่าชุมชนร่วมกันอย่าง เป็นทางการระหว่างวันที่ 7-9 เมษายน พ.ศ.2539 ที่ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเรียกว่าร่างพ.ร.บ.ป่าชุมชนฉบับ กนภ. (คณะกรรมการนโยบายกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาคและท้องถิ่น)
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นได้มีการโต้แย้งทางความคิดในเวทีสาธารณะ ระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยที่จะให้มีป่าชุมชนในเขตป่าอนุรักษ์ ข้อกังขายังอยู่ที่ความไม่เชื่อมั่น และการมีอคติต่อกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ตลอดจนการยึดหลักความรู้ทางนิเวศวิทยากระแสหลัก แต่ละฝ่ายได้เคลื่อนไหวโดยการยื่นหนังสือร้องเรียนต่อรัฐบาล ซึ่งนำไปสู่การมีเวทีรับฟังความคิดเห็นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการประชาพิจารณ์ในปี พ.ศ.2540 ตามด้วยการปรับปรุงแก้ไขร่างกฎหมายร่วมกันระหว่างองค์กรอนุรักษ์ อพช.เครือข่ายชาวบ้าน และภาครัฐ ล่าสุดในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ.2543 ฝ่ายเครือข่ายองค์กรชาวบ้านได้เสนอร่างกฎหมายป่าชุมชนฉบับประชาชน โดยการเข้าชื่อ 50,000 รายชื่อเสนอต่อรัฐสภา ตามมาตรา 170 แห่งรัฐธรรมนูญ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)