Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis


โดย พิณผกา งามสม


 



 


ถ้าจะบอกว่า "อาย" ก็เกรงใครบางคนจะทนความดัดจริตของพวกมีโอกาสเรียนหนังสือมากๆ ไม่ได้ แต่การต้องฟังข่าวการรัฐประหารในบ้านตัวเองท่ามกลางนักสิทธิมนุษยชนกว่า 20 ชีวิตจาก 16 ชาตินั้น มันช่าง......ลึกล้ำเหนือคำบรรยายดีแท้


 


คนไทยในต่างแดนหลายคนคงได้เผชิญกับบรรยากาศคล้ายๆ กัน นั่นคือคุณต้องพยายามอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศของคุณ เมื่อผ่านยุคมิลเลนเนียมมาแล้ว ยังมีใครที่ไหนเขาเอารถถังออกมาจัดการความขัดแย้งทางการเมืองอีกหรือ


 


คุณต้องอธิบายเท่าที่คุณพอจะอธิบายได้ และตอบคำถามที่มาจากความฉงนสนเท่ห์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนที่ตั้งคำถามกับคุณเป็นนักกิจกรรมด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนซึ่งเข้าร่วมอบรมด้านสิทธิมนุษยชนร่วมกับคุณเป็นเวลากว่า 20 วัน คำถามนั้นย่อมไม่ธรรมดา และบางทีห้ามเผยแพร่เป็นภาษาไทย (ฮา!)


 


เพื่อนชาวเนปาลดูท่าทางจะงงกว่าเพื่อน เพราะเขาไม่รู้ว่าจะแสดงความยินดีหรือแสดงความเสียใจ เพราะดูเหมือนว่าคนไทยออกมาไชโยโห่ร้องให้กับการรัฐประหารครั้งนี้ จนต้องชี้แจงว่าบรรยากาศการเมืองไทยมิได้เหมือนกับเนปาลหรอกหนา ไอ้ประเภทที่ว่าประชาชนรวมตัวกันโค่นอะไรสักอย่างลงไปได้เมื่อเร็วๆ นี้น่ะ


 


เพื่อนชาวฟิลิปปินส์รีบส่งบทความไล่หลังมา เมื่อรู้ว่าคนไทยดูจะยินดีปรีดากับการรัฐประหาร ข้อใหญ่ใจความของบทความชิ้นนั้นมีว่า คนไทยคงต้องตั้งต้นแสวงหาจิตวิญญาณประชาธิปไตยในตัวเองอีกทีหลังจากที่อ้าแขนออกโอบกอดกองทัพอันเป็นที่รักไว้ในอ้อมใจหลังการรัฐประหารที่ปราศจากการนองเลือด


 


บทความชิ้นนั้นยังว่า ไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้นหรอก คนฟิลิปปินส์ก็ต้องตั้งคำถามเช่นเดียวกันเมื่อปรากฏว่าชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากที่ต่อต้านนางสิงห์น้อย "ออโรโย" อยู่ในขณะนี้แสดงความหวังถึงรถถังและปืนกลว่าจะออกมาวิ่งสวนสนามในใจกลางเมืองมะนิลาบ้าง


 


ขณะที่เพื่อนชาวอินโดนีเซียเล่าว่า นักวิชาการในประเทศเขาจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่แสดงความเห็นด้วยกับการรัฐประหารในเมืองไทย พร้อมๆ กันนั้น เขาบอกว่าไม่ต้องห่วง เพราะเขาและองค์กรของเขาได้พยายามโต้แย้งไปแล้วว่า ประชาธิปไตยไม่มีทางงอกเงยขึ้นมาได้จากรถถังและกระบอกปืน และเขาไม่เชื่อว่าการรัฐประหารครั้งนี้จะทำให้การเมืองในประเทศไทยดีขึ้นมาได้....พวกเขาช่างเป็นมนุษย์ที่จริงจังกับชีวิตเสียนี่กระไร


 


0 0 0


 


เช้าวันที่ 20 ก.ย. หลังจากที่เพื่อนชาวมาเลย์บอกข่าวการรัฐประหารในประเทศไทย.....วันนั้น คนไทยสองคนได้สิทธิโทรกลับบ้านฟรี และใช้อินเตอร์เน็ตได้เกือบตลอดทั้งวัน พร้อมๆ กับการเรียกหาจากเพื่อนๆ ด้วยความห่วงกังวล บางคนแซวว่า เธอคงกลับบ้านไม่ได้แล้วล่ะ เพื่อนชาวฟิลิปปินส์บอกว่า ถ้ากลับเข้าประเทศไม่ได้ให้เลยไปบ้านของเธอ เพื่อนชาวอินโดฯ บอกให้ไปตั้งหลักที่จาร์การ์ตาแล้วช่วยกันประท้วงการรัฐประหารจากที่นั่น เพื่อนชาวเกาหลีบอก ไม่ต้องไปไหนหรอก อยู่กับฉันเลยก็แล้วกัน....พวกเขาประเมินสถานการณ์รัฐประหารของไทยซีเรียสเกินจริงไปเสียแล้ว พวกเขาไม่รู้หรือยังไงนะ ว่าที่เมืองไทยนั้น เรายิ้มรับทุกสถานการณ์ และเบิกบานในทุกโอกาส


 


คนไทยทั้งหลายได้ออกมาร่าเริงเบิกบานเหมือนมีงานวันเด็กหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ก็ไม่ปาน และการจะห่วงกังวลว่า การถ่ายรูปกับรถถังและปืนจะทำให้เด็กไทยหลายๆ คนนิยมความรุนแรงนั้น ดูจะเป็นความห่วงกังวลที่มากเกินไป ในเมื่อเด็กๆ สามารถหาดูความรุนแรงได้จากสื่อต่างๆ กลาดเกลื่อนประเทศอยู่แล้ว


 


0 0 0


 


แน่นอนว่าเมื่อคุณยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ภายในบ้านเมืองของคุณมีความตึงเครียดอยู่ในระดับไหน คุณย่อมต้องเป็นห่วงกังวล แต่เมื่อคุณย่างเท้าเข้าประเทศพร้อมๆ กันกับกราดตาผ่านหน้าหนังสือพิมพ์แล้วพบรูปสาวนุ่งน้อยห่มน้อยออกไปถือปืนถ่ายรูปคู่กับเหล่าทหารหาญ ได้เห็นไอ้มดเอ็กซ์ ไอ้มดแดงออกมาอาละวาดอยู่ตามท้องถนน....อาจบางที  คุณจะกังวลยิ่งกว่า....เมื่อพบว่า คนจำนวนไม่มากนักที่จะซีเรียสจริงจังเกี่ยวกับอะไรบางอย่างจากการรัฐประหารครั้งนี้


 


หูยังแว่วๆ ได้ยินเพื่อนชาวปากีสถานเอ่ยชื่นชมคนไทยไม่ขาดปาก...ผมเคยไปอยู่เมืองไทยเดือนนึงเต็มๆ ให้ตายสิ ผมกลับไปบอกเพื่อนๆ ทุกคนเลยนะว่า คุณไม่มีทางจะหาคนประเทศไหนน่ารัก อ้อนน้อม สุภาพ และใจดีได้เท่าคนไทยอีกแล้ว....ให้ตายสิเอ้า!!!!

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net