Skip to main content
sharethis

เวลา 14.00 น. วันที่ 21 ต.ค. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายทองหล่อ โฉมงาม ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก จำนวน 33 ไร่ มูลค่า 772 ล้านบาทเศษ ที่ อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ร่วมกันเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดีและเป็นเจ้าพนักงาน และผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใด เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นฯ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พ.ศ.2542 ม.4 , 100 และ 122 ประมวลกฎหมายอาญา ม.33, 83, 86, 91, 152 และ 157 ซึ่งท้ายคำฟ้อง อัยการสูงสุด ขอศาลมีคำสั่งให้ยึดที่ดินและเงินที่ซื้อที่ดิน อันเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิดให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย โดยมีคำพิพากษาดังนี้


 







หมายเหตุ เป็นเนื้อหาจากคำพิพากษาบางส่วน


 


โดยศาลพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่จำเลยที่ 1 -2 โต้แย้งว่า ประกาศ คณะปฏิรูปการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 30 เรื่องการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ( คตส.) ลงวันที่ 30 ก.ย.2549 ข้อ 2 และข้อ 5 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 , 100 และ 122 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2540 , รัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี 2549 , รัฐธรรมนูญปี 2550 ศาลเห็นว่า เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 5/2551 แล้วว่า ประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ไม่ขัดหรือแย้งต่อ รธน.ปี 2550 และมีคำวินิจฉัยที่ 11/ 2551 ว่า ม.4 , 100 และ ม.122 ว่า ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐบธรรม 2550 ม.26-29 ม.39 และ 43 เช่นกัน องค์คณะจึงมีมติเอกฉันท์ว่าข้อต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น


 


มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่า พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ถูกยกเลิกโดยประกาศ คปค.ฉบับที่ 3 หรือไม่ซึ่งที่จำเลยทั้งสองโต้แย้งว่าเมื่อประกาศ คปค.ฉบับที่ 3 ให้รัฐธรรมนูญ 2540 สิ้นสุดลงวันที่ 19 ก.ย. 2549 มีผลทำให้ พ.ร.บ.ดังกล่าวสิ้นสุดลงตามไปด้วย โดยต่อมาวันที่ 22 ก.ย. 2549 คปค.ได้ออกประกาศ คปค.ฉบับที่ 19 ให้ พ.ร.บ.ดังกล่าวใช้บังคับต่อไป แต่การใช้บังคับก็ต้องเป็นเฉพาะกรณีที่เป็นความผิดที่เกิดขึ้นตั่งแต่วันที่ 22 ก.ย.2549 เป็นต้นไปเท่านั้น ศาลเห็นว่า การทำรัฐประหารเป็นการยึดอำนาจบริหาร นิติบัญญัติและตุลาการมารวมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือคณะหนึ่งคณะใดใช้อำนาจนั้น แต่ไม่ได้เป็นการประสงค์ล้มล้างการใช้อำนาจแต่อย่างใด โดยเมื่อ คปค.ยึดอำนาจแล้วออกประกาศ คปค.ฉบับที่ 3 ที่ให้รัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง แต่ศาลอื่นยังคงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีได้ จึงแสดงให้เห็นว่า กฎหมายที่ยังใช้อยู่ในขณะนั้นไม่ได้ถูกยกเลิกไปด้วย ดังนั้นแม้ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ จะเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งตราขึ้นใช้โดยชอบแล้ว ดังนั้นย่อมมีสถานภาพเทียบเท่ากับกฎหมายทั่วไป ถือว่าไม่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญและยังสามารถใช้บังคับใช้ได้ โดยไม่เกี่ยวว่ารัฐธรรมนูญจะมีอยู่หรือไม่ ดังนั้นการสิ้นสุดของรัฐธรรมนูญ 2540 จึงไม่มีผลทำให้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลงด้วยแต่อย่างใด ส่วนที่ คปค.ออกประกาศฉบับที่ 19 ให้ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ใช้บังคับต่อไปก็เป็นการยืนยันว่ากฎหมายดังกล่าวไม่ได้ถูกยกเลิก องค์คณะจึงมีมติเอกฉันท์ว่า พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ยังมีผลบังคับใช้อยู่ไม่ได้ถูกยกเลิกโดยประกาศ คปค.ฉบับที่ 3 ข้อโต้แย้งของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น


 


ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่า คตส.มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบไต่สวน และศาลฎีกาฯมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. 2542 ม.100 และ 122 จำเลยทั้งสองโต้แย้งว่ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงินไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่ได้มีการร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมาย คตส.ไม่ใช่พนักงานสอบสวนตาม ป.อาญา และไม่มีอำนาจสอบสวนตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. และจำเลยที่ 2 ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ศาลเห็นว่าก่อนการยึดอำนาจ ในการดำเนินคดีอาญาต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ม.19 ที่กำหนดให้ ป.ป.ช. มีอำนาจหน้าที่ไต่สวนข้อเท็จจริงสรุปสำนวนส่งอัยการสูงสุดเพื่อฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่หลังการยึดอำนาจแล้วมีประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 เรื่อง คตส. แต่งตั้ง คตส. ซึ่งข้อ 5 ของประกาศดังกล่าวให้ คตส.มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบสัญญา สัญญาสัมปทาน การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐที่เห็นว่าอาจมิชอบด้วยกฎหมายหรือน่าจะมีการใช้อำนาจหน้าที่ของรัฐประพฤติมิชอบ หรือการตรวจสอบการหลีกเลี่ยงภาษีอากรโดยให้ คตส.มีอำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ และข้อ 9 ประกาศดังกล่าวกำหนดว่ากรณีที่ตรวจสอบแล้ว คตส.มีมติว่ามีบุคคลกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการให้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดดำเนินการต่อไปตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช.ฯ และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 คือการยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ ดังนั้นสถานภาพของ คตส.จึงมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบตามที่เป็นไปตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 เรื่อง คตส.ซึ่งไม่ได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ ซึ่งแม้ คตส.ไม่ใช้พนักงานสอบสวนตาม ป.วิอาญา แต่ก็มีอำนาจสอบสวนได้ตามกฎหมายส่วนการไต่สวนจะเป็นไปโดยชอบหรือไม่ ตามฟ้องโจทก์ระบุว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำผิดในการทำสัญญาจะซื้อจะขายกับกองทุนฯ โดยโจทก์เห็นว่าเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ม.100 ซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการที่จะป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดในการขัดประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ของรัฐ โดยการทำสัญญากับรัฐ ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังอาจเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ของจำเลยที่ 1 การกระทำดังกล่าวจึงอยู่ในอำนาจที่ คตส.จะตรวจสอบตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ และประกาศ คปค.ฉบับที่ 3 ข้อ 5 และตามฟ้องโจทก์ยังระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตาม ป.อาญา ม. 152 และ 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ม.100 ซึ่งจำเลยที่ 2 แม้จะไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐแต่เป็นคู่สมรส ศาลเห็นว่า ประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 เรื่อง คตส.ข้อ 5 วรรคท้าย ให้ คตส.มีอำนาจตรวจสอบเรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการของหน่วยงานอื่นใด และศาลได้ความจากการไต่สวนนายวีระ สมความคิด ผู้ร้องทุกข์กับ คตส. พยานโจทก์ว่า เคยร้องทุกข์เรื่องนี้กับกองบังคับการกองปราบปรามแต่ไม่เป็นผล เมื่อ คปค.ทำการยึดอำนาจและแต่งตั้ง คตส. พยานจึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษกับ คตส. ขณะที่นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. พยานโจทก์เบิกความว่า คตส.ดำเนินการเรื่องนี้ตามที่มีผู้ร้องเรียนมาซึ่งการดำเนินการของ คตส.เป็นการดำเนินการตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ข้อ 5 ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีผู้เสียหายมาร้องทุกข์ตามที่จำเลยทั้งสองโต้แย้ง ซึ่งหลังจากการไต่สวนแล้ว คตส.เห็นว่ามีมูลจึงแจ้งให้ผู้เสียหายมาร้องทุกข์ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. ม.66 และทำหนังสือถึงกระทรวงการคลัง ต่อมากองทุนฯมีหนังสือกล่าวโทษแจ้งไปยัง คตส. ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของนายไพโรจน์ เฮงสกุล อดีตผู้จัดการกองทุนฯ เบิกความว่า การซื้อที่ดินอาจทำให้กองทุนได้รับความเสียหายจึงมีมติให้ยื่นคำร้องทุกข์กล่าวโทษกับ คตส.โดยเห็นว่าหากมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ม.100 อาจทำให้สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโฆฆะ ที่จำเลยทั้งสองอ้างว่า กองทุนฯไม่ได้รับความเสียหายนั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายชาญชัย บุญฤทธิ์ไชยศรี ผอ.อาวุโสฝ่ายกฎหมายและคดี ธปท. ว่าเป็นเพียงความเห็นของพยาน ว่าเป็นการซื้อขายโดยเป็นธรรมและเปิดเผยและกองทุนฯได้กำไร ซึ่งเป็นคนละกรณีกับการที่กองทุนฯ เป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง กองทุนฯจึงมีสิทธิยื่นร้องทุกข์ องค์คณะจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า คตส.มีอำนาจตรวจสอบดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสองและมีการร้องทุกข์โดยชอบถูกต้องตามกฎหมาย โดยศาลฎีกาฯมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 ม.9 (1) และ (2)


