ศูนย์ข่าวอิศรา สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
พิธีรับรายงานตัวกลุ่มผู้ร่วมเสริมสร้างสันติสุข ที่ห้องประชุมศรียะลา ชั้น 3 อาคารศาลากลางจังหวัดยะลา ซึ่งมี พล.อ.อ.
อย่างไรก็ดี เมื่อเริ่มพิธี ปรากฏว่าจำนวนชาวบ้านที่เข้าร่วมรายงานตัวลดลงเล็กน้อย เหลือ 137 คน แยกเป็น จ.ยะลา 62 คน และ จ.ปัตตานี 75 คน
ที่สำคัญ ทั้งหมดไม่ได้เป็นแนวร่วมกลุ่มก่อความไม่สงบ ไม่ได้มีคดีหรือหมายจับติดตัว แต่เป็นเพียงบุคคลที่ทางการมองว่าเป็น "กลุ่มเสี่ยง" ที่จะถูกชักจูงหรือชักชวนจากกลุ่มผู้ไม่หวังดี เพื่อให้เข้าใจผิดต่อแนวนโยบายและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ทางจังหวัดจึงปิ๊งไอเดียจัดงานรับรายงานตัวกลุ่มผู้ร่วมเสริมสร้างสันติสุขขึ้นมา เพื่อชิงดึงคนเหล่านี้ไปเข้าร่วมฝึกอบรมในโรงเรียนเสริมสร้างสันติสุข โดยใช้เวลาประมาณ 20 วัน ถึง 1 เดือน ก่อนที่จะถูกกลุ่มผู้หวังดีชักจูงไปเป็นแนวร่วม ซึ่งหากฟังโดยเหตุและผลแล้ว ก็ถือว่าเป็นโครงการที่ดี น่าสนับสนุน
ทว่า ความวุ่นวายเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างพิธีการรับรายงานตัว ได้สะท้อนให้เห็นถึงเบื้องหลังการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐในแบบ "Behind the scene" อย่างหมดเปลือก
ที่สำคัญยังสามารถตอบข้อกังขาของสังคมที่มีต่อคาราวานผู้เข้ารายงานตัวต่อทางราชการอย่างต่อเนื่องตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาว่า เป็น "ของจริง" หรือแค่ "ภาพลวงตา"
รวมทั้งข้ออ้างที่ว่าสถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้นเป็นลำดับแล้วนั้น ที่แท้เป็นเช่นไร...
โดยภายหลัง พล.อ.อ.คงศักดิ์ กล่าวให้โอวาทแก่ผู้เข้ารายงานตัวพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ได้เดินทักทายชาวบ้านที่เข้าร่วมพิธี
เมื่อเดินผ่านไปถึงกลุ่มชาวบ้านที่มาจาก อ.รามัน จ.ยะลา ปรากฏว่า นาย
"ที่บ้านผมน้ำท่วมหนัก ผมทำฟาร์มเลี้ยงไก่เนื้อกว่า 5,000 ตัว ต้องช่วยกันอพยพไก่หนีน้ำ เมื่อคืนนี้ทั้งคืนยังไม่ได้นอน แต่ทางอำเภอกลับบังคับให้มารายงานตัว ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยทำความผิดอะไร ผมเสียใจมากที่มีชื่ออยู่ในบัญชีของทางราชการ และเป็นห่วงทางบ้านที่ยังต้องขนของหนีน้ำกันอยู่" นายมะซอบือลี กล่าวอย่างเคร่งเครียด น้ำตาคลอเบ้า
เมื่อ พล.อ.อ.คงศักดิ์ ได้ฟัง ก็พยายามพูดปลอบโยน และบอกให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งการไปยังอำเภอ เพื่อให้เข้าไปช่วยเหลือครอบครัวของนายมะซอบือลีทันที
จากนั้น รมว.มหาดไทย ก็เดินทางกลับ และขณะที่กลุ่มผู้สมัครใจร่วมสร้างสันติสุขกำลังเช็คชื่อและนั่งรอขึ้นรถเดินทางไปเข้ารับการฝึกอบรมนั้น ปรากฏว่าได้มีสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง เข้าไปขอสัมภาษณ์นายมะซอบือลีอีกรอบ
