Skip to main content
sharethis


น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ


ยันตัดสินยุบพรรคไม่กระทบร่าง รธน. ชี้เป็นเรื่อง "ผีไม่มีศาล สมภารไม่มีวัด" หนุนเคลื่อนไหว
ที่รัฐสภา น.ต. ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่จะมีการตัดสินคดียุบพรรคในวันที่ 30 พ.ค. จะมีผลกระทบต่อการร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ว่า การร่างรัฐธรรมนูญก็ต้องทำต่อไป ถ้าเกิดความวุ่นวายก็จะกระทบกระเทือนถึงขั้นตอนการลงประชามติ และการเลือกตั้งที่กำหนดไว้ปลายปีนี้ เพราะฉะนั้นอยากให้ทุกฝ่ายโดยเฉพาะฝ่ายบริหารควบคุมดูแลให้สถานการณ์เรียบร้อย เรื่องวุ่นๆที่เกิดขึ้น เขามองว่าเกิดจากการสนับสนุนจากผีไม่มีศาล สมภารไม่มีวัด เข้าใจหรือไม่ ถ้าไม่เข้าใจ ก็ไปตีความเอาเอง จะเป็นคนที่อยู่ต่างประเทศหรือไม่ ให้ไปตีความเอาเอง ไม่เช่นนั้นการเคลื่อนไหวจะเอาเงินทองมาจากไหน ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ฉะนั้นถ้าเห็นแก่บ้านเมือง อย่าดีกว่า แล้วรอกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญ จนกระทั่งมีการเลือกตั้งแล้วค่อยมาว่ากันอีกครั้งหนึ่ง


จี้ฝ่ายบริหารกล้าหาญเด็ดขาดคุมสถานการณ์
เมื่อถามว่า ฝ่ายบริหารควรเข้ามาคุมสถานการณ์อย่างไร น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ได้พูดในที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ว่า ฝ่ายบริหารจะต้องมีความกล้าหาญและเด็ดขาดในการตัดสินใจที่จะใช้กฎหมายให้เป็นประโยชน์ในการที่จะรักษาสถานการณ์ต่างๆ ถ้าหากไม่ใส่ใจเรื่องนี้ เหตุการณ์ก็จะวุ่นวายโดยเฉพาะภาคใต้ ต้องระมัดระวัง และทุกครั้งก็ได้ยินแต่คำว่าเรามาถูกทางแล้ว แต่เมื่อวานมีการระเบิด ที่ อ.หาดใหญ่ เขาไม่ทราบว่าทางที่ว่าเป็นทางไปไหน เพราะฉะนั้นต้องใส่ใจเรื่องนี้ เพราะตอนนี้ไม่ใช่วุ่นวายเฉพาะเรื่องของการเมืองใน กทม. แต่ปัญหาความมั่นคงในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหาที่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงในประเทศมากที่สุด ซึ่งได้เตือนไว้ว่าถ้าไม่แก้ไขให้ถูกต้อง หรือปรับยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ใหม่ ไม่ปรับคนภายใน 3-4 เดือนข้างหน้าเราอาจจะต้องเสียใจ ต่อการที่เราจะต้องสูญเสียอะไรไป ได้พูดอย่างนั้นไว้จริงๆ เพราะฉะนั้นยังไม่ช้าที่จะหยุดคิด และตั้งตัวปรับรูปแบบ และปรับแนวทางในการทำงาน


ผู้สื่อข่าวถามว่า ควรจะปรับรูปแบบ การทำงาน ปรับบุคคล หรือปรับฝ่ายบริหาร น.ต. ประสงค์ กล่าวว่า การปรับรูปกระบวน การทำงานก็เกี่ยวข้องทั้งยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และคณะทำงาน ว่าที่ผ่านมาทำงานได้ ผลมากน้อยแค่ไหน


เชื่อถ้าเหตุการณ์วุ่นวายต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน เรียกทหารเข้าดูแล
เมื่อถามว่า การนำ พ.ร.บ. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมาควบคุมสถานการณ์นั้น น.ต. ประสงค์ กล่าวว่า ถ้าหากเหตุการณ์วุ่นวายแล้วจำเป็นต้องใช้กำลังทหารเข้ามาควบคุมดูแล ก็ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน เพราะฉะนั้นอยู่ที่การประเมินสถานการณ์ และจะประเมินสถานการณ์ได้ก็ต้องมาจากการข่าว เขาไม่ทราบว่าการข่าวมีประสิทธิภาพแค่ไหน เพราะถ้ามองจากปัญหาภาคใต้ ซึ่งเขาเคยทำงานด้านการข่าวมาอยากจะบอกว่า บางทีจะต้องดูไปที่การทำงานทางด้านการข่าวของภาครัฐเหมือนกันว่าเป็นอย่างไร


เมื่อถามว่าแสดงว่าการข่าวของรัฐไม่มีประสิทธิภาพจนทำให้เกิดเหตุระเบิดที่ จ.สงขลา เมื่อวานนี้หรือไม่ น.ต.ประสงค์ กล่าว่า ถ้ายังเกิดเหตุการณ์อย่างนี้อยู่แสดงว่าการข่าวล้มเหลว เพราะเขาได้พัฒนาการต่อสู้ จากเล็กไปสู่ใหญ่ หรือจะเรียกว่า เป็นสงครามประจำถิ่นก็ได้ เพราะฉะนั้นต้องใส่ใจเรื่องนี้