 


คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำผิดฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ม. 100 อนุ 1 หรือไม่ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่ากองทุนฯไม่ใช่ผู้เสียหาย และไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจกำกับควบคุมดูแลกองทุนฯ และไม่ใช่เรื่องขัดกันของประโยชน์ส่วนบุคคลกับผลประโยชน์ส่วนรวม ศาลเห็นว่าที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่ากองทุนฯไม่ใช่หน่วยงานของรัฐตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ม.100 นั้นศาลเห็นว่า พ.ร.บ.ดังกล่าว ม.4 ไม่ได้บัญญัติคำว่าหน่วยงานของรัฐไว้เป็นการเฉพาะ แต่ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ (ฮั้วประมูล) พ.ศ.2542 ม.3 ได้บัญญัติว่าหน่วยงานรัฐ คือ กระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นใดที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐดังนั้นซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์สอดคล้องกับพ.ร.บ.ว่าด้วยป.ป.ช.ฯในการป้องกันการใช้อำนาจรัฐกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่และกฎหมายทั้งสองฉบับยังตราขึ้นในปีเดียวกัน ดังนั้นคำว่าหน่วยงานของรัฐจึงมีความหมายเป็นไปทำนองเดียวกัน ซึ่งจากการไต่สวนได้ความว่ากองทุนฯถูกตั้งขึ้นโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตาม พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2485 ม.29 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูสถาบันการเงิน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีอำนาจดูแลและพิจารณาส่งเงินเข้าสนับสนุนเป็นครั้งๆ ดังนั้นองค์คณะจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่ากองทุนฯเป็นหน่วยงานของรัฐตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ม. 100 อนุ 1


 