คราวนี้ นายมะซอบือลี เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ย.2548 ทางอำเภอรามันได้เรียกเขาไปแสดงตนยังที่ว่าการอำเภอ และให้เซ็นชื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อความไม่สงบ ซึ่งเขาก็ยินยอมโดยดี
ต่อมาเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. คือเมื่อวานนี้ กำนันได้นำหนังสือจากทางอำเภอมาให้ และแจ้งให้ทราบว่าจะต้องมารายงานตัวต่อ รมว.มหาดไทย ในวันรุ่งขึ้น (วันที่ 10 ธ.ค.) ที่ศาลากลางจังหวัดยะลา
"ผมไม่อยากมาเลย เพราะที่บ้านกำลังน้ำท่วม ผมทำฟาร์มไก่เนื้อ มีไก่อยู่ 5,000 ตัว ลงทุนไป 2 แสนกว่าบาท แต่ทางอำเภอก็ย้ำว่าต้องมา ไม่มาไม่ได้ ผมก็เลยจำใจมา ตอนนี้ผมเป็นห่วงที่บ้านมาก เพราะต้องไปเข้าอบรมอีก 20 วัน ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร" นายมะซอบือลี กล่าวอย่างเคร่งเครียด
อย่างไรก็ดี ระหว่างที่นายมะซอบือลี กำลังให้สัมภาษณ์อยู่นั้น เจ้าหน้าที่ของทางจังหวัดได้เดินเข้ามาซักถาม และพยายามขอร้องให้หยุดพูดคุยกับผู้สื่อข่าว ก่อนจะซักถามเรื่องราว และสุดท้ายก็รับปากว่า จะอนุญาตให้นายมะซอบือลีกลับบ้านไปก่อน แล้วค่อยตามมาอบรมใหม่ในภายหลัง
อาการทะลุกลางปล้องต่อหน้า รมว.มหาดไทย ของนายมะซอบือลี ทำให้ชาวบ้านอีกหลายคนที่อยู่ในอาการจำใจเดินทางมาร่วมรายงานตัว ยอมเปิดปากให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว
นาย
"เมื่อต้องมาร่วมกิจกรรมแบบนี้ ผมก็ไม่รู้ว่าใครจะทำงานแทนผม ทางอำเภอก็บอกแต่ว่า จะได้เบี้ยเลี้ยงวันละ 100 บาท แต่ก็ต้องอยู่เกือบเดือน ผมเป็นห่วงทางบ้าน ไม่รู้ว่าผมทำผิดอะไรถึงต้องเรียกให้ผมมารายงานตัวและฝึกอบรม"
นายรอซาดี บอกด้วยว่า ก่อนได้รับหนังสือแจ้งจากทางอำเภอเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. เขาและคนในหมู่บ้านเคยถูกนายอำเภอเรียกไปประชุมยังที่ว่าการอำเภอมาแล้ว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และทางอำเภอก็แจ้งว่าจะต้องไปรายงานตัวที่ศาลากลางอีกครั้งหนึ่ง โดยทางการจะพาไปเที่ยว
"ผมไม่อยากไป ก็เลยยกมือขึ้นถามนายอำเภอว่า ไม่ไปได้มั้ย นายอำเภอก็บอกว่าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจจะถูกออกหมายจับ" นายรอซาดี กล่าว
จากนั้น นายรอซาดี ยังได้โชว์หนังสือของทางอำเภอที่เรียกพวกเขาให้มารายงานตัวในวันนี้ต่อผู้สื่อข่าว
โดยหนังสือดังกล่าว ตีตราประทับ "ด่วนมาก" มีเนื้อหาระบุว่า "กอ.สสส.อ.รามัน รับแจ้งจาก กอ.สสส.จ.ยะลา ถึงกำหนดการฝึกอบรมของโรงเรียนเสริมสร้างสันติสุข ในเดือนธันวาคม 2548-มกราคม 2549
เพื่อให้การฝึกอบรมดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อ.รามัน จึงขอเชิญท่านเข้ารับการอบรม โดยเตรียมสัมภาระของใช้ส่วนตัว และไปพร้อมกันในเวลา 10.00 น. ลงชื่อ...."