เรื่อง พ.ร.บ.ฉุกเฉินต้องประเมินรายวัน ย้ำชัดต้องตัดไฟต้นลม ไม่ปล่อยไฟไหม้บ้านแล้วดับ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีกลุ่มอำนาจเก่าจะออกมาเคลื่อนไหวในวันที่ 30 พ.ค. นี้อาจจะลุกลามไปจนถึงการนองเลือด เป็นไปได้หรือไม่ที่จะนำ พ.ร.บ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมาใช้ น.ต. ประสงค์กล่าวว่า ต้องประเมินสถานการณ์ในแต่ละวันถ้าหากการข่าวถูกต้องจะทำให้การตัดสินใจถูกต้องในการที่จะดับไฟตั้งแต่ต้นลม ไม่ใช่ปล่อยให้ไฟไหม้บ้านแล้วเอาน้ำมาดับ บ้านเสียหายไปแล้ว


เมื่อถามว่า เป็นไปได้ไหมที่จะนำ พ.ร.บ. ดังกล่าว มาใช้ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามบานปลายออกไป น.ต. ประสงค์กล่าวว่า คงตอบไม่ได้ เพราะไม่ทราบข้อเท็จจริงในด้านการข่าว ถ้ามองจากสถานการณ์และข่าวสารก็เห็นว่า มันได้เดินทางมาถึงในจุดที่ควรจะต้องหยุดคิด หยุดพิจาณากันแล้วว่า เราจะดับไฟแต่ต้นลมอย่างไร


เชื่อระเบิดหาดใหญ่ไม่โยงการเมือง แต่ยอมรับทำให้กระทบกระเทือนจิตใจ-เศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวถามว่าจากเหตุการณ์ระเบิดที่ จ.สงขลาเมื่อวานอาจจะขยายวงกว้างมาถึง กทม. แสดงว่าการข่าวไม่ดี น.ต. ประสงค์ กล่าวว่า ถ้าหากเขาสามารถขยับขึ้นมาได้ถึง อ.หาดใหญ่ก็จะกระทบกระเทือนไปหมด ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจในภาคใต้ และจิตใจของ ผู้คนในบ้านเมือง รวมทั้งต่างประเทศด้วย จะทำให้เข้าผิดว่าประเทศไทยมีสถานการณ์ที่เลวร้ายทั้งๆ บางทีมันไม่ถึงขั้นเลวร้ายขนาดนั้น แต่ข่าวที่ออกไป ทำให้คนข้างนอกที่ไม่เข้าใจสามารถคิดไปได้อย่างนั้น


เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีส่วนเชื่อมโยงไปเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 30 พ.ค. หรือไม่ น.ต.ประสงค์กล่าวว่า ไม่ใช่เป็นคนละเรื่อง เมื่อถามต่อว่ารูปแบบการระเบิดที่จ.สงขลา ไม่เหมือนรูปแบบที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ น.ต.ประสงค์กล่าวว่า แล้วแต่ใครจะมอง แต่เขามองว่า เหตุการณ์ร้ายในภาคใต้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา และเป็นเหตุการณ์ที่พัฒนารูปแบบของปฏิบัติการขึ้นมา ในขั้นที่เรียกว่าจะนิ่งนอนใจไม่ได้


สวนนายกฯ เปรยลาออก - ถ้ายังมีหน้าที่ต้องหาทางแก้ไขทันท่วงทีไม่ใช่ปล่อยไปวันๆ
เมื่อถามว่านายกฯ บอกว่าถ้าเหตุการณ์วุ่นวายจะลาออกจากตำแหน่ง น.ต.ประสงค์กล่าวว่า ไม่มีความเห็นเรื่องนี้ ตราบใดที่มีหน้าที่ทำจะต้องรีบหาทางแก้ไขให้ทันท่วงที ไม่ใช่ปล่อยไปวันๆ เมื่อถามว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์วุ่นวายอาจจะมีผลต่อการลงประชามติ น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า หากฝ่ายบริหารหรือฝ่ายที่รับผิดชอบด้านความมั่นคงจริงใจในการป้องกันก่อนที่จะไปสู่ถึงการปราบปราม ซึ่งมี 3 ป. คือ ป้องกัน ป้องปราม และปราบปราม เพราะฉะนั้น ขณะนี้อยู่ในขั้นที่ว่าเรามีมาตรการป้องกันและป้องปรามอย่างไร ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การปราบปราม ซึ่งการนำไปสู่การปราบปราม อย่าให้ไปถึงขั้นนั้น เพราะคนไทยด้วยกัน ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของการทำงานว่าจะป้องกันและป้องปราม อย่างไร หรือการใช้กฎหมายที่มีได้ผลมากน้อยแค่ไหน


ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำกลุ่มพีทีวีระบุว่าหากนำ พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวมาใช้ จะไม่มีความเป็นประชาธิปไตย น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ถ้าหากว่าเราจะไปมองว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่มีประชาธิปไตย แล้วปล่อยให้เหตุการณ์เกิดขึ้นจนทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เราต้องป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้น

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net