ที่จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่กำกับควบคุมดูแลกองทุนฯนั้น ศาลเห็นว่า พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ มีเจตนาป้องกันและปราบปรามเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์จากหน่วยงานที่อยู่ในกำกับดูแลของตน เพราะการมีอำนาจอาจส่งผลกระทบต่อการสั่งการและอาจก่อให้เกิดผลประโยชน์ขัดกันระหว่างส่วนบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวม และก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ได้ โดย พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ได้ใช้บังคับกับตำแหน่งราชการทั่วไป แต่ใช้บังคับกับผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการระดับสูง โดยขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินร่วมกับรัฐมนตรีตามที่ได้แถลงนโยบายไว้ต่อรัฐสภา และตาม พ.ร.บ.บริหารระเบียบราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 นายกรัฐมนตรีมีอำนาจบริหารราชการ 3 ส่วน คือ ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น โดย ม. 11 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล มีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปทั้ง 3 ส่วนราชการ มีอำนาจบังคับบัญชาข้าราชการทั้งในกระทรวง ทบวง กรม เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย และ ม.40 กำหนดให้แต่ละกระทรวงมีรัฐมนตรีกำหนดนโยบายและเป้าหมายการดำเนินงานของกระทรวงให้สอดคล้องกับนโยบายที่ ครม.แถลงต่อรัฐสภา จึงมีอำนาจการบริหารเหนืออำนาจข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ขณะที่ ธปท.เป็นนิติบุคคล ตาม พ.ร.บ.ธปท.ฯ โดยกองทุนฯ ก่อตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ซึ่งมีวัตถุประสงค์ฟื้นฟูสถาบันการเงินเหมือน ธปท. กองทุนฯจึงเป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งแม้กรรมการจัดการกองทุน จะมีอิสระ แต่ก็มีผู้ว่าฯ ธปท.เป็นประธาน และปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานล้วนมีความเกี่ยวข้องที่จะให้คุณให้โทษได้ โดย รมว.คลัง ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของ ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล อดีตผู้ว่า ธปท.และอดีต รมว.คลัง เบิกความว่า กองทุนมีหนี้จำนวนมาก ซึ่งในยุครัฐบาลของนายชวน หลีกภัย นั้น นายธารินทร์ นิมมาเหมินท์ รมว.คลังขณะนั้น ได้มีการเสนอต่อรัฐบาลเพื่อขอออกพันธบัตรจำนวน 5 แสนล้านบาท เพื่อล้างหนี้ให้กองทุนฯ นอกจากนึ้พยานยังเคยเสนอรัฐบาลออกพันธบัตรจำนวน 7.8 แสนล้านบาท อีกด้วย ขณะที่ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เบิกความว่า เงินที่สนับสนุนกองทุนฯได้มาจากการอุดหนุนของรัฐบาล โดย รมว.คลัง มีอำนาจเข้ามากำกับดูแลผ่านปลัดกระทรวงการคลังที่เป็นรองประธานกรรมการจัดการกองทุนฯ โดยนายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง นายไพโรจน์ เฮงสกุล นางสว่างจิตต์ จัยวัฒน์ อดีต ผจก.กองทุน พยานโจทก์ต่างก็เบิกความไปในทำนองเดียวกันว่า กองทุนฯจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ธปท. และเป็นการตั้งขึ้นเฉพาะกิจเพื่อช่วยเหลือผู้ฝากเงินว่าจะได้รับเงินคืนหากสถาบันการเงินเกิดปัญหาล้มละลาย ซึ่งจากคำเบิกความของพยานโจทก์แสดงให้เห็นว่าในทางปฏิบัติ นายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจกำกับดูแลกองทุนได้โดยผ่าน รมว.คลังตามลำดับชั้น ดังนั้นองค์คณะจึงมีมติ 6 ต่อ 3 ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งมีอำนาจกำกับควบคุมดูแลกองทุนฯ ข้อต่อสู่ของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น


 


มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่าการทำสัญญาซื้อขายของจำเลยที่ 1 เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ม.100 อนุ 1 หรือไม่ เห็นว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวบัญญัติเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่รู้กันอย่างชัดแจงรวมทั้งจำเลยที่ 1 และเหตุที่ต้องมีการตั้งกองทุนฯเกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจ หากปล่อยให้สถาบันการเงินล้มจะทำให้ประชาชนเดือดร้อน เศรษฐกิจประเทศชาติเสียหาย จึงจำเป็นต้องนำเงินส่วนหนึ่งไปช่วยเหลือ อาทิ นำเงินไปซื้อที่ดินหรือทรัพย์สินซึ่งมีมูลค่าสูงเกินกว่าความเป็นจริงเพื่อให้สถาบันการเงินได้กำไร นำเงินไปชำระหนี้ ให้ดำรงอยู่ได้ ซึ่งที่ดินพิพาทคดีนี้กองทุนฯ ซื้อมาจากบ.เงินทุนหลักทรัพย์เอราวัณ ทรัสต์ จำนวน 13 โฉนด เนื้อที่ 35 ไร่เศษ มูลค่า 2,140 ล้านบาทเศษ และอีกหนึ่งแปลงซึ่งอยู่บริเวณศูนย์วัฒนธรรมฯ มูลค่า 2,749 ล้านบาทเศษ เนื่องจากเกิดวิกฤติสถาบันการเงินปี 2538 ต่อมาปี 2544 กองทุนฯ ได้มีการปรับปรุงบัญชีเพื่อปรับมูลค่าหนี้ให้ลดน้อยลง เพื่อให้เกิดสภาพคล่องโดยปรับลดราคาที่ดินเหลือ 700 กว่าล้านบาท แต่การที่กองทุนฯมีทรัพย์สินจำนวนมาก หากขายได้ราคาสูงมากเท่าใด กองทุนฯก็ย่อมขาดทุนน้อยลง รัฐเสียหายน้อยลง โดยต่อมากองทุนฯ นำที่ดินออกประมูลทางอินเตอร์เนตตั้งราคาขั้นต่ำ 870 ล้านบาท กำหนดวางมัดจำ 10 ล้าน มีผู้เสนอตัวแต่ถึงเวลาไม่มีการเสนอราคาจึงเลิกประมูลเปิดประมูลใหม่โดยไม่กำหนดราคาขั้นต่ำ และเพิ่มการวางมัดจำเป็น 100 ล้านบาท อันเป็นการกีดกันทำให้มีผู้เข้าประมูลน้อยลง จำเลยที่ 2 เข้าร่วมประมูลด้วย แม้ว่าจะมีอีก 2 บริษัท คือ บ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ และบ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนต์ ร่วมเสนอแต่รู้ว่าต้องแข่งขันกับภริยานายกรัฐมนตรี จึงไม่กล้าสู้ราคา ซึ่งแม้กองทุนฯ จะเห็นว่าราคาที่จำเลยที่ 2 เสนอ 772 ล้านบาท เป็นราคาสูงสุด แต่ก็ยังต่ำกว่าราคาขั้นต่ำในการประมูลครั้งแรกซึ่งอาจจะขายได้ราคาที่สูงและเหมาะสมกว่า อีกทั้งขณะนั้นจำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรีมีอำนาจบารมีเหนือรัฐมนตรีและมีอำนาจทางการเมืองสูงอีกทั้งฐานะการเงินมั่งคั่ง ตามหลักธรรมาภิบาลนายกรัฐมนตรี ภริยา หรือบุตรไม่สมควรเข้าไปประมูลซื้อเพราะการซื้อได้ราคาต่ำก็เป็นผลทำให้กองทุนฯ มีรายได้น้อยลง ขณะที่จำเลยที่ 2 มีผู้รู้จักจำนวนมาก ประกอบกับข้าราชการมีค่านิยมจำนนต่อผู้มีบารมีสูง นอกจากนั้นยังอาจให้คุณให้โทษทางราชการได้


