Skip to main content
sharethis


อยากให้วิเคราะห์ว่าทำไมรัฐบาลสุรยุทธ์- คมช.จึงมุ่งสนใจคดีทนายสมชาย แต่คดีเจริญ วัดอักษร หรือคดีพระสุพจน์ สุวโจ ที่ถูกลอบสังหารอย่างอุกอาจจึงดูเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจ?


คือจะว่าไปแล้วทั้ง 3 คดีนี้ ไม่ได้รับความสนใจหรือไม่ได้รับความใส่ใจจากรัฐมาตั้งแต่ต้น แล้วก็ไม่มีความแตกต่างกันระหว่างรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร หรือรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ นั่นเท่ากับว่า นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนไม่ได้มีความสำคัญอะไรที่รัฐจะต้องมาดูแลหรือว่ามาทำให้เกิดความเป็นธรรม


 


อันนี้เป็นความคิดหลัก แล้วมันก็แสดงให้เห็นถึงแนวทางการทำงานของทั้ง 2 รัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ที่ไม่แตกต่างกัน รัฐบาลทักษิณเอง เมื่อคุณอังคณา (ภรรยานายสมชาย นีละไพจิตร)ไปพูดที่เจนีวา ก็มีความจำเป็นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมจะต้องตอบคำถามของที่ประชุมให้ได้ ก็มีการสั่งการมาให้คณะกรรมการคดีพิเศษรับคดี


 


ก่อนหน้านั้น คดีทนายสมชาย พอเป็นกระแสใหญ่ทางสังคมก็ต้องออกมารับ พอมาถึงรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ ภายใต้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือคณะปฏิรูปการปกครองของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน คุณอังคณาก็ไปยื่นหนังสือเพื่อขอความเป็นธรรม ตอนนั้นก็ไม่ได้รับความสนใจจากหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ก็นับถือศาสนาอิสลามเช่นเดียวกับคุณสมชาย นีละไพจิตร และคุณอังคณา


 


แต่ต่อมาเมื่อรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ และ คมช.ถูกกดดันจากกระแสสังคม หลังจากไม่ปรากฎผลงานเด่นชัดตามข้อที่ตนเองตั้งไว้ในการปฏิวัติหรือในการรัฐประหาร ก็มีการหยิบยกคดีนี้ขึ้นมาพูด ซึ่งถ้าพูดในแง่ของคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากคดีนี้ การที่รัฐมาให้ความสนใจหรือผู้ใหญ่ในรัฐมาให้ความสนใจ มันก็เป็นขวัญกำลังใจของคนที่เกี่ยวข้อง ถ้าเราเป็นคุณอังคณา เราก็ต้องดีใจที่ว่า มันจะทำให้เกิดความเป็นธรรมกับคดีที่สามีสูญหายไป


 


แต่ถ้ามองรายละเอียดในอีกด้านหนึ่ง มันก็เหมือนกับว่า คดีของคุณสมชายก็กำลังตกเป็นเหยื่อของสงครามแย่งชิงมวลชน ของการโฆษณาชวนเชื่อ ของคณะปฏิรูปฯ หรือของรัฐบาลที่มาจากคณะปฏิรูปฯ ซึ่งในความเป็นจริงสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่ต้องทำ แล้วต้องทำอย่างเร่งด่วน ไม่ว่าคุณอังคณาจะไปยื่นจดหมายหรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการรัฐประหารก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจในการปกครองจำเป็นต้องให้ความสนใจ เมื่อมีประชาชนภายใต้การปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำประโยชน์ต่อสาธารณะ เกิดการสูญเสียหรือบาดเจ็บล้มตาย เพราะฉะนั้น ตรงนี้ เราจึงมองว่าถึงจุดนี้ คดีของคุณสมชายกำลังตกเป็นเครื่องมือ ซึ่งถ้าหากว่ากระแสสังคมในด้านอื่นให้ความชื่นชมนิยมชมชอบ หรือถ้าพูดกันเป็นภาษาชาวบ้านหน่อยก็คือเรตติ้งของรัฐบาลภายใต้ คมช.สูงขึ้น คดีนี้ก็จะตกไป


 


เหมือนอย่างตอนที่คุณเจริญ วัดอักษร เสียชีวิตใหม่ๆ คุณทักษิณก็พูดถึง ใครๆ ต่างก็พูดถึง แต่ต่อมาก็ปรากฏว่า คดีของคุณเจริญ วัดอักษร ไม่มีความคืบหน้าไปถึงไหน คืบหน้าในที่นี้มันไม่ได้คืบหน้าเพราะว่าหน่วยงานของรัฐมาแถลงข่าว หรือรัฐมนตรีมาแถลงข่าว แต่คืบหน้าหมายถึงว่า มันจับกุมผู้กระทำความผิดได้หรือไม่ มันสามารถสืบสาวไปถึงผู้บงการหรือไม่ อันนั้นเป็นประเด็นสำคัญกว่า


