Skip to main content
sharethis

ประชาไท - 27 ส.ค.550 เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 26 สิงหาคม 2550 ที่ห้องประชุมเช็คดาวุด อัล-ฟาตอนี วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ จัดโครงการรับฟังความคิดเห็นประชาชนเรื่องการฝึกอาชีพ 4 เดือน ผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชน ชุมชนและหลักนิติธรรม มีผู้เข้าร่วมประมาณ 100 คน


 


นางอังคนา นีละไพจิตร ประธานคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ได้กล่าวถึงกรณีการนำตัวผู้ถูกควบคุมตัวหลังครบกำหนอการควบคุมตัวตามกฎอัยการศึก 7 วัน และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 อีก 30 วันแทนที่จะได้กลับบ้าน แต่กลับถูกควบคุมต่อภายใต้โครงการฝึกอาชีพ 4 เดือน ที่ค่ายทหารในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ชุมพรและระนอง เกิดคำถามในหมู่ชาวบ้านว่า ในเมื่อชาวบ้านมีอาชีพอยู่แล้วทำไมต้องไปฝึกอบรมด้วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายครอบครัว เนื่องขาดหัวหน้าครอบครัวที่ทำหน้าที่หารายได้ ขณะที่ภรรยาไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากความหวาดกลัว ซึ่งส่งผลให้ไม่มีเงินส่งลูกไปโรงเรียนได้ด้วย โดยขณะนี้หลายหมู่บ้านในจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีผู้ชาย เนื่องจากถูกควบคุมตัวไปจำนวนมาก รวมทั้งกรณีอื่นๆ อีก ซึ่งเกรงว่าจะขยาย เป็นความรุนแรงมากขึ้นด้วย


 


นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ได้นำเสนอผลจากการรับฟังความคิดเห็นของญาติผู้ถูกควบคุมตัวที่เข้ารับการฝึกอบรมอาชีพในช่วงเช้าในเดียวกันว่า ผู้ถูกควบคุมตัวตามแผนยุทธการพิทักษ์แดนใต้ ขณะนี้มีกว่า 500 คน ซึ่งส่วนหนึ่งถูกควบคุมโดยไม่มีการแจ้งสาเหตุหรือข้อกล่าวให้ทราบ บางครั้งมีการแจ้งให้ญาติทราบว่า จะเอาตัวไปสอบแล้วจะปล่อยในวันเดียวกัน แต่ไม่มีการปล่อย ญาติจึงพยายามตามหาว่าถูกควบคุมที่ไหน


 


นางสาวพรเพ็ญ กล่าวว่า บางกรณี มีการปิดล้อมหมู่บ้านเวลาตี 2 - 3 แล้วเข้าควบคุมตัวเวลาชาวบ้านจะละหมาด บางกรณี มีการปิดล้อมและควบคุมตัวชาวบ้านขณะที่มีงานแต่งงานหรือมีกิจกรรมในมัสยิด ซึ่งมีชาวบ้านจำนวนมากไปร่วม จึงมีชาวบ้านปะปนอยู่หลากหลาย จะเห็นได้ว่า ผู้ถูกควบคุมตัวมีทั้งเยาวชนและผู้สูงอายุ หลายกรณีเกิดขึ้นจากการเรียนตัวมาตรวจกับเครื่องตรวจจับสารตั้งต้นระเบิด ซึ่งชาวบ้านเริ่มไม่แน่ใจในตัวเครื่องดังกล่าว เนื่องจากมีกรณีที่เครื่องดังกล่าวไปจับว่า มาสารระเบิดในเศษผ้าอนามัยของผู้ชายบ้าน ดังนั้นการควบคุมตัวควรดำเนินอย่างรัดกุมที่สุด


 