 


เมื่อปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้ให้บัตรประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีลงนามยินยอมให้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาซื้อขายที่ดินย่อมถือได้ว่าเป็นการเข้าทำสัญญาด้วยตัวเอง ตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2542 ม. 100 (1) วรรคสาม ที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าการลงชื่อยินยอมเป็นเพียงทำตามระเบียบราชการ แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นได้ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นต่อการซื้อขาย องค์คณะจึงมีมติ 5 ต่อ 4 เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. ม. 100 (1)วรรคสาม และต้องรับโทษตามม.122 ขอต่อสู้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น


 


ส่วนจำเลยที่ 2 องค์คณะมีมติ 7 ต่อ 2 เห็นว่า ไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. ม.100 (1) วรรคสาม ไม่ต้องรับโทษตามม.122 เพราะ พ.ร.บ.ป.ป.ช.ม. 100 ไม่ได้กำหนดบทลงโทษสำหรับคู่สมรสที่กระทำความผิด มีแต่บทลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงต้องมีการตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดตามหลักกฎหมายอาญาเมื่อมีกฎหมายให้ลงโทษศาลจึงไม่อาจลงโทษได้


 


สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาม. 152 ,157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานของรัฐและผู้สนับสนุนเข้ามีส่วนได้เสียกับหน่วยงานของรัฐเพื่อประโยชน์ตน องค์คณะ 8 ต่อ 1 เห็นว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่มีความผิด เพราะการกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานของรัฐที่ดูแลกองทุนฯ แต่จำเลยได้ดำเนินการในฐานะคู่สมรสของจำเลยที่ 2 ให้ความยอมทำสัญญาซื้อขายที่ดินอันผิดต่อ พ.ร.บ.ป.ป.ช. จึงไม่ผิดต่อประมวลกฎหมายอาญาม. 152 ม.157เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิด จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน


 


ส่วนที่โจทก์ขอให้ริบทรัพย์สินซึ่งเป็นที่ดินและเงินซื้อที่ดินจำนวน 772 ล้านบาท องค์คณะมีมติ 7 ต่อ 2 เห็นว่า ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง จึงมิใช่ทรัพย์อันพึงริบตามประมวลฎหมายอาญาม. 33 (1) (2) ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นนายกรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายให้บริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการและประชาชน แต่จำเลยที่ 1 กลับฝ่าฝืนกฎหมายทั้งที่เป็นหัวหน้ารัฐบาล ต้องกระทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดี ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมืองให้เหมาะสมกับที่ได้รับความไว้วางใจในตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญยิ่งจึงไม่สมควรรอการลงโทษ


