Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

โดย เกษียร เตชะพีระ


 


            ในช่วงปีเศษของความปั่นป่วนวุ่นวายไร้เสถียรภาพทางการเมืองเนื่องจากการผลัดกันชุมนุมเสื้อเหลือง-เสื้อแดงที่ผ่านมา มีเสียงพูดหนาหูขึ้นว่า


            "ไม่นองเลือด ไม่จบ"


            "สงสัยต้องให้นองเลือด มันจะได้จบๆ ไปเสียที"


            ผมเห็นต่างจากทรรศนะข้างต้น ผมเกรงว่าต่อให้นองเลือดแล้ว มันก็ไม่จบอยู่ดีนั่นแหละ หรืออย่างมาก ก็อาจจบการขัดแย้งต่อสู้ในรูปแบบการชุมนุมมวลชนกดดันก่อกวนให้รัฐบาลปกครองไม่ได้ แล้วเปลี่ยนไปเป็นการขัดแย้งต่อสู้ในรูปแบบอื่นที่น่ากลัวยิ่งกว่า.....


            ทำไมถึงว่านองเลือดแล้วก็ยังไม่จบ?


            ก็เพราะแก่นแท้ของอำนาจการเมืองการปกครองในยุคสมัยใหม่ - หากยืมคำของอาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ - มันอยู่ได้ดำเนินงานได้ด้วยการที่ประชามหาชนชนยินยอมให้ปกครอง (popular consent) เป็นพื้น และอาศัยการบังคับควบคุมด้วยกำลังรุนแรง (coercion) ต่อคนส่วนน้อยเฉพาะรายเฉพาะกิจเฉพาะกาลในสถานการณ์ผิดปกติเป็นส่วนประกอบ


            การถือปืนบังคับบุกลุยม็อบไม่กี่สิบกี่ร้อยคนให้เปิดถนนในสถานการณ์ฉุกเฉินรุนแรงช่วงสั้นๆ ย่อมทำได้


            แต่การจะเฝ้าถือปืนยืนยามไม่ให้คนนับหมื่นนับแสนนับล้านที่เห็นต่างทางการเมืองก่อหวอดชุมนุมปิดถนนเลยสักสายทั่ว กทม.หรือประเทศวันแล้ววันเล่าเช้ายันค่ำ ย่อมไม่อาจเป็นไปได้


            เว้นแต่ประชาชนเหล่านั้นยอมรับอำนาจและไม่คิดปิดถนนเอง


            และลงได้นองเลือดแล้ว แต่ละหยดแต่ละชีวิตที่สูญเสียไปย่อมยิ่งบั่นทอนความชอบธรรมของอำนาจปกครองลง เพิ่มความโกรธแค้นไม่ยอมรับอำนาจนั้นในหมู่ประชาชนผู้เห็นต่างและญาติมิตรพ่อแม่พี่น้องให้แผ่กว้างมากขึ้น รังแต่จะทำให้รัฐต้องเพิ่มมาตรการบังคับควบคุมด้วยกำลังรุนแรงให้ขยายครอบคลุมเข้มข้นยืดเยื้อขึ้นตามลำดับ


            ยิ่งอำนาจการเมืองการปกครองยืนอยู่ด้วยกำลังบังคับรุนแรงยาวนานเพียงใด ก็ย่อมยิ่งอ่อนเปลี้ยง่อนแง่นเพียงนั้น เสมือนหนึ่งสามเหลี่ยมหัวกลับที่ยืนพื้นอยู่บนยอดเดียวมุมเดียว


            จะมั่นคงยืนนานสักปานใด?


            ในทางกลับกัน ฝ่ายประชาชนผู้เห็นต่างก็จะละทิ้งหนทางต่อสู้แบบเดิม หันไปหาวิธีการที่แข็งกร้าวรุนแรง ขาดสติและความยั้งคิดยิ่งขึ้นตามลำดับ


            จากชุมนุมมือเปล่า ไปสู่การหยิบฉวยท่อนไม้เหล็กอิฐหินริมถนนตามแต่จะฉวยคว้าได้ลุกขึ้นสู้ ไปสู่การดัดแปลงใช้วัสดุอุปกรณ์เครื่องยนต์ในสังคมทันสมัยเป็นอาวุธป้องกันตัวในการต่อสู้แบบไม่สมมาตรกับกำลังเจ้าหน้าที่ติดอาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมสรรพ และหากถูกกำราบปราบปรามลงก็อาจหันไปเคลื่อนไหวปิดลับใต้ดินและก่อการร้ายทางการเมืองในที่สุด


            ฉากความขัดแย้งต่อสู้ระหว่างคนไทยต่อไปภายภาคหน้าหลังการนองเลือด จึงอาจยิ่งวุ่นวายไร้เสถียรภาพ สยดสยองรุนแรงและสั่นคลอนรัฐกับสังคมให้ง่อนแง่นกว่าที่เคยเป็นก่อนนองเลือดด้วยซ้ำไป


            ถ้าเช่นนั้นจะทำอะไรได้บ้างเพื่อหยุดการนองเลือด?


            ผมคิดว่าก่อนอื่นต้องหาทางลดระดับ/ยุติความรุนแรงเฉพาะหน้าระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่บนท้องถนน


            โดยต่อรองให้ผู้ชุมนุมเลิกปิดถนนทุกจุดทุกสายใน กทม.และปริมณฑล ยกเว้นรอบที่ชุมนุมหลักบริเวณทำเนียบรัฐบาล แลกเปลี่ยนกับการที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ไม่บุกเข้าสลายการชุมนุมหลักบริเวณทำเนียบฯ เพียงแต่ตั้งด่านตรวจค้นยึดอาวุธคนเข้า/ออกที่ชุมนุม


            หากการชุมนุมบริเวณทำเนียบฯสามารถดำเนินไปอย่างสันติตามเวลาที่กำหนดเช่น ๓ วัน ๕ วัน ก็ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินรุนแรงในกทม.และปริมณฑลเสีย


            จากนั้นตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งที่พัทยาและ กทม.ในระยะที่ผ่านมาเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดกฎหมายทุกฝ่ายตามกระบวนการยุติธรรม


            พร้อมกันนั้นก็เปิดประชุมร่วมรัฐสภาเพื่ออภิปรายหาทางออกจากความขัดแย้งรุนแรงทางการเมืองดังที่เป็นอยู่


            ทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ต้องอาศัยความอดกลั้นอดทนและสติเยือกเย็นของทั้งผู้นำรัฐบาลและแกนนำการชุมนุม


            สิ่งที่เสียไปแล้ว เราไม่อาจเรียกกลับคืนมา


            ควรระวังตั้งสติ อย่าบุ่มบ่ามหุนหันจนเสียสิ่งอื่นที่สูงค่ากว่าซ้ำอีก เพียงเพื่อความสะใจ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net