นางสาวพรเพ็ญ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในการควบคุมตัวมีหลายรายที่เจ้าหน้าที่ห้ามเยี่ยมในช่วง 3 วันแรก ซึ่งสร้างความอึดอัดใจให้ชาวบ้าน เพราะอยากรู้ว่าญาติถูกกควบคุมตัวจริงหรือไม่และที่ไหน และเมื่อครบกำหนดแล้ว แทนที่ญาติจะมารับกลับบ้านได้ กลับถูกส่งไปฝึกอาชีพเสียแล้ว ซึ่งชาวบ้านไม่เข้าใจ เนื่องจาขาดการประชาสัมพันธ์ จากการไปเยี่ยมผู้ที่ผู้ที่เข้ารับการฝึกอาชีพ ทราบว่า ถูกเสนอให้มีทางเลือก 2 ทางเท่านั้น คือ จะเข้ารับการฝึกอาชีพ 4 เดือน หรือไม่ก็จะถูกดำเนินคดี ซึ่งนั่นไม่ใช่ความสมัครใจ


 


ส่วนข้อเรียกร้องของญาติ นางสาวพรเพ็ญ กล่าวว่า ขอให้ปล่อยตัวก่อนเดือนรอมฎอนซึ่งเป็นเดือนถือศีลอดของชาวมุสลิม ซึ่งจะตรงกับเดือนกันยายน 2550 และไม่ต้องเข้ารับการฝึกอบรมอีก โดยในการส่งตัวกับนั้นต้องได้รับคำรับรองด้วยว่า จะไม่ถูกติดตามและจะไม่มีการควบคุมตัวอีกครั้ง


 


นายวีรยุทธ สุขเจริญ รองผู้อำนวนการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) ฝ่ายยุติธรรม กล่าวว่า ในเรื่องการฝึกอบรมอาชีพ 4 เดือนนั้น ตนไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากไม่ได้รับผิดชอบโดยตรง และไม่สามรถเข้าไปดูแลได้ เพราะผู้ถูกควบคุมตัวเหล่านี้ยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่รับที่จะนำข้อเสนอและปัญหาทั้งหมดไปนำเสนอต่อที่ประชุมศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีรองผู้อำนวยการฯ ฝ่ายทหารอยู่ด้วย


 


หลังจากนั้นนางอังคนา ได้อ่านจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนนโยบายพิทักษ์แดนใต้และการควบคุมตัว 4 เดือน อันขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยให้นำกระบวนการยุติธรรมปกติมาใช้กับสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรม มีความโปร่งใส เป็นอิสระและให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนอย่างเสมอภาคโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ


 


จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวลงนามโดยคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ สมาคมสิทธิเสรีภาพประชาชน มูลนิธิผสานวัฒนธรรม สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย และศูนยทนายความมุสลิม


 


 







จดหมายเปิดผนึก


ข้อสังเกตต่อการปฏิบัติการตามแผนยุทธการพิทักษ์แดนใต้และการควบคุมตัว 4 เดือน


การประกาศใช้ "แผนยุทธการพิทักษ์แดนใต้" อันประกอบด้วยแผนยุทธการย่อย 14 แผน นับแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2550 เพื่อจับกุมและควบคุมตัวผู้ที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้นำกฎอัยการศึกและพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาใช้เป็นเครื่องมือทางกฎหมายในการจับกุมและควบคุมตัว เป็นระยะเวลารวมกันทั้งสิ้น 37 วัน และภายหลังจากพ้นกำหนดระยะดังกล่าวแล้ว ผู้ถูกควบคุมตัวจะถูกส่งเข้าโครงการ "ฝึกอาชีพ" เป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยมีเหตุผลเพื่อความปลอดภัยและการสร้างโอกาสใหม่ให้ชีวิต พร้อมทั้งความหวังในการแยกสลาย "แนวร่วม" ของกลุ่มขบวนการ


องค์การพัฒนาเอกชนด้านสิทธิมนุษยชนดังรายนามข้างท้าย ได้ทำการการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยการลงพื้นที่และประมวลข้อเท็จจริงจากการรายงานของสื่อมวลชน พบว่าการปฏิบัติตามแผนยุทธการดังกล่าวมีข้อสังเกต ดังต่อไปนี้