 


พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. ม. 100(1)วรรคสาม และม. 122 วรรคหนึ่งให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ส่วนความผิดฐานอื่นและคำขออื่นให้ยกฟ้อง เนื่องจากจำเลยที่ 1 หลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาจึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับจำเลยที่ 1 เพื่อมาปฏิบัติตามคำพิพากษาต่อไป ส่วนจำเลยที่ 2 พิพากษายกฟ้องจึงให้เพิกถอนหมายจับเฉพาะคดีนี้


กระบวนการต่อไป หากผู้ถูกตัดสินมีความประสงค์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วันตามระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาดังนี้







ระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เปิดช่องให้อุทธรณ์ได้ใน30วัน


อาศัยอำนาจตามมาตรา 278    วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550    ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้ออกระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์การอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในกรณีมีพยานหลักฐานใหม่ซึ่งอาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ ดังต่อไปนี้


 


                    1. พยานหลักฐานใหม่ที่จะยกขึ้นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกานั้นจะต้องเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญและผู้ต้องคำพิพากษาไม่รู้หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ว่า พยานหลักฐานดังกล่าวมีอยู่และจะต้องนำมาแสดงเพื่อประโยชน์ของตน ทั้งหากรับฟังพยานหลักฐานใหม่เช่นว่านั้นแล้วจะทำให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องหรือยกคำร้องได้


                    2.ในกรณีที่มีพยานหลักฐานใหม่ ผู้ต้องคำพิพากษาอาจยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


                    3. การอุทธรณ์ตามระเบียบนี้ให้ยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพร้อมด้วยสำเนา โดยอุทธรณ์จะต้องทำเป็นหนังสือใช้ถ้อยคำสุภาพและอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดดังต่อไปนี้(1) รายละเอียดโดยชัดแจ้งเกี่ยวกับพยานหลักฐานใหม่(2) สาเหตุที่ไม่อาจนำพยานหลักฐานใหม่มาแสดงต่อศาลในชั้นพิจารณา(3) เหตุผลที่ทำให้เชื่อได้ว่าหากรับฟังพยานหลักฐานใหม่เช่นว่านั้นแล้วจะทำให้ข้อเท็จจริงใดเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ(4) ลายมือชื่อของผู้อุทธรณ์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์อุทธรณ์


                    4. เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้รับอุทธรณ์แล้วให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์หรือผู้ร้องทราบเพื่อให้แก้อุทธรณ์ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ ถ้าได้รับคำแก้อุทธรณ์หรือพ้นกำหนดดังกล่าวแล้วแต่ไม่มีคำแก้อุทธรณ์ก็ให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาต่อไป


                    5. ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกผู้พิพากษา 5 คนเป็นองค์คณะทำหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์ที่ได้ยื่นต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามระเบียบนี้ แต่ทั้งนี้องค์คณะผู้พิพากษาดังกล่าวจะต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์ให้องค์คณะที่ได้รับเลือกตามวรรคหนึ่งตกลงกันว่า จะให้ผู้พิพากษาคนใดในองค์คณะทำหน้าที่เป็นเจ้าของสำนวนถ้าผู้พิพากษาคนใดในองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ที่ได้รับมอบหมายไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วยเหตุสุดวิสัยหรือเหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเลือกผู้พิพากษาคนอื่นทำหน้าที่แทนต่อไป


                    ให้องค์คณะผู้พิพากษาเลือกผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหนึ่งคนทำหน้าที่เป็นเลขานุการองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์


                    6. องค์คณะพิจารณาอุทธรณ์มีหน้าที่ทำบันทึกความเห็นสรุปสำนวนเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่า อุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษาเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยระเบียบนี้ ที่จะรับไว้พิจารณาหรือไม่


                    กรณีที่เป็นการจำเป็น องค์คณะพิจารณาอุทธรณ์อาจไต่สวนให้ได้ความจริงอย่างหนึ่งอย่างใดในเรื่องที่เกี่ยวกับอุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษาเสียก่อนก็ได้ ในกรณีที่มีการไต่สวนให้แจ้งวันนัดไต่สวนให้ผู้ต้องคำพิพากษาและโจทก์หรือผู้ร้องทราบล่วงหน้าก่อนวันนัดไม่น้อยกว่า 15 วัน