นาย
"ช่วงเดือนที่ผ่านมาผมเคยถูกเจ้าหน้าที่บุกเข้าตรวจค้นบ้าน ทั้งที่ผมไม่เคยมีส่วนร่วมในการก่อเหตุรุนแรง ผมไม่เคยทำความผิดอะไรเลย แต่พอมีหนังสือจากทางราชการส่งไปที่บ้าน ก็เลยต้องยอมมา เพราะกลัวว่าถ้าไม่ยอมมารายงานตัว เดี๋ยวจะมีความผิดและถูกกล่าวหาว่าเป็นแนวร่วม อีกอย่างคือถ้าไม่มาก็กลัวว่าจะถูกหมายจับ"
ด้าน นายมะ ชาวบ้านจาก อ.เบตง จ.ยะลา กล่าวว่า เมื่อราวๆ 2 เดือนก่อน นายอำเภอได้เรียกตัวเขาไปประชุมพร้อมกับเพื่อนบ้านในตำบลเดียวกัน เพื่อให้ความรู้เรื่องพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 จากนั้นก็ให้ลงชื่อไว้
กระทั่งเมื่อวันที่ 9 ธ.ค. กำนันนำหนังสือมาแจ้งว่า ต้องมารายงานตัวที่ศาลากลางจังหวัดยะลา เพราะที่เคยเรียกประชุมและลงชื่อไว้นั้น ยังไม่เรียบร้อย ถ้ามาวันนี้และเข้าฝึกอบรมครบ 20 วัน จึงจะลบชื่อออกจากบัญชีให้
"ผมก็งงเหมือนกันว่าทำไมต้องมา เพราะผมไม่เคยทำความผิด ไม่เคยถูกค้นบ้าน และไม่เคยถูกเรียกตัวไปสอบสวน แต่ปลัดอำเภอย้ำว่า ไม่มาไม่ได้ ผมก็เลยมา" นายมะ กล่าว
ส่วนผู้เข้ารายงานตัวซึ่งเป็นชายไทยมุสลิมอีกรายหนึ่ง จาก อ.เบตง กล่าวว่า สาเหตุที่ตัดสินใจมารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ เนื่องจากปลัดอำเภอมาติดต่อขอความร่วมมือให้เข้าร่วมโครงการเสริมสร้างสันติสุข โดยแจ้งว่าจะมีการอบรมวิชาชีพและส่งเสริมความรู้เรื่องการเลี้ยงไก่
"บ้านผมอยู่ใกล้ๆ กับที่ว่าการอำเภอ และเคยรู้จักกับปลัดอำเภอ เขาก็เลยชวนมา ผมไม่ได้เป็นแนวร่วม และคนส่วนใหญ่ที่มาด้วยกันก็ไม่ใช่แนวร่วมหรือผู้ก่อการร้าย เพราะมีทั้งโต๊ะอิหม่าม และผู้นำชุมชน ซึ่งทางการเขาบอกว่าให้มาฝึกอบรมเสริมสร้างสันติสุข ก็เลยอยากมา เผื่อจะได้ความรู้ใหม่ๆ บ้าง"
และทั้งหมดนี้คือมุมที่ไม่เคยแถลงข่าว ของการรายงานตัวเพื่อร่วมสร้างสันติสุข!
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)