หลังจากการประชุมของผู้แทนการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี ไทย-สหรัฐ รอบ 6 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมเชอราตัน จ.เชียงใหม่ ต้องล่มกลางครัน ก่อนจะมีการย้ายสถานที่การประชุมไปที่ นอร์ทเทิร์น เฮอริเทจ รีสอร์ท แอนด์ สปา จ.ลำพูน ล่าสุด กลุ่มผู้ชุมนุมเกือบหมื่นคนได้พากันเก็บข้าวของแยกย้ายกลับคืนสู่ภูมิลำเนาเดิม ซึ่งทางตัวแทนกลุ่มองค์กรประชาชนได้สรุปการชุมนุมเคลื่อนไหวในครั้งนี้ว่า เป็นบททดสอบอีกบทหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า "พลังของประชาชน" นั้นมีคุณค่าและความสำคัญมากเพียงใด
นาย
"กระบวนการขับเคลื่อนทางสังคม โดยวิธีการแล้ว มันไม่ใช่มีแค่เพียงการชุมนุมอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยวิธีการที่มีความหลากหลาย และต้องคิดกันตลอดเวลา เพราะการขับเคลื่อนทางสังคมในบางจังหวะ จะต้องมีการใช้กระบวนการพัฒนาข้อมูลเอามาต่อสู้ ในบางจังหวะ จำเป็นต้องใช้การรวมพลังของคนทุกข์คนยากจำนวนหนึ่งขึ้นมาต่อสู้ด้วย และการชุมนุมครั้งนี้ ถือว่าเป็นอีกจังหวะใหญ่เลยที่ประชาชนสามารถรวมตัวกันได้มากขนาดนี้ และถือว่าเป็นอีกประสบการณ์หนึ่ง ที่จะช่วยทำให้ขบวนการทางสังคมได้เติบโตและพัฒนามากขึ้น" นายนิมิตร์ กล่าวทิ้งท้าย
ด้าน นางสาว
"ดังนั้น พลังประชาชนที่ตื่นตัวและก้าวหน้าแล้ว ก็ต้องก้าวออกมาเพื่อเป็นกองหน้า พร้อมจะเสียสละชีวิตตัวเอง เพื่อจะสร้างทางให้คนรุ่นต่อไป ซึ่งในประวัติศาสตร์ก็เป็นอย่างนี้ ปัจจุบันก็เป็นอย่างนี้ อนาคตก็ต้องเป็นอย่างนี้ ในอนาคตก็จะต้องมีการรวมตัวกันให้มากกว่านี้ เพราะไม่มีทางเลือก ถ้าตราบใดที่รัฐบาล ผู้ปกครอง ยังมองไม่เห็นสัจธรรม พลังประชาชนก็จะต้องเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ" ที่ปรึกษาสมัชชาคนจน กล่าวย้ำ
ในขณะนาง
"ถึงแม้ตอนนี้ รัฐบาลจะย้ายสถานที่การประชุมไปที่ จ.ลำพูน แต่อยากจะบอกว่า รัฐบาลอย่าเพิ่งรีบลงนามตกลงอะไร แต่ต้องใช้บทเรียนจากการเคลื่อนไหวรณรงค์เรื่องการค้าเสรีตรงนี้ เพราะว่ากระแสเอฟทีในขณะนี้ ชาวบ้านและสังคมให้ความสนใจกันมาก และมีประเด็นที่คนเข้าใจมากขึ้น ทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าใจในเรื่องยากๆ และซับซ้อนให้กับประชาชน ซึ่งรัฐบาลไม่สามารถให้ความรู้ความเข้าใจตรงนี้ได้เลย"
นางสุนี กล่าวต่อว่า อย่าไปมองว่าประชาชนที่ออกมาเรียกร้องนั้นไปก้าวก่ายการทำงานของรัฐบาล แต่มันเป็นการเติมเต็ม ให้เห็นข้อมูลที่มีความสลับซับซ้อนของการเปิดการค้าเสรีว่ามีผลกระทบต่อชาวบ้านอย่างไร และเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับชาวบ้าน เพราะที่ผ่านมา คนไทยเรายังอ่อนด้อยในเรื่องของพลังของการต่อรอง
ทั้งนี้ นางสุนี ยังได้กล่าวถึง กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมถูกเจ้าหน้าตำรวจใช้ความรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายสิบคนนั้น ว่า จริงๆ แล้ว ทาง กสม. เคยเสนอมาตลอด ตั้งแต่กรณีการใช้ความรุนแรง เรื่องการคัดค้านท่อก๊าซ ไทย-มาเลย์ หรือกรณีการจัดการชุมนุมโดยสงบมาหลายครั้ง ว่ารัฐจะต้องมีกระบวนการการให้ความรู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ที่มาคุมสถานการณ์เป็นการเฉพาะ ที่เข้าใจเรื่องราวและใช้ท่าทีนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ดูเหมือนว่า รัฐยังไม่มีกระบวนการปฏิบัติในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ส่วนใหญ่ก็จะไปเกณฑ์กำลังทหาร ตำรวจแบบง่ายๆ ธรรมดา โดยไม่มีการฝึกเตรียมสำหรับการรับมือกับกลุ่มผู้ชุมนุม
"การชุมนุมในครั้งนี้ จึงถือว่าชาวบ้านมีการชุมนุมกันอย่างสงบ สำหรับบรรยากาศที่มีคนเป็นหมื่นมาชุมนุมในสถานที่แออัดอย่างนี้ รัฐควรจะมองในด้านบวกให้มากๆ และก็นำไปเป็นบทเรียน นำไปปรับกระบวนการเรียนรู้ให้กับกลุ่มเจ้าหน้าที่มาจัดการดูแลการชุมนุมในครั้งต่อๆ ไปในอนาคต เพราะเหตุการณ์แบบนี้มันมีโอกาสเกิดขึ้นได้ตลอด อีกทั้งรัฐธรรมนูญก็ได้คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของการชุมนุมกันอยู่แล้ว" กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวทิ้งท้าย
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)