                    7.เมื่อองค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ได้ทำบันทึกความเห็นสรุปสำนวนเสร็จเรียบร้อยแล้วให้เสนอที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อจัดให้มีการลงมติว่าจะรับอุทธรณ์ไว้พิจารณาหรือไม่ ถ้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติว่า เป็นอุทธรณ์ที่ชอบก็ให้รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา


                    8. เมื่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีมติให้รับอุทธรณ์ไว้พิจารณาแล้ว ให้องค์คณะพิจารณาอุทธรณ์ทำหน้าที่เป็นองค์คณะไต่สวนรวบรวมข้อเท็จจริงเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อพิจารณาและวินิจฉัย


                    ถ้าเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานอื่น อันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาไต่สวนเพิ่มเติม ให้องค์คณะไต่สวนทำการไต่สวนพยานหลักฐานซึ่งอาจรวมทั้งการที่จะเรียกพยานที่ไต่สวนมาแล้วมาไต่สวนใหม่ด้วยโดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอเมื่อองค์คณะไต่สวนได้รวบรวมข้อเท็จจริงแล้วให้ส่งให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาล่วงหน้าก่อนวันลงมติไม่น้อยกว่า15 วัน


                    9.ผู้พิพากษาซึ่งเป็นหรือเคยเป็นองค์คณะในการพิจารณาพิพากษาคดีที่ผู้ต้องคำพิพากษาได้ยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาในเรื่องที่เกี่ยวกับอุทธรณ์ของผู้ต้องคำพิพากษาตามระเบียบนี้


                    10.ในวันลงมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ให้ผู้ต้องคำพิพากษาพร้อมทั้งโจทก์หรือผู้ร้องมายังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


                    ในกรณีผู้อุทธรณ์เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้ได้รับโทษทางอาญา เมื่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ลงมติแล้ว ให้แจ้งผลของการลงมติให้ผู้ต้องคำพิพากษา และโจทก์ทราบในวันเดียวกันกับที่ได้มีมติ


                    ถ้าเป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่มา หากเห็นเป็นการสมควร ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะลงมติโดยโจทก์ไม่อยู่ก็ได้ ในกรณีที่ผู้ต้องคำพิพากษาไม่อยู่โดยไม่มีเหตุสงสัยว่าหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟัง ก็ให้ที่ประชุมใหญ่เลื่อนการประชุมไปจนกว่าผู้ต้องคำ พิพากษาจะมาศาล แต่ถ้ามีเหตุสงสัยว่าผู้ต้องคำพิพากษาหลบหนีหรือจงใจไม่มาฟัง ให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องคำพิพากษา และเมื่อได้ออกหมายจับแล้วยังไม่ได้ตัวผู้ต้องคำพิพากษาภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันออกหมายจับ ก็ให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาลงมติไปได้และถือว่าผู้ต้องคำพิพากษาได้ทราบมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาแล้ว


                    มติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้มีผลเท่ากับเป็นการพิพากษาหรือออกคำสั่ง โดยให้องค์คณะไต่สวนเป็นผู้แจ้งหรืออ่านผลของมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้คู่ความทราบ ส่วนรายละเอียดของมติที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาให้ดำเนินการจัดทำเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งในภายหลัง แต่ทั้งนี้จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วันนับแต่วันลงมติ


                    ในกรณีอื่น ถ้าคู่ความทุกฝ่ายไม่มาศาล ในวันลงมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะให้งดการแจ้งหรืออ่านผลมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาก็ได้ ให้ผู้พิพากษาประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา มีอำนาจออกหมายหรือคำสั่งใด ๆ ตามที่เห็นสมควรเพื่อบังคับให้เป็นไปตามมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา


                    11.คำพิพากษาหรือคำสั่งตามมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาให้องค์คณะพิจารณาอุทธรณ์หรือองค์คณะไต่สวนเป็นผู้ลงลายมือชื่อในคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้วแต่กรณีให้ส่งคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ทำให้คดีถึงที่สุดไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา พร้อมทั้งติดประกาศไว้ที่ศาลฎีกา


                    12.ให้นำข้อบังคับการประชุมใหญ่ศาลฎีกา มาใช้บังคับแก่การพิจารณาอุทธรณ์ตามระเบียบนี้โดยอนุโลม


 


ที่มาจาก หนังสือพิมพ์บ้านเมืองและแนวหน้า


 


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net