1)      การจับกุมและการควบคุมตัว


 มีการจับกุมด้วยวิธีการต่างๆ เช่น  การปิดล้อมจับกุม ซึ่งมักเป็นการเข้าปิดล้อม จับกุมในชุมชนในเวลาเช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ด้วยกองกำลังผสมที่แต่งกายชุดดำและชุดทหารจำนวนมากพร้อมอาวุธหนักและเบาเข้ามาปิดล้อมหมู่บ้าน สวนผลไม้ และมัสยิด  มีการเข้าตรวจค้นในบ้านของประชาชนโดยไม่มีหมายค้น  หลายกรณีมีใช้กำลังบังคับให้ประชาชนในหมู่บ้านมารวมกันเพื่อตรวจค้นโดยเครื่องตรวจจับการปนเปื้อนสารประกอบวัตถุระเบิด และใช้เป็นเหตุในการควบคุมตัวไปยังสถานที่ใดก็ได้ที่มิใช่เรือนจำ หรือที่ทำการของพนักงานสอบสวน เพื่อสอบสวนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องการใช้ความรุนแรงในภาคใต้ โดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องสงสัยทราบว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในกรณีหรือเหตุการณ์ใด เป็นต้น 


การดำเนินการดังกล่าว เป็นการปฏิบัติโดยขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและหลักนิติธรรม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 3 วรรคสอง ที่บัญญัติว่า "การปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม"  ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 บัญญัติว่า " พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจจะจับผู้ใดโดยไม่มีหมายจับหรือคำสั่งของศาลนั้นไม่ได้ " และ มาตรา 87 ระบุว่า การควบคุมตัวภายหลังการจับนั้น ห้ามมิให้ควบคุมตัวเกินกว่าจำเป็นและพฤติการณ์แห่งคดี และในกรณีที่ต้องมีการขยายการควบคุมตัว จะต้องมีเหตุจำเป็นและพยานหลักฐานมาให้ศาลไต่สวนจนเป็นที่พอใจ โดยผู้ต้องหามีสิทธิแต่งทนายความ หรือศาลจัดหาทนายความให้"


ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ดังกล่าวสอดคล้องกับหลักการของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ที่รัฐบาลไทยเข้าเป็นภาคี ในข้อ 9 ข้อย่อยที่ 1 ที่ว่า "บุคคลทุกคนมีสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของร่างกาย บุคคลจะถูกจับกุมหรือควบคุมโดยอำเภอใจมิได้ บุคคลจะถูกลิดรอนเสรีภาพของตนมิได้ ยกเว้นโดยเหตุและโดยเป็นไปตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย"


และข้อย่อย ที่ 3 ระบุว่า "บุคคลใดที่ถูกจับกุมหรือควบคุมตัวในข้อหาทางอาญาจะต้องถูกนำตัวมาโดยพลันไปยังศาล หรือเจ้าหน้าที่อื่นที่มีอำนาจตามกฎหมาย ที่จะใช้อำนาจทางตุลาการ และจะต้องมีสิทธิได้รับการพิจารณาคดีภายในเวลาอันสมควร หรือได้รับการปล่อยตัวไป มิให้ถือเป็นหลักทั่วไปว่า จะต้องควบคุมบุคคลที่รอการพิจารณาคดีแต่ในการปล่อยตัวอาจกำหนดให้มีการประกันว่า จะกลับมาปรากฎตัวในการพิจารณาคดีในขั้นตอนอื่นของการพิจารณาและจะมาปรากฎเพื่อการบังคับตามคำพิพากษาเมื่อถึงวาระนั้น"


นอกจากนี้กฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยหลักการเพื่อการคุ้มครองบุคคลทุกคนที่ถูกคุมขังหรือจำคุก (มาตรฐานองค์การสหประชาชาติว่าด้วยกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เอกสารประกอบการประชุมองค์การสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ครั้งที่ 11 ณ กรุงเทพมหานคร) ข้อ 1 ระบุว่า "บุคคลทุกคนที่ถูกคุมขังหรือจำคุกพึงได้รับการปฏิบัติในการฐานะมนุษย์และอย่างเคารพในศักดิ์ความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้น" และในข้อ 3 ระบุว่า "การสร้างข้อจำกัดหรือลดทอนสิทธิมนุษยชนที่เป็นของผู้ที่ถูกคุมขังหรือจำคุกนั้น โดยการออกเป็นกฎหมาย อนุสัญญา กฎระเบียบ หรือประเพณีปฏิบัติใดๆ โดยอ้างว่าสิทธิชนิดนั้นไม่ได้ถูกกำหนดไว้ในหลักการฉบับนี้ หรือมีการกล่าวถึงในหลักการฉบับนี้น้อยกว่านั้น จะกระทำมิได้


2. การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย โดยใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ซึ่งพระราชกำหนดฉบับนี้ นอกจากไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนสากลและหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของไทยแล้ว  รัฐยังใช้มาตรการควบคุมตัวอีก 4 เดือนเพื่อฝึกอาชีพ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า


2.1 มีหลายกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ดำเนินการให้ผู้ถูกจับโดยพลการ มีทางเลือก 2 ทาง คือจะต้องเลือกระหว่างการเข้าร่วมฝึกอาชีพ 4 เดือน หรือ การถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้ง ๆที่ ไม่มีการแจ้งข้อหาให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบว่าจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายในข้อหาใด กรณีนี้ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน 


การฝึกอบรมอาชีพ 4 เดือน นั้น คือการควบคุมตัวอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีกฎหมายรองรับให้กระทำได้โดยชอบ แม้รัฐบาลจะอ้างว่า หลักการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87 นี้ถูกยกเว้นโดยกฎอัยการศึกและพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการควบคุมตัวได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เกินกว่าอำนาจในการควบคุมตัว ตามกฎหมายที่มีอยู่ ก็ตาม แต่กฎหมายพิเศษนี้ขัดต่อหลักกฎหมายสิทธิมนุษชน


2.2  ตามข้อเท็จจริงพบว่ามีการควบคุมเยาวชนซึ่งมีอายุไม่เกิน 18 ปีจำนวนอย่างน้อย 6 คน และมีกรณีผู้สูงอายุและคนพิการถูกควบคุมตัวไปด้วย    ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 40 (6) บัญญัติว่า "เด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุและผู้พิการหรือทุพพลภาพ ย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม" ซึ่งสอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนสากลที่ต้องแยกการควบคุมตัวระหว่างเยาวชน และผู้ใหญ่


องค์กรสิทธิมนุษยชนตามรายนามท้ายเอกสารนี้มีข้อห่วงใยต่อแผนยุทธการพิทักษ์แดนใต้และการควบคุมตัว 4 เดือน  และมีข้อเสนอแนะและข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้


1.      ให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนนโยบายตามแผนยุทธการพิทักษ์แดนใต้และการควบคุมตัว 4 เดือนอันขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยให้นำกระบวนการยุติธรรมปกติมาใช้กับสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่ากระบวนการยุติธรรมมีความโปร่งใส เป็นอิสระและให้ความเป็นธรรม กับเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนได้อย่างเสมอภาคโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ 


2.      ให้พิจารณาปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตัว 4 เดือนโดยมิชอบด้วยหลักสิทธิมนุษยชนตามแผนยุทธการนี้ โดยทันที


3.      ให้รัฐบาลคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อครอบครัวของผู้ถูกควบคุมตัวที่ส่งผลกระทบต่อครอบครัว  จิตวิทยาสังคมโดยรวม 


4.      ให้รัฐบาลใช้หลักนิติธรรมอย่างเคร่งครัด โดยหลีกเลี่ยงการกวาดจับกุมที่ขัดต่อหลักนิติธรรม ขาดพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ซึ่งหากยังคงใช้มาตรการดังกล่าวย่อมเป็นการสร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรงขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  และมิอาจแก้ไขปัญหาเรื่องความรุนแรงในภาคใต้ได้  โดยรัฐบาลควรยอมรับการปฏิบัติที่สอดคล้องกับการศึกษาวิจัยหลายสำนักที่มีข้อสรุปตรงกันว่า ความรุนแรงในภาคใต้มีสาเหตุสำคัญเกิดขึ้นจากการที่ประชาชนไม่ได้รับเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม 


******************


ลงนามโดย


1.       คณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ                         


2.       สมาคมสิทธิเสรีภาพประชาชน


3.        มูลนิธิผสานวัฒนธรรม                                      


4.       สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย


5.       ศูนย์ทนายความมุสลิม


 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net