 


แล้วไม่ใช่เฉพาะคดีทนายสมชาย คดีเจริญ วัดอักษร หรือคดีพระสุพจน์  3 คดีนี้เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายต่อหลายคดีที่ผู้นำชุมชนหรือนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนที่ถูกกระทำ มันต้องได้รับการปกป้อง ต้องได้รับการดำเนินการให้ถึงที่สุดด้วย อันนี้ เป็นเรื่องที่จะต้องทำ เพราะฉะนั้น สรุปว่า สิ่งที่เขาต้องทำและต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ และความรับรับผิดชอบมากกว่าทำเพื่อการหาเสียง หรือทำเพื่อช่วงชิงมวลชน


 


อย่างนี้ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่?


คือจริงๆ แล้วตั้งแต่ไหนแต่ไรมา อย่างกรณีคดีพระสุพจน์ ก็ไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือไม่ค่อยได้รับการเหลียวแลจากแทบทุกฝ่ายอยู่แล้ว อันนี้แม้กระทั่งสื่อมวลชนเองก็ตาม เมื่อเวลาผ่านมาก็ให้ความสนใจกับเรื่องนี้น้อย อาจจะเป็นว่า พระสุพจน์ไม่ได้มีชื่อเสียงอย่างทนายสมชายหรือว่า คุณเจริญ วัดอักษร ซึ่งอันนี้มันก็เป็นปรากฎการณ์ทางสังคมที่น่าศึกษาที่น่าจะต้องทำความเข้าใจหรือว่าน่าจะต้องแก้ไขกันต่อไป


 


แต่พูดถึงในส่วนของรัฐบาลภายใต้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ เรามองว่า รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลเฉพาะกาล เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ แล้วถึงแม้ว่าจะเป็นที่ชุมนุมของผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในภาครัฐหรือผู้เชี่ยวชาญที่เป็นลักษณะของผู้ที่ติดกับกรอบคิดเดิมๆ ดังนั้น ยิ่งพระสุพจน์เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงน้อย ก็ยิ่งทำให้เขาสนใจน้อยไปด้วย


 


เพราะฉะนั้น จะเรียกว่าเมื่อเห็นข่าวคราวต่างๆ ก็น่าผิดหวัง แต่ในขณะเดียวกัน ถ้ามองอย่างคนที่มีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับการทำงานของภาครัฐมาพอสมควร เราก็เห็นว่า ก็เหมือนกับที่เราตอบคำถามแรกก็คือว่า เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของการสร้างกระแสมากกว่า เป็นไปได้ว่า รัฐบาลนี้คาดหวังว่า การที่มาจับคดีทนายสมชายแล้วก็มาทำให้เป็นข่าวครึกโครม อาจจะมีผลไปถึงการแก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ อาจจะมีผลไปถึงภาพพจน์ของรัฐบาลต่อสายตาของต่างชาติ ต่อสายตาของนักสิทธิมนุษยชนในวงกว้าง


 


ซึ่งตรงนี้ถือว่า น่าเสียดายที่เป็นความอ่อนหัดของรัฐบาลนี้ ความที่ว่าน่าจะหยิบยกการต่อสู้ของนักสิทธิมนุษยชนทั้งหมดขึ้นมาพูดถึง ซึ่งจะทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลนี้เป็นที่ยอมรับของต่างชาติมากกว่าแสดงความอ่อนหัดออกมาให้เห็นว่าหยิบยกมาเพียงบางคดี


 


หรืออาจเป็นเพราะว่า คดีสมชายเป็นคดีที่เกี่ยวโยงกับตัว พ.ต.ท.ทักษิณ?


ใช่ ก็คือพยายามที่จะหยิบยกคดีนี้ขึ้นมาเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ อีกด้านหนึ่งก็เป็นเครื่องมือในการทำลายศัตรูทางการเมือง ซึ่งก็เป็นพฤติกรรมเดียวกับรัฐบาลทักษิณเคยทำมา ก็ไม่ได้มีความก้าวหน้ามากไปกว่ากัน


 


สรุปแล้วไม่เชื่อมั่นรัฐบาลสุรยุทธ์ กับคมช.?


สรุปแล้วก็คือว่า มันมีภาษิตฝรั่งอยู่ว่า "บางทีก็กระโดดออกมาจากกระทะร้อนๆ แต่ลงไปในกองไฟ" ก็คือประชาชนคนไทยที่เคยเฮฮาเคยช่วยเหลือคุณทักษิณตอนที่โดนคดีซุกหุ้น มันก็อีหรอบเดียวกับคนที่มอบช่อดอกไม้ให้กับทหารที่ปฏิวัติ พอถึงที่สุดประชาชนก็อกหัก แล้วก็อกหักอยู่ร่ำไป นี่เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนด้อยหรือความไร้เดียงสาในทางการเมืองของประชาชน


